ตอนที่ 265 เรื่องฉาวโฉ่ไม่อาจแพร่งพรายออกไป
ขณะที่กำลังพูดนั้น พ่อบ้านก็ก้าวลงจากบันไดมาอย่างรวดเร็ว หยางซือเฉินยังไม่ทันตั้งสติได้ รอพ่อบ้านก้าวมาถึงเบื้องหน้า สีหน้าพ่อบ้านก็โมโหจนแดงก่ำไปหมดแล้ว
บ่าวชายหญิงในบ้านไม่อาจสังหารได้ตามอำเภอใจ นอกจากนี้เจ้าบ้านสามารถจัดการได้หมด ทรัพย์สมบัติอย่างเช่นบ่าวชายหญิง ทั้งม้าและวัว ล้วนเป็นสมบัติส่วนตัว
ในจวนของเสนาบดีกรมพิธีการ ราชบัณฑิตในราชสำนักรัชกาลนี้ หญิงบรรเลงเพลงพิณ นางร่ายรำขับร้องล้วนเป็นสมบัติของเจ้าบ้าน ใช้เงินไปก้อนใหญ่ ร่างสัญญาซื้อขายมา และหญิงเหล่านี้ล้วนแต่มีหน้าตางดงาม งานคอยอุ่นเตียงให้เจ้านายก็เป็นเรื่องปกติวิสัยที่พบเห็นได้ทั่วไป
ดังนั้นในจวนจึงเห็นว่าหญิงเหล่านี้ต่างกับสาวใช้ทั่วไป หญิงเหล่านี้เท่ากับผู้หญิงของเจ้านาย ได้รับการยกให้เป็นภรรยาน้อยก็มีไม่น้อย มีบ้างที่มีบุญสั่งสมมามาก ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งภรรยาเอกก็ได้
ผู้หญิงของเจ้านาย หยกพกติดตัวของนางมาอยู่กับคนนอก ยังเป็นชายหนุ่ม หมายความว่าอะไร ทุกคนล้วนรู้ดี หยางซือเฉินยิ่งเข้าใจเรื่องนี้
เซินสือหังมีหญิงบรรเลงพิณหกนาง รูปร่างหน้าตาอันดับหนึ่งในอันดับหนึ่ง เดิมคนนอกไม่อาจได้พบเห็น แต่หยางซือเฉินตอนเพิ่งมาเป็นแขกที่จวน เซินสือหังจัดเลี้ยงส่วนตัวที่ศาลาสายลม กล่าวว่าสาวงามบรรเลงพิณใต้แสงจันทรา ความงามพร้อมสรรพ ทิวทัศน์งดงามฤกษ์งามยามดีที่ว่ากันก็คือยามนี้แล ไม่อาจไม่ชม
ม่านไม้ไผ่รอบศาลาสายลมม้วนขึ้นทุกบาน หญิงงามอรชรหลายนางกำลังบรรเลงเพลงพิณ ยามนี้ช่างราวกับแดนสรวงที่สถิตแห่งเทพเซียน แต่หยางซือเฉินเพียงแค่มองในคราแล้ว จากนั้นก็นั่งเก็บท่าทีเรียบร้อย ไม่เงยหน้าขึ้นมองอีก สามครั้งจากนั้น หยางซือเฉินก็กล่าวกับเซินสือหังอย่างจริงจังว่า
“ท่านเจ้าบ้าน หลักการแห่งพิณนั้นสดับเสียงมิใช่ภาพ เรื่องเช่นนี้อย่างไรก็งดเถิด!”
กล่าวจบ หยางซือเฉินก็ขอตัวจากไป จากนั้นก็ไม่มาอีก เป็นเซินสือหังที่ส่งคนไปเชิญด้วยตนเอง จึงได้กลับมาเป็นดังเดิม
ผ่านเรื่องราวนี้ไป ชื่อเสียงหยางซือเฉินก็ยิ่งโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง บรรดาชนชั้นระดับสูงต่างก็อยากเชื้อเชิญเขาไปที่จวนของตนสักครั้ง
ศาลาสายลมของจวนเสนาเซิน ทุกครั้งที่จัดงาน ก่อนร่ำสุราก็จะมีพ่อบ้านนำกากระเบื้องเคลือบใบใหญ่มาให้เซินสือหังหรือไม่ก็บรรดาแขกสูงส่งได้ควานจับ จับได้หยกพกประดับกายหญิงผู้ใด หญิงผู้นั้นก็จะเป็นผู้บรรเลงพิณ และหยกชิ้นนี้ก็เป็นหยกที่หญิงผู้นั้นพกติดกายเป็นปกติ เป็นการแยกแยะสถานะชัดเจน และก็เป็นเรื่องมีรสนิยมที่ได้รับการกล่าวขวัญกันไปทั่วเมืองหลวง บรรดาแขกที่มาเยือนจวนเสนาเซินต่างพอจะรู้ว่าป้ายหยกใดแสดงถึงมือบรรเลงพิณนางใด รู้ถึงระดับชั้นของนางแต่ละคน
หยกประดับกายเช่นนี้จะนำมาแสดงในงานเลี้ยง จากนั้นก็ส่งกลับคืนไป เหตุใดจึงมาปรากฏอยู่กับหยางซือเฉินได้?
หยางซือเฉินคิดไปมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าเริ่มซีดเผือด พ่อบ้านผู้นั้นเก็บหยกขึ้นมาก็เงยหน้าขึ้นถาม
“หยกแม่นางสี่มาอยู่กับท่านหยางได้อย่างไร?”
คนในจวนไม่ว่าผู้ใดต่างรู้กันว่า ท่านหยางผู้สง่างามนี้เป็นที่โปรดปรานของนายท่านมาก พ่อบ้านในจวนที่แม้แต่ขุนนางระดับสี่ยังต้องเกรงใจจึงมีท่าทีสุภาพต่อหยางซือเฉินอย่างมาก
แต่การถามอย่างรุกไล่ไร้ธรรมเนียมเช่นนี้ สีหน้าเย็นชา วาจาก็เย็นเยียบกล่าวหา มีความสัมพันธ์กี่ยวข้องกับผู้หญิงของนายท่านเช่นนี้ จะต้องเคารพเกรงใจอันใดอีก
ความนิ่งของหยางซือเฉินที่เป็นอยู่ประจำหายไปสิ้น ผงะถอยหลังไปสองก้าว พ่อบ้านที่อายุราว 40 ต้นๆ ก็เคลื่อนไหวฉับไวกว่า ตรงเข้ามาจับข้อมือหยางซือเฉินไว้ กัดฟันด่าว่า
“สุนัขชั่ว ยังคิดหนีอีกหรือ!?”
หยางซือเฉินใช้แรงดึงกลับ เขาเป็นบัณฑิตร่ำตำราไหนเลยจะมีแรงสู้กับบ่าวรับใช้ได้ จึงไม่อาจสะบัดออกได้แม้แต่น้อย ได้ยินแต่เสียงพ่อบ้านด่าบ่าวชายที่คุกเขาโขกศีรษะอยู่ที่พื้นว่า
“เจ้าโง่ ยังคุกเข่าเซ่ออยู่ทำไม รีบไปปิดประตูสิ หาเชือกมาด้วย!!”
บ่าวรับใช้รีบลุกขึ้นไปปิดประตูก่อน ตอบกลับมายังคว้าเชือกติดมือมาม้วนหนึ่ง กำลังจะเข้าไปจับมัด ด้านในห้องก็มีคนผู้หนึ่งออกมาส่งเสียงเย็นเยียบกล่าวว่า
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน นายท่านบอกว่าให้พาตัวหยางซือเฉินเข้าไป!!”
กล่าวจบ คนผู้นั้นก็ลงมาช่วย เขาคือผู้ติดตามคนสนิทของเซินสือหัง ห้องพิณของเซินสือหังปกติมีแต่ผู้ติดตามคนสนิทคอยรับใช้เท่านั้น
ทั้งสามจึงไม่กล้าส่งเสียงเอะอะดัง ลงมือไม่เบาแม้แต่น้อย หยางซือเฉินรู้ว่าคนเหล่านี้ต่างกลัวว่าเรื่องฉาวจะโจษจันออกไป แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าหยกนั่นมาอยู่กับเขาได้อย่างไร แม่นางสี่เขาก็เคยพบเห็นแค่ครั้งเดียว เป็นหญิงงามจริงๆ แต่นอกจากนี้ก็ไม่เคยได้เข้าใกล้อีก
หยางซือเฉินดิ้นรนสุดชีวิต แต่ก็ไม่อาจขยับตัวได้ เริ่มหนาวเหน็บไปทั้งร่างกายและจิตใจ เรื่องเช่นนี้แม้ว่าส่งไปที่ศาลให้ลงโทษ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้ากล่าวอันใด ตนเองยังมีอนาคตอีกยาวไกล ยังมีพ่อแม่ภรรยาและลูก ยังมีกิจการที่ถอถอยลงต้องฟื้นฟู….
