ตอนที่ 268 การอภิปรายในราชสำนัก
ขุนนางใหญ่สถานะสูงส่งไม่เลี้ยงดูภรรยาน้อยหาได้ยากยิ่ง ผู้ใดร่ำรวยทรัพย์สินยินยอมจะนั่งเฝ้าแต่ภรรยาที่ร่วมทุกข์กันมา หญิงงามมากมายเพียงนั้นยินยอมผูกสมัครรักใคร่เข้าจวน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจระงับใจ
หากเสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังนั้นแตกต่างออกไป ในบรรดาขุนนางบุ๋นทั้งหมดต่างรู้กันว่าเขานั่งอยู่ในห้าอันดับแรกอย่างมั่นคง เป็นกลุ่มบุคคลสูงสุดในใต้หล้า แต่ในเรื่องนี้เขากลับเอาแต่รักษาท่าที
เซินสือหังหมั้นหมายกับภรรยาตั้งแต่เด็ก พอแต่งงานมาก็มีลูกชายสามลูกสาวสอง สามีภรรยารักใคร่ปรองดองอย่างมาก แม้ว่าในจวนจะมีหญิงงามบรรเลงพิณขับกล่อม หากแต่ไรมาก็ไม่เคยได้ยินพฤติกรรมด่างพร้อย
พฤติกรรมเช่นนี้ต่างจากบรรดาขุนนางทั่วไป ทุกคนจึงไม่ใคร่ชอบใจนักแต่ก็ไม่อาจกล่าวอันใด เมื่อเห็นว่าในบ้านของคนที่มีพฤติกรรมต่างจากพวกตนเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทุกคนต่างรู้สึกยินดีกับความหายนะของเขา
ทุกเรื่องล้วนมีมหาอำมาตย์จางและเฝิงกงกงในวังคอยตัดสิน เรื่องเล็กก็ให้จางซื่อเหวยดูแล คนอื่นๆ ก็ว่างงานกันยิ่งนัก พอไม่มีอะไรให้ทำก็เลี้ยงดูสาวงามกันไม่น้อย
ในฐานะที่เป็นศิษย์ของจางจวีเจิ้งเหมือนกัน แม้เซินสือหังจะตกในตำแหน่งไม่มีอะไรให้ทำเช่นกัน แต่อย่างไรก็เป็นราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ พวกที่ไม่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมคณะคนอื่นๆ ไม่รู้ว่ามองกันตาร้อนเพียงใด พอเห็นว่าเขามีเรื่องฉาวโฉ่ขึ้น แม้ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ต่างก็ล้วนดีใจกับหายนะของเขาอยู่บ้าง
เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยกระแอมไอพลางอมยิ้มพยักหน้า สำหรับบรรดาขุนนางที่สังเกตสีหน้าได้ไวเป็นพิเศษ นับเป็นท่าทีแสดงออกที่ชัดเจนมาก
ทุกคนไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์กันต่อ แต่ในใจล้วนกำลังปรับกระบวนความคิดในใจ ต่างว่ากันว่าจางซื่อเหวยและเซินสือหังปากกับใจไม่ตรงกัน เห็นจางซื่อเหวยสงวนท่าทีครานี้ก็ใช่ว่าจะไม่ใช่
หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อในวังหลวงเป็นศูนย์กลางใต้หล้า การปกครองทั้งเขตปกครองเหนือใต้สิบสามมณฑลก็ล้วนตัดสินใจทุกเรื่องที่นี่ บุคคลที่อยู่ที่นี่ได้ล้วนเป็นยอดคน การเปลี่ยนแปลงในแววตาหรือสีหน้าแม้เพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างก็ตัดสินได้ทันที
จางซื่อเหวยกับเซินสือหังล้วนเป็นลูกศิษย์จางจวีเจิ้ง ภักดีต่อมหาอำมาตย์จางอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เหินห่างมาโดยตลอด นี่ก็เป็นเรื่องปกติ
จางซื่อเหวย จางฮั่น หลี่โย่วจือ เซินสือหังพวกนี้ต่างปฏิบัติตามคำสั่งจางจวีเจิ้งทุกอย่าง คอยออกตัวปกป้องการตัดสินใจการบริหารของจางจวีเจิ้ง แต่ระหว่างพวกเขานั้นกลับไม่มีการไปมาหาสู่กัน
