ตอนที่ 307 หัวหน้าหน่วยนาวาพานหมิง
พานหมิงเป็นชาวอำเภออู่เฉียง เมืองเจินติ้ง เขตปกครองเหนือ เป็นตระกูลใหญ่ในพื้นที่ รุ่นปู่เป็นถึงหัวหน้าส่วนในกรมอากร วางรากฐานกิจการตระกูลยิ่งใหญ่ มีที่นาหลายหมื่นหมู่ยาวไปจรดอำเภอเซินโจวและอำเภอเหยาหยาง มีร้านค้าสิบกว่าร้านในอำเภอเซินโจวและอู่เฉียง นับว่าเป็นตระกูลมีอันจะกินตระกูลหนึ่ง
แต่หลายรุ่นต่อมาไม่เอาไหน ปู่ของพานหมิงเป็นบัณฑิตระดับจวี่เหริน บิดาเขาเป็นระดับซิ่วไฉ พานหมิงเองเล่าเรียนจนอายุ 22 ยังสอบไม่ติดแม้แต่ระดับซิ่วไฉ
ต้องมีตำแหน่งจึงจะค้ำจุนกิจการให้รุ่งเรืองได้ หากไม่มีย่อมปกป้องกิจการไว้ไม่ได้ ตระกูลอื่นรุ่งเรืองขึ้นก็ย่อมคิดแย่งชิง
ที่ดินใต้หล้ามากมาย เจ้าครอบครองมากผู้อื่นก็ย่อมครอบครองน้อย ตระกูลเจ้าก็แค่ระดับจวี่เหริน ซิ่วไฉ ตระกูลเรามีระดับจิ้นซื่อ หรือไม่ก็รู้จักผู้ว่าการมณฑล ย่อมสามารถลงมือกับเจ้าได้
ตอนพานหมิงเกิดมา ที่บ้านยังมีที่นาหลายพันหมู่ ร้านค้าที่พอขายทิ้งได้ก็ขายทิ้งไปหมด ปู่เขาเองยังมีตำแหน่งระดับจวี่เหรินติดตัว เหลือที่ดิน 2-3 พันหมู่แค่นี้ก็ย่อมไม่ต้องเสียภาษี ตระกูลเขายังเป็นตระกูลใหญ่ในอำเภออู่เฉียง ชีวิตยังคงสุขสบายดังเดิม
ความร่ำรวยไม่เกินสามรุ่น วาจานี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหลักธรรมที่ใช้ได้ทั่วหล้า แต่ก็ใช้ได้กับตระกูลพาน พานหมิงอายุ 22 มีคนจับจ้องที่นาหลายร้อยหมู่ของเขาว่าเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ต้องการซื้อต่อในราคาหมู่ละสองตำลึง
ที่ดินเป็นสมบัติสืบทอดกันมา ผู้ใดจะขายกินกันง่ายๆ อย่างไรเสียที่ดินอุดมสมบูรณ์ในเขตปกครองเหนือเช่นนี้ก็ต้องหมู่ละสี่ตำลึง ตระกูลพานย่อมไม่ขาย
ทว่าผู้คิดจะซื้อเป็นถึงญาติของกงกงผู้ดูแลการจัดซื้อเครื่องปรุงและสุราของ 24 แผนกในวัง ถือเป็นหน่วยงานที่ดีกว่าระดับหน่วยซักล้างหนึ่งระดับ เป็นหน่วยงานมีเงินแต่ไร้ตำแหน่งในระดับสาม แต่นอกวังนั้น โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภออู่เฉียงนี้ ก็ย่อมเป็นดังฟ้าเบื้องสูง
อีกฝ่ายก็ไม่บีบคั้น เพียงแต่บอกกล่าวกับนายอำเภออู่เฉียงเอาไว้ ทำเอานายอำเภอถึงขั้นลนลานขึ้นมา คิดจะหาเรื่องนั้นง่ายมาก โดยเฉพาะตระกูลพานเช่นนี้ ไม่ต้องเล่นอุบายไรมาก แค่หาสาวใช้มาผูกคอตายสักคนก็พอ
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับตระกูลพาน บุตรชายคนโตของพานหมิงในปีนั้นบังคับจิตใจสาวใช้ให้ร่วมเตียง สาวใช้ผู้นั้นคิดไม่ตกผูกคอตาย ตระกูลพานชดใช้ร้านค้าให้ไปร้านหนึ่งเพื่อให้เรื่องเงียบ
เรื่องเช่นนี้ในตระกูลใหญ่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พบเห็นกันมาแต่อดีต คนว่างงานในอำเภออู่เฉียงก็วิพากษ์วิจารณ์กัน บอกว่าสาวใช้ไม่รู้ความ ร้านค้านายท่านพานก็ชดใช้ให้แล้ว เจ้ายินดีรับไปก็จบ วันหน้าไม่รู้จะร่ำรวยเงินทองสักเท่าไรอีก!
กฎหมายราชวงศ์หมิงว่าไว้ว่า สังหาร คดโกงและทำร้ายบ่าวรับใช้มีโทษหนัก ความผิดกระทงนี้เพียงพอที่จะปลดตำแหน่งบัณฑิตได้ ตระกูลพานก็ไม่มีที่พึ่งในวงขุนนาง ตำแหน่งก็ย่อมไม่อาจรั้งไว้ได้
จากนั้นไม่ว่าเรื่องรังแกคนอ่อนด้อยกว่า แย่งชิงทรัพย์สินประชาชน ความผิดต่างๆ พวกนี้ก็หล่นใส่หัวหมด กำแพงล้มคนย่อมถล่มซ้ำ ต้นไม้ล้มลิงค่างย่อมลาจาก เห็นว่าตระกูลพานเอาเปรียบได้ ก็มีคนมาฟ้อง ทยอยกันมาอย่างไร้เหตุผลก็มี
บิดาพานหมิงถูกเลี้ยงจนมีนิสัยคุณชายใหญ่ แต่เล็กถูกเลี้ยงมาเช่นนี้ พอเติบใหญ่ก็ไม่อาจคิดการใดได้ ยามนั้นได้แต่วิ่งเข้าชนตรงๆ พอทนรับไม่ไหว ก็ถึงกับคิดไม่ตกผูกคอตายไป
พอบิดาจากไป พานหมิงไม่มีแม้แต่ตำแหน่งบัณฑิตสักระดับ จึงไม่ต้องคิดเลยว่าจะปกป้องกิจการได้อย่างไร ถึงตอนนี้มิใช่แค่ญาติของขันทีผู้นั้นต้องการซื้อแล้ว แต่เป็นเนื้