เซินสือหังสีหน้าดำคล้ำนั่งอยู่ ในมือพลิกดูแผ่นหยกประดับไปมา มองไปยังหยางซือเฉินที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างเย็นชากล่าวว่า
“ท่านหยาง ปกติเห็นท่านเป็นผู้รู้ธรรมเนียม เหตุใดจึงทำเรื่องเช่นนี้ได้?”
“ท่านเจ้าบ้าน ใต้เท้าเซิน เรื่องนี้ซือเฉินไม่รู้จริงๆ ….นี่เป็นเรื่องใส่ร้าย ถูกปรักปรำ….”
กล่าวยังไม่ทันจบ พ่อบ้านด้านหลังก็ถีบเข้ามาทีหนึ่งอย่างแรง ด่าเสียงเบาๆ ว่า
“เจ้าสุนัข ปรักปรำเจ้า ผู้ใดปรักปรำเจ้า!”
การรุกไล่ถามเช่นนี้ทำหยางซือเฉินเป็นใบ้ไปชั่วขณะ เซินสือหังวางหยกลงบนโต๊ะ ถอนหายใจกล่าวว่า
“ไปตามแม่นางสี่มา”
********
“…บ่าวสมควรตาย แอบมอบหยกให้แก่ท่านหยาง เขาบอกว่า บอกว่า รอให้ถึงเวลาก็จะบอกนายท่าน….”
“นางชั้นต่ำ เจ้ายังมีหน้ามาพูด”
แม่นางสี่คุกเข่ากล่าวพลางส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ พ่อบ้านข้างๆ กลับโมโหส่งเสียงตวาดขึ้นเบาๆ แม่นางสี่หยุดร้องไห้ทันที หยางซือเฉินคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่กล่าวอันใด
มีทั้งพยานและหลักฐาน เขาตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจล้างมลทิน กว่าจะสั่งสมชื่อเสียงในเมืองหลวงมาได้ต้องมาสลายไปในชั่วพริบตา เกรงว่าแม้แต่การสอบปีหน้าก็ไม่อาจเข้าร่วมสอบได้แล้ว ยังมี….ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
“ซือเฉิน เจ้าพูดอยู่ตลอดเวลาว่าอ่านตำรารู้หลักการ ตนเองทำเรื่องงามหน้าเช่นนี้ได้ เฮ้อ ข้าก็ช่างรู้หน้าไม่รู้ใจ มองคนผิดไปจริงๆ”
ได้ยินเซินสือหังทอดถอนใจ หยางซือเฉินก็มีสีหน้าราวกับซากศพ คุกเข่าไม่กล่าวอันใดอีก
ในห้องเงียบลง มีแต่เสียงสะอื้นแม่นางสี่ เห็นท่าทางนิ่งเงียบของหยางซือเฉิน พ่อบ้านและผู้ติดตามเซินสือหังก็โมโหมาก ปรี่เข้าไปจะลงมือ
“เรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าเองก็เสื่อมเสีย หากเจ้าเสียชีวิตที่นี่ ข้าเองก็แก้ตัวไม่พ้น ในเมืองหลวงเจ้าอยู่ไม่ได้แล้ว อำเภอเซียงเหอก็กลับไปไม่ได้แล้ว หากต้องไปให้ไกล มีอะไรก็ว่ามา ข้าจะยอมอดกลั้นเรื่องนี้ สามวันจากนี้ เจ้ารีบออกไปจากเมืองหลวง”
หยางซือเฉินโขกศีรษะราวกับท่อนไม้ เซินสือหังน้ำเสียงกลับคืนเป็นปกติ เอ่ยว่า
“ในสามวันนี้ให้เจ้าเก็บแต่ของ ไม่ให้พบคนนอก ภรรยาและลูกของเจ้าก็ต้องดูแลให้ดี อย่าให้ออกไปพูดสิ่งที่ไม่ควรข้างนอก โทษประหารทั้งตระกูลใช่ว่าจะมอบให้เจ้าไม่ได้ เซินเป่า เจ้านำคนไว้ใจได้สองไปไปเฝ้าบ้านหยางไว้ ออกไปได้แล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว!”
