ตอนที่ 302 บัณฑิตรู้นับร้อย ไม่อาจใช้งานแม้เพียงหนึ่ง
ค่ายในเมืองของหวังทงออกปฏิบัติการลงมือกับคนของว่านเต้าไปยกหนึ่ง ตีจนไม่อาจเรียกได้ว่ายั้งมือ มีหลายคนถูกตีลงน้ำไปจึงได้รามือ
หลายคนลอยคอร้องขอชีวิต ล้วนเป็นพวกเชี่ยวชาญทางน้ำ คนพวกนี้ตกน้ำ ไม่มีผู้ใดคิดจะลงไปช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว ทุกคนยืนดูกันเฉยเมย
หากมิใช่ว่าก่อนมาหวังทงสั่งว่าอย่าให้มีเรื่องถึงแก่ชีวิต พลทหารองครักษ์เสื้อแพรก็ขี้เกียจจะสนใจพวกนักเลงหัวไม้ที่ลอยคอตะเกียกตะกายกันอยู่เหนือน้ำพวกนั้น สีหน้าท่าทางถมึงทึงน่ากลัวของพวกเขาสยบผู้คนริมฝั่งไว้หมด จึงได้แต่ออกคำสั่งให้ลงไปพาตัวขึ้นมา
พอนำพวกที่แตกตื่นตกใจราวห้าสิบคนขึ้นมาคุกเข่าเรียงกันได้ เรือที่แล่นไปมาหลายลำก็ไม่รู้ว่าใครบ้างที่ชะโงกหน้ามาดูพลางร้องตะโกนอย่างสะใจ ไม่นานทุกคนก็พากันส่งเสียงตะโกนเชียร์ดังตามมา
เสียงเชียร์สะใจดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ แต่อยู่ๆ เสาธงที่ล้มลงก็ค่อยๆ ตั้งขึ้น เสียงคนร้องตะโกนเชียร์ก็ค่อยๆ แผ่วลง
ธงสีขาวค่อยๆ ทิ้งตัวลงมา บนผืนธงเขียนอักษรตัวใหญ่ราวสิบกว่าตัวอักษร ทุกคนสามารถอ่านกันได้อย่างชัดเจน
“จ่ายภาษีด้วยตนเองสองส่วนของราคาสินค้า ปิดบังไม่รายงานปรับสี่ส่วน”
เสียงบอกต่อกันปากต่อปาก เสียงร้องเชียร์ดังเริ่มเงียบลง ทุกคนสบตากันไปมา สองฝั่งคลองเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงตะโกนดังว่า
“ทุกลำต้องอ่าน ไม่ว่าเรือทางการหรือพ่อค้าทั่วไป ที่ยังไม่จ่ายภาษีทุกลำต้องนำจ่าย รายงานเองจ่ายสองส่วน ไม่รายงานแล้วถูกค้นพบปรับสี่ส่วน!”
“คนที่จ่ายภาษีกับเจ้าหน้าที่ตรงนี้แล้ว ก็เดินทางต่อได้!!”
เสียงตะโกนดังจบลง เรือบนคลองส่งน้ำก็ชุลมุนกันครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มขยับ
เก็บสองส่วน ปรับสี่ส่วน ก็ดูมีเหตุผล ดีกว่าคนของว่านเต้าที่รีดไถกันอย่างไร้ขอบเขตเยอะ จะว่าไป เห็นพวกชายฉกรรจ์ท่าทางดุร้ายมากมายเพียงนี้ ผู้ใดกล้าเอ่ยว่า ‘ไม่’ กัน ไม่ใช่เป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวหรอกหรือ?