ทุกคนต่างอยู่ในตำแหน่งสูง หากแอบสานสัมพันธ์กัน คนที่อิจฉาอยู่รอบกายยังจัดการได้ กลัวก็แต่มหาอำมาตย์จางจะระแวงในตนเท่านั้น
จางซื่อเหวยกับเซินสือหังบางทีอาจเพราะดวงดีหรืออาจเพราะมีฝีมือ ต่างก้าวเข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยิ่งห่างเหิน เมื่อก่อนอาจจะพอคุยกันได้บ้าง แต่หลังจากเข้าร่วมคณะเสนาบดีใหญ่แล้ว ทั้งสองต่างเก็บอาการแข่งขันกัน ความสัมพันธ์ระหว่างกันจึงเย็นชายิ่งนัก
อย่าได้พูดถึงคุยสัพเพเหระเลย เพราะยามปกติก็เป็นเหมือนคนเดินสวนทางกัน ในคณะเสนาบดีใหญ่หากไม่ใช่เรื่องที่จางจวีเจิ้งเสนอ พอคนหนึ่งเสนอ อีกคนก็ย่อมปิดปากเงียบ
ทว่าจางจวีเจิ้งก็มิเคยกล่าวอะไรถึงความสัมพันธ์เช่นนี้ของคนทั้งสอง บางทีความสัมพันธ์เช่นนี้จึงจะทำให้เขารู้สึกวางใจ
เรื่องนี้ทั้งจางซื่อเหวยและเซินสือหังล้วนกระจ่างแก่ใจ บรรดาขุนนางใหญ่อื่นๆ ก็ล้วนกระจ่างใจ ดังนั้นวันนี้จางซื่อเหวยแสดงท่าทีปกป้องเช่นนี้จึงได้ทำให้ทุกคนรู้สึกสงสัย ถึงกับมีคนคิดว่า เซินสือหังวันนี้บอกว่าล้มป่วยไม่มา หรือเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นใด
อยู่ในราชสำนักเรื่องที่พอจะคิดได้ก็ต้องคิดให้รอบ เรื่องที่คิดไม่ถึงก็ต้องคิดให้ถึง ไม่เช่นนั้นพลาดไปก้าวเดียว อาจต้องประสบหายนะหมื่นชาติมิอาจฟื้นคืน
เดิมช่วงเวลาที่รอคอยการมาถึงของจางจวีเจิ้ง บรรดาขุนนางก็จะคุยเรื่องทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองกันจนชิน แต่เรื่องเมื่อครู่ทำให้ทุกคนพากันนั่งสงบเสงี่ยม แต่จะห้ามสายตาของทุกคนไม่ให้สบกันก็คงเป็นไปไม่ได้
********
เสียงรายงานดังเข้ามาพร้อมกับมหาอำมาตย์จางเดินเข้ามา ทุกคนต่างลุกขึ้นต้อนรับ นอกจากทักทายทั่วไปแล้ว ยังต้องแสดงความห่วงใยต่อการเดินทางมาตลอดเส้นทางของใต้เท้าจางอีกด้วย ถามไถ่ถึงความทุกข์ยากในการเดินทาง
หลายเดือนมานี้จางจวีเจิ้งเดินทางไปกลับเหนือใต้ ผ่านแต่ละมณฑลก็เหมือนฮ่องเต้ออกตรวจราชการ เกียรติยศสูงส่งยิ่ง จะมีความทุกข์ยากอันใดกัน เพียงแค่ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเท่านั้น
หลายท่านขณะที่ไต่ถามทักทาย ยังมองไปทางจางซื่อเหวย เห็นจางซื่อเหวยไม่มีทีท่าผิดปกติ เคารพนอบน้อม ไม่มีท่าทีชักช้าแต่อย่างใด
จางจวีเจิ้งนั่งประจำที่ได้ไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงรายงานดังเข้ามาว่า “ฮ่องเต้เสด็จแล้ว” ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนรอรับเสด็จ
“หลายเดือนไม่เห็นท่านจาง เราคิดถึงยิ่งนัก เดินทางมายากลำบาก ท่านจางดูซูบไปเล็กน้อย ขุนนางที่รักทุกคนลุกขึ้นได้…”
พอฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพระดำเนินเข้ามาในห้องก็เสด็จไปเบื้องหน้าจางจวีเจิ้ง ทรงประคองเขาขึ้นมาก่อนจะทรงซักถามอย่างห่วงใย การกระทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างแอบทอดถอนใจ ใต้เท้าจางอย่างไรก็เป็นใต้เท้าจาง ในพระทัยฝ่าบาทไม่มีผู้ใดเทียบเท่าได้เลย!