ผู้ติดตามและคนงานลากตัวหยางซือเฉินขึ้นมา ด่าทอก่อนจะลากออกไป
ตามหลักการบ่าวรับใช้ตระกูลใหญ่และยังคิดจะปิดเรื่องเป็นความลับ รู้ว่าควรระวังตัวไม่พูดดังไป การด่าทอลากตัวออกไปเช่นนี้ ย่อมเป็นที่สนใจของผู้คนได้
จวนของเสนาบดีกรมพิธีการเช่นนี้ไม่รู้ว่ามีคนจับตาดูอยู่มากมายเท่าไร หยางซือเฉินก็เป็นบุคคลมีชื่อในเมืองหลวง หากจับโยนออกไป ยังไม่รู้ว่าจะทำให้มีเรื่องให้ผู้คนสงสัยตามมาอีกเท่าไร เรื่องพวกนี้พูดอย่างไรก็ไม่เงียบ
เซินสือหังยังคงนั่งอยู่ที่เดิม รอจนหยางซือเฉินพ้นสายตาไป ก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง มองไปผู้ที่อยู่ด้านหน้ากล่าวว่า
“แม่นางสี่ เจ้าร้องไห้ออกไป อย่าได้กล่าวอะไรกับคนด้านนอก อีกสักเดี๋ยวเซินเป่าจะจัดหาเรือนพักให้เดี่ยวให้เจ้า อยู่ไปก่อน เข้าใจไหม?”
แม่นางสี่ที่เมื่อครู่ยังร้องไห้คร่ำครวญอยู่โขกศีรษะก่อนจะลุกขึ้น ใบหน้าแม้มีคราบน้ำตา แต่กลับไม่เห็นแววเศร้าโศกอะไร คารวะเสร็จก็ออกไป ประตูยังไม่ทันปิด ก็ส่งเสียงร้องออกมาอีก
พ่อบ้านเซินเป่ามองตามนางไปพลางส่ายหน้า เซินสือหังยืนขึ้นกล่าวว่า
“คืนนี้เจ้าดื่มสุราสักหน่อย หาคนที่เก็บอะไรไม่อยู่มาคุยสักคน”
เซินเป่ารีบทิ้งมือข้างกายก้มตัวรับคำ เซินสือหังโบกมือ เซินเป่าก็ถอยออกไปอย่างรู้งาน
ห้องพิณและในลานด้านในไม่มีผู้ใดแล้ว เซินสือหังก็ก้มหน้าเดินไปสามสี่ก้าวไปหยุดตรงหน้าพิณของหยางซือเฉิน ยื่นมือออกไปลูบพิณเบาๆ
เสียงดังไพเราะยิ่ง เซินสือหังคว้าพิณหลังนั้นขึ้นมาโยนกระแทกพื้นอย่างแรง เสียงดังลั่น เซินสือหังเหมือนว่ายังระบายอารมณ์ไม่หมด ยังคว้าพิณอีกหลังกระแทกใส่พิณโบราณหลังนี้อีกครั้ง กระแทกใส่ไม่ยั้ง ใบหน้าอ่อนโยนในยามปกติเริ่มบูดเบี้ยว คำรามขึ้นเบาๆ ว่า
“จางซื่อเหวย เจ้าคิดว่าข้าเป็นจางฮั่นงั้นหรือ!!?”
กล่าวจบ เซินสือหังก็หุบปากลงทันที มองรอบทิศอย่างระวังตัว ในห้องพิณกับในลานด้านในไร้ผู้คน เซินสือหังนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งอย่างหมดแรง
สีหน้าเซินสือหังค่อยๆ กังวลร้อนใจ ยกมือขึ้นตบหน้าผากเบาๆ พร่ำบ่นชื่อคนแต่ละคนเบาๆ
“เฝิงเป่า…จางเฉิง…จางหง…หลี่โย่วจือ…จางจิง…หลี่เหว่ย…”
ทุกชื่อที่กล่าวว่าก็จะหยุดค้างครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าไปมา สีหน้ายิ่งร้อนรน ขันทีและขุนนางชั้นสูงในราชสำนักทั้งฝ่ายในและนอก ยังมีพระญาติที่มี่อำนาจบารมีสูงส่งที่สุด แต่ละชื่อที่กล่าวออกมา กลับเอาแต่ส่ายหน้า สุดท้ายยังเงียบไป สีหน้าร้อนรนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง
“…หวังทง…”
เซินสือหังกล่าวถึงชื่อนี้ กล่าวจบ เซินสือหังก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปมาในห้องไม่หยุด พยักหน้าแรงๆ น้ำเสียงดังขึ้นเล็กน้อย กล่าวออกมาดังว่า
“หวังทง!!”
……
ในเมืองหลวงขุนนางพ่อค้ามากมายนับไม่ถ้วน คนมากขึ้นหนึ่งหรือลดลงหนึ่งย่อมไม่เป็นที่สังเกต จะว่าไป ตอนนี้เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งก็คือมหาอำมาตย์จะกลับมาเมืองหลวงแล้ว