พนักงานบัญชีที่พามาจากในเมืองล้วนทำกันจนชำนาญ ลงเรือเล็กเข้าเทียบเรือสินค้า พอขึ้นไปบนเรือก็ตรวจสอบรอบหนึ่ง ประมาณราคาแล้วเก็บเงิน
เป็นเพราะเรือมากเกินไป คนพวกนี้ก็มิได้ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อย มักจะเก็บต่ำกว่าราคาจริงเล็กน้อย ที่เก็บงำไว้มิดชิดก็แล้วไปเถอะ
จ่ายเงินแล้วก็ไป ไม่รั้งไว้เด็ดขาด ไม่แทะโลมผู้หญิงบนเรือ ทำงานตรงไปตรงมา รอจนฟ้าใกล้มืด เรือบนลำน้ำก็เริ่มแล่นได้ไม่ติดขัดแล้ว เงินที่เก็บได้มาก็เต็มเปี่ยมพร้อมเดินทางกลับ
เงินทองสิ่งของที่คนของว่านกงกงเก็บมาได้หลายลำ และที่ทุกคนแอบซ่อนเป็นการส่วนตัวไว้ก็ล้วนตกเป็นของคนของหวังทง บรรดาคนเหล่านั้นไม่มีสักคนที่กินเบี้ยหวัดทางการ ล้วนเป็นพวกผู้ช่วยงานที่มาจากพวกนักเลงหัวไม้ ตอนนี้คิดจะกลับเข้าเมืองก็ไม่ได้ ทุกคนถูกจับไปใช้แรงงานที่แม่น้ำทะเลกันหมด
คลองส่งน้ำเป็นพื้นที่ที่รุ่งเรืองที่สุดในเทียนจิน ร้านค้าหลากหลายสินค้ามากมี บ่ายวันนี้ล้วนเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้ากล่าวอันใดให้มากความ
เมื่อก่อนหวังทงไม่ค่อยได้สนใจพื้นที่นี้ อยู่ ๆ ส่งคนมาสำแดงบารมี ทุกคนเห็นกำลังที่แท้จริงแล้วก็ล้วนหวาดกลัว
ก่อนฟ้ามืด พลทหารองครักษ์เสื้อแพรร้อยกว่าคนในเมืองก็มาถึง คนที่นำมาก็คือนายกองร้อยหังต้าเฉียวที่เมื่อก่อนทุกคนล้วนดูถูก หังต้าเฉียวนำคนไปเยี่ยมคารวะแต่ละร้าน สีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร
ไปถึงแต่ละร้านก็สอบถามอย่างนอบน้อมว่าต้องการรับป้ายสงบสุขหรือไม่ ผู้ใดกล้าไม่รับ รับมาจะรับประกันความสงบสุขได้หรือไม่นั้นไม่รู้ แต่อย่าได้ไม่สงบสุขทันตาในตอนนี้เป็นพอ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้กัน
เมื่อก่อนหวังทงไม่มายุ่งที่นี่ ทุกคนก็รู้สึกโล่ง ตอนนี้ในเมื่อมาแล้ว เงินป้ายสงบสุขก็ไม่ใช่จำนวนมากขนาดขูดเลือดกับปู ทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้ารับไป
*********
“เจ้าเดรัจฉาน!! เจ้าจะต้องถูกฟ้าผ่าเข้าสักวัน ต้องถูกคมหอกคมดาบ!!”
ขันทีว่านเต้าตอนอยู่เมืองหลวงไม่รู้ว่าเหตุใด พอมาถึงเทียนจินสถานะไม่เหมือนเดิม ยังวางท่าเป็นผู้มีสถานะสูงส่ง ทั้งวันเอาแต่ทำนิ่งไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า
วันนี้ยังมีพวกที่วิ่งหนีเร็ว วิ่งกลับมารายงาน ได้ยินลูกน้องรายงานมาแล้ว ว่านเต้าก็อึ้งไปนาน ก่อนจะคว้าของข้างตัวปาทิ้งทันที ปากก็ผรุสวาทด่าทอไม่ยั้งราวกับคนเสียสติ
บรรดาคนที่คุกเข่าอยู่ก็สบตากัน เดิมคิดว่าว่านเต้ากงกงจะส่งใครออกนอกเมืองไปหาใครสักคน คิดไม่ถึงว่าได้แต่ด่าทอลมฝนอยู่อย่างนั้น
ท่าทางดูแล้วเหมือนคนเสียสติ ผู้ใดก็มองออกว่าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าหวังทงนอกเมืองนั่น แต่ในเมื่อตนเองหนีกลับมาได้แล้ว จะไปสนใจพวกที่ถูกทิ้งไว้ที่นั่นว่าเป็นหรือตายทำไมกัน ทุกคนได้แต่คุกเข่าเงียบ
ในที่สุดว่านเต้าก็ปาของจนเหนื่อย ด่าจนหมดแรง ยืนหอบหายใจไม่หยุด ดวงตาแดงก่ำกัดฟันกรอดด่าขึ้นเบาๆ ว่า
“ดีมาก ดีมากๆ !! เจ้ากล้ากำเริบเพียงนี้ ดูสิว่าเจ้าจะกำเริบไปถึงเมื่อไร!!”