“ฝ่าบาททรงเป็นห่วงเป็นใยกระหม่อม กระหม่อมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว”
จางจวีเจิ้งกล่าวขอบพระทัย จากนั้นเฝิงเป่าด้านหลังพระองค์ก็ลอบเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ว่านลี่ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก ฮ่องเต้ว่านลี่แสดงท่าทีแม้ว่าทรงพระเมตตายิ่งต่อจางจวีเจิ้ง แต่ทำให้รู้สึกเหินห่าง หากเป็นเมื่อก่อน สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่เต็มไปด้วยรอยแย้มสรวลเช่นนี้
พระองค์ทรงไม่โปรดการเรียนในทุกวัน อยากให้จางจวีเจิ้งที่เข้มงวดกลับมาช้าอีกสักสามสี่วัน ตอนนี้กลับมาก็เท่ากับว่าชีวิตไม่อาจเป็นอิสระดังเดิม เหตุใดจึงดีพระทัย และเพราะจางจวีเจิ้งมิใช่คนนอก ดังนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมไม่ปิดบังความในพระทัยของพระองค์เอาไว้
แต่ยามนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระดำรัสนุ่มนวล ท่าทีก็ทรงพระเมตตายิ่ง หากเฝิงเป่ากลับรู้นี้ว่าในนั้นมิใช่ความใกล้ชิดดังที่เห็น
ในใจก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย แต่เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ประคองจางจวีเจิ้งขึ้นมาแล้วก็ยังคงมีพระพักตร์แย้มสรวลดังเดิม เฝิงเป่าก็คิดว่าตนเองคิดมากไป ฮ่องเต้เป็นเพียงเด็กน้อย กำลังเติบโต การกระทำต่างๆ ก็ยิ่งมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์แย้มสรวลตรัสว่า กลางวันนี้ในวังจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับการเดินทางกลับมาของมหาอำมาตย์จาง จากนั้นจางจวีเจิ้งก็ต้องขอบพระทัยในพระเมตตา พิธีการแต่ละขั้นตอนนี้จบลง ทุกคนก็กลับเข้าประจำที่
หลี่เฉิงเหลียงแม่ทัพบัญชาการที่เมืองเหลียวโจวยื่นฎีกาขอเสบียงมายังราชสำนัก เตรียมฝึกทหาร เตรียมเปิดศึกในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูหนาวกับพวกเผ่าไท่หนิงอีกรอบ จะได้ปราบปรามโจรชั่วที่ก่อกวนชายแดนมานานหลายปีให้ราบคาบ ชีจี้กวงแม่ทัพบัญชาการที่เมืองจี้โจวยื่นฎีกาขอให้ศาลเมืองหย่งผิงและเมืองเหอเจียนส่งราษฎรแรงงานชายมาซ่อมกำแพงเมืองและป้อมปราการเมืองจี้โจวให้เรียบร้อย แม้ว่าสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งจะเจรจาสันติกับพวกเผ่ามองโกลแล้ว แต่ฤดูหนาวก็ยังคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกกองกำลังเล็กๆ มาคอยก่อกวน
นี่เป็นเรื่องในความดูแลของจางซื่อเหวยเสนาบดีกรมทหาร แต่ละเรื่องรายงานขึ้นมา พอรายงานจบ จางจวีเจิ้งก็นิ่งเงียบไป จากนั้นจึงได้หันไปทางหม่าจื้อเฉียงเสนาบดีกรมอากร สอบถามว่า
“ในคลังเงินค่าเสบียงพอเพิ่มเติมหรือไม่?”
ถามถึงเรื่องนี้ก็ต้องให้หม่าจื่อเฉียงเสนาบดีกรมอากรเป็นผู้ตอบ เขาตอบเสียงดังกังวานว่า
“ในคลังยังมีเงินค่าเสบียงอีกสี่ล้านตำลึง ล้วนเป็นพระปรีชาฝ่าบาทและความดีความชอบในการเก็บภาษีที่นาของใต้เท้าจาง นับแต่นี้ไปคลังหลวงจึงได้ไร้กังวล!!”
เขาอายุเกือบ 60 แล้ว วาจายังเต็มไปด้วยพลัง หม่าจื้อเฉียงกล่าวถึงคลังหลวงนับเป็นเรื่องรอง การแสดงความยกย่องความดีความชอบของจางจวีเจิ้งจึงจะเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง
ตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมาถึงวันนี้ ขุนนางที่มีบ้านเกิดจากตอนกลางของมณฑลส่านซีที่มาถึงตำแหน่งใหญ่ที่ที่ประชุมนี้ได้มีแค่หม่าจื้อเฉียงผู้นี้ผู้เดียว ดูแล้วการมาถึงตำแหน่งนี้ได้ก็ย่อมมีเหตุผลของเขา เสียงรายงานสำเนียงส่านซีดังกังวานขึ้น ทุกคนในห้องต่างตะลึงงัน ตามด้วยเสียงตอบรับสองสามคำจำพวกยกย่องพระปรีชาและความสามารถของใต้เท้าจาง
สีหน้าจางจวีเจิ้งเผยแววยินดีเล็กน้อย หันไปทางจางซื่อเหวยกล่าวว่า
“ฝ่าบาท หลี่เฉิงเหลียงกับชีจี้กวงล้วนเป็นแม่ทัพรับใช้แผ่นดินมานาน ทำการรอบคอบ เผ่าไท่หนิงก็ได้ถึงทางตันแล้ว พวกมองโกลแม้เจรจาสันติแต่ก็แค่ฉากหน้า เตรียมการป้องกันก็เป็นเรื่องสมควร ฝ่าบาท เรื่องนี้ให้กรมทหารและกรมอากรไปตรวจสอบดู ตรวจนับจำนวนดูก่อนแล้วค่อยส่งเงินไป?”
แม้ว่ากำลังถามความคิดเห็นฮ่องเต้ว่านลี่ แต่ทุกเรื่องก็เหมือนตัดสินใจแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักพระพักตร์รับ ตรัสขึ้นว่า
“ท่านจางคิดการได้ถูกต้องแล้ว คณะเสนาบดีเห็นตรงกันแล้ว เฝิงต้าปั้นก็ลงชาดอนุมัติไปได้เลย!”
เฝิงเป่าที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รับพระบัญชา จางซื่อเหวยยืนถือฎีกาอยู่อีกฉบับหนึ่ง กราบทูลว่า
“ผู้บัญชาการทัพเมืองกวางตุ้งหลินอวิ๋นอี้มีสารคิดกราบทูล แต่เรื่องนี้ไม่ทราบเหมาะสมหรือไม่ จึงให้ข้าน้อยนำเข้ามาหารือในที่ประชุม หากมีอนุมัติเห็นชอบ เขาก็จะได้ยื่นฎีกาทันที”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพยักพระพักตร์ แต่จางซื่อเหวยก็ยังคงมองไปยังจางจวีเจิ้งที่พยักหน้าเล็กน้อย จึงได้รายงานขึ้นว่า
“รองแม่ทัพเฉินหลินเสนอมาหลายครั้ง พวกฟะรังคีเช่าที่ดินราชวงศ์หมิงเราที่มาเก๊า หากไม่ทำการค้าขายอย่างสงบ กลับสร้างป้อมปราการ สะสมอาวุธปืน และยังสมรู้ร่วมคิดกับโจรสลัด กระทำเรื่องผิดกฎหมายแผ่นดินเราหลายเรื่อง แม้ว่าจำนวนไม่ถึงสองหมื่น แต่ก็มิใช่คนเชื้อชาติเรา เราควรจะป้องกันไว้บ้าง หากทัพเรือที่กวางตุ้งนั้นก็เก่าล้าหลัง ไม่เหมาะทำศึกใหญ่ ขอราชสำนักส่งเงินไปช่วยปรับปรุงกองทัพเรือ เตรียมพร้อมทหารเชี่ยวชาญการรบทางน้ำ”
จางจวีเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นลูบเครายาวของตนเอ่ยว่า
“เฉินหลิน ถานจื่อหลีเคยเอ่ยถึงหลายครั้ง บอกว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญการรบ โดยเฉพาะการรบทางทะเล เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ย่อมมีสาเหตุ ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร?”
การกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าจางจวีเจิ้งยังไม่มีความเห็น ขอถามความเห็นทุกคน หลายคนสบตากัน หม่าจื้อเฉียงกราบทูลน้ำเสียงกังวานว่า
“ฝ่าบาท เรื่องที่มาเก๊าข้าน้อยเคยได้ยินมาว่า พวกนั้นไม่กี่พัน มีพวกแข็งแรงกำยำราวสามพันเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า จะไปทำอะไรได้ ทหารเราที่มาเก๊าและฮกเกี้ยนมีมากกว่าสองแสน ยังมีกองเรือรบหลายร้อย หากมีเรื่องกันจริง ก็คงจัดการปราบได้รวดเร็ว แม้ว่าคลังหลวงจะเต็มคลัง แต่ก็ต้องเอาเข้ามากกว่าเอาออก ชายแดนสำคัญ ชายทะเลทางใต้ก็แค่ภัยเล็กน้อย หากจะสร้างกองรบทางทะเลและสร้างกองเรือรบ เงินไม่ถึงแสนตำลึงจะไปพออะไร ภัยโจรสลัดก็เงียบลงแล้ว หากตอนนี้สร้างกองเรือรบเก็บไว้เกรงว่ามากเกินไป พวกทหารรบทางทะเลก็เป็นพวกเชี่ยวชาญการรบอยู่แล้ว ไยต้องทำการให้มากเรื่อง แม่ทัพเฉินขอมานั้นเกรงว่าจะมากไปสักหน่อย ตามความเห็นกระหม่อม ทางกวางตุ้งฮกเกี้ยนสองมณฑลนี้ให้ระวังป้องกันไว้สักหน่อยก็เพียงพอแล้ว”
ทุกคนต่างพยักหน้า ไยต้องหาเรื่องให้มากความ มาเก๊าทางนั้นก็เป็นพื้นที่ยากจน พวกฟะรังคีจะขอเช่าก็ช่างพวกเขาเถอะ เฉินหลินรับผิดชอบทางบก ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับทางทะเล แม่ทัพหลินอวิ๋นอี้เขียนสารมาเช่นนี้ คงคิดจะขอออกศึกเพื่อขอปูนบำเหน็จ ช่างเป็นพวกฝึกยุทธ์ไร้สมองเสียจริง หรือว่าไม่รู้ว่าการเคลื่อนทัพจะทำให้มีคนตายกัน ราชสำนักยังต้องสูญเงินราวกับน้ำนี่ยิ่งไม่ต้องพูดกัน
“ฝ่าบาท มิสู้ทรงมีพระราชโองการให้กวางตุ้งทางนั้นเตรียมพร้อมรับมือ อย่าได้หละหลวม ทรงเห็นเช่นไรพะยะค่ะ?”
“ท่านจางกล่าวได้มีเหตุผล ดำเนินการไปเช่นนี้ละกัน”
*********
“ฝ่าบาท ฎีกาของบรรดาขุนนาง สำนักฎีกาได้ส่งมายังสำนักส่วนพระองค์ ไม่ทราบว่าพระประสงค์ของพระองค์เป็นเช่นไร?”
หลี่ว์กวงหมิงรองหัวหน้าฝ่ายซ้ายสำนักตรวจสอบทูลถาม