**********
ตอนนี้ไม่ว่าหวังทงทำอะไร ทุกคนก็ได้แต่ยืนมองไม่รู้ไม่เห็น นายกองตรวจการฟานต๋าดูเหมือนจะตั้งสมาธิกับงานในหน้าที่ ไม่สนใจหวังทง ขุนพลหลี่ต้าเหมิงตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้เข้าเมืองมาสักเท่าไร กองคุมกำลังพลและกองขนส่งตอนนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว
เมืองเทียนจินในตอนนี้ก็เหมือนที่หวังทงได้กล่าวไว้เมื่อวันก่อน ตกอยู่ในกำมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
แม้ขุนพลหลี่ต้าเหมิงจะคิดการตอบโต้ แต่กองกำลังนับพันของหวังทงก็จะยกมาก่อนที่ทัพใหญ่จะมาถึง และสามารถจัดการเขาได้ในทันที อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเสมอกัน ไม่ต้องพูดถึงสำนักอาวุธปืนไฟและกำลังชายฉกรรจ์ที่พร้อมออกศึกพวกนั้น เรื่องเงินทองนั้นก็ล้วนอยู่ในกำมือแล้ว
นายกองฟานต๋ากับขันทีว่านเต้าไม่มีผลอันใดกับหวังทงแม้แต่น้อย มีเงินมาจากเมืองหลวง หวังทงทางนี้แม้ไม่มีเบี้ยหวัดก็สามารถเลี้ยงดูกองกำลังตนเองได้
ค่ำคืนในปลายเดือนแปดอากาศเริ่มเย็นลง เรื่องที่ฉีกหน้าว่านเต้าบนคลองส่งน้ำเป็นเหตุการณ์กระทบจิตใจผู้คนให้ต้องเอ่ยถึง นอกนั้นก็สงบเป็นปกติดี
หลังวันไหว้พระจันทร์ ราชโองการก็มาถึงเทียนจิน หวังทงได้รับหน้าที่ดูแลสำนักอาวุธปืนไฟ แม้ตำแหน่งจะเล็ก แต่มีอำนาจควบคุมแท้จริง สำนักอาวุธปืนไฟตกอยู่ในมือหวังทงไปเรียบร้อยแล้ว
สำนักอาวุธปืนไฟทุกปีได้งบประมาณจากราชสำนักก้อนใหญ่ มีช่างตีเหล็กนับพัน และมีแรงงานเกือบสี่พัน มีทหารอารักขาอีกสามร้อยนาย ถือเป็นหน่วยงานใหญ่
เมื่อก่อนได้แต่ทำงานขอไปที พอส่งมอบให้หวังทง หากไม่มีอะไรปรับปรุงให้ดีขึ้นก็คงไม่ได้การ หวังทงผู้นี้คงไม่เลี้ยงดูต่อ
ต้องพัฒนาประสิทธิภาพให้ดีขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าต่างชาติสามคนนั้นหรือพวกเฉียวต้าล้วนได้รับการฝึกฝนจนช่ำชองจากการทำงานในโรงตีเหล็กของหวังทง ตอนนี้หากต้องลงมือตีเหล็กหลอมเหล็กก็คงพึ่งพาพวกเขาเหล่านี้แล้ว
นายกองเริ่นแห่งกรมโยธามาช้ากว่าราชโองการสองวัน นายกองเริ่นย่วนผู้นี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่รู้งานตีเหล็กที่หาได้ยาก และยังเป็นคนซื่อที่ไว้ใจได้ เป็นคนที่หวังทงต้องการให้ถูกย้ายมาที่นี่
แต่คนซื่อตั้งใจทำงานก็มีส่วนที่ไม่ดีเหมือนกัน เดิมคนเคยรู้จักกันมาได้มาพบกันอีกครั้ง หวังทงก็ต้องจัดเลี้ยง จะได้ร่วมพบปะพุดคุยย้อนรอยเรื่องราวในอดีต คิดไม่ถึงว่านายกองเริ่นกลับปฏิเสธงานเลี้ยง มุ่งไปโรงตีเหล็กทันที บอกว่าจะไปขอความรู้จากต่างชาติสามคนนั้น ดูว่ามีอะไรควรค่าแก่การเรียนรู้บ้าง
เป็นทั้งหัวหน้างานตนและยังเป็นคนรู้จัก จัดงานเลี้ยงให้ กลับถูกปฏิเสธ ช่างไม่รู้จักมีมนุษยสัมพันธ์เสียเลย มิน่าหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานจึงได้ผลักไสมาที่นี่
ในเรื่องนี้ หวังทงอยากจะร้องไห้ก็ไม่ได้ อยากจะหัวเราะก็ไม่ออก ได้แต่ยอมรับไป คนเช่นนี้กับพวกฝ่ายเทคนิคแผนกผลิตในโลกก่อนนั้นเหมือนกันไม่มีผิด พวกเขามีความสามารถในการทำงาน ไม่ได้ทำงานด้วยปาก ที่ตนต้องการก็คือคนทำงานเช่นนี้
**********
ก่อนวันไหว้พระจันทร์หนึ่งวัน เมืองหลวงก็ส่งข่าวผลการตรวจสอบหยางซือเฉินมาให้หวังทง ในจดหมายกล่าวรับรองว่าหยางซือเฉินไว้ใจได้
จางซื่อเฉียงเอาข้าวปลาอาหารและของขวัญหลากหลายมาเยี่ยม นอกจากไต่ถามสารทุกข์สุกดิบและให้คนเฝ้ากลับไปแล้วก็มิได้กล่าวอันใด
แม้จะเห็นว่าคนเฝ้าไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีคนแอบจับตาดูอยู่ เป็นเช่นนี้มาจนวันที่ 20 เดือนแปด หยางซือเฉินกับภรรยาปกติอยู่กันเงียบๆ มีออกมาซื้อหาของกินบ้างเท่านั้น และมีเสียงพิณบรรเลงดังแว่วออกมาบ้าง
วันที่ 21 เดือนแปด จางซื่อเฉียงก็เชิญหยางซือเฉินมาพบหวังทงที่จวน
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า คนที่มีท่าทางทำงานจริงจังอย่างไม่เห็นแก่ตนเองเช่นนี้จะปรากฏอยู่ในภาพหนุ่มน้อยอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น หยางซือเฉินได้พบกับหวังทงที่ตั้งหน้าตั้งตารอพบมานาน ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
“ท่านหยางเชิญนั่ง ไม่ทราบว่าท่านหยางรู้ศาสตร์ใดบ้าง เป็นงานใดบ้าง?”
หวังทงเข้าสู่ประเด็นทันที หยางซือเฉินอึ้งไป สูดลมหายใจเข้าอย่างแรงก่อนจะตอบเสียงดังว่า
“ร่ำเรียนตำรามา 20 ปี ประสบการณ์เดินทาง 5 ปี มีความรู้ตื้นเขิน หลายปีนี้อ่านตำราอุบายศึก หวังว่าจะช่วยใต้เท้าวางแผนงาน ออกความคิดเห็นได้บ้าง”
หวังทงกุมขมับ เริ่มทนไม่ไหวถามขึ้นว่า
“รู้จักการคำนวณไหม?” “เข้าใจหลักการทำงานกลุ่มไหม?” “เคยเป็นที่ปรึกษาขุนนางไหม?” “เคยเรียนหลักอาญาไหม?” “เพาะปลูกเป็นไหม?” “รู้สึกงานช่างไหม?”
คำถามมาเป็นชุด นอกจากหลักอาญาแล้ว ที่เหลือล้วนส่ายหน้า แม้เป็นหยางซือเฉินที่ปกติเป็นคนเก็บงำความคิดได้ดี ยามนี้ก็ต้องหน้าแดงไปเพราะคำถามเหล่านี้ ที่หน้าแดงก็มีสองสาเหตุ หนึ่ง เพราะตนมีความรู้อัดแน่น แต่กลับพบว่ามีสิ่งที่ไม่เป็นอยู่มากมายเพียงนี้ สอง สิ่งที่หวังทงถามมานั้นบัณฑิตไม่มีทางรู้ได้ พวกที่ตั้งใจท่องตำราไหนเลยจะไปตรึกตรองเรื่อง ‘กระจิ๊บกระจ้อย’ พวกนี้กัน หากไปตรึกตรองเรื่องพวกนี้ ก็เท่ากับเป็นพวกเหลวไหลไร้ความมุ่งมั่นในการศึกษาเล่าเรียน
หวังทงถอนหายใจ การถอนหายใจครั้งนี้ทำเอาหยางซือเฉินหน้าเสีย หวังทงกล่าวออกมาตรงๆ ว่า
“ตำราอุบายศึกอันใดข้าใช้ไม่เป็น ข้ารู้แค่ว่า บนโลกนี้ไม่ว่าเรื่องใด ขอเพียงมีความสามารถแท้จริงมากกว่าผู้อื่น ย่อมได้เปรียบ มิต้องใช้อุบายศึกอันใด กระทำเปิดเผยตรงไปตรงมาก็พอ หากความสามารถแท้จริงไม่มี เช่นนี้ก็ต้องพยายามพัฒนาตนเองให้เหนือกว่าอีกฝ่าย เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยอันใด”
หยางซือเฉินหน้าเสียและรู้สึกอับอายผสมกัน ชีวิตตกต่ำเพียงนี้ ถูกเด็กหนุ่มพูดจนโต้ตอบกลับไม่ได้ ยามนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไร
หวังทงลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“พูดกันไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่า ไม่ใช่ว่าไม่ใช้งานท่าน แต่ท่านยังไม่เข้าใจงานข้าและเทียนจินนี้ดีนัก ตอนนี้ท่านยังไม่ต้องกล่าวอันใด หาคนพาดูงานไปก่อน ดูไม่เข้าใจก็ถาม รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ตอนนั้นค่อยมาพบข้า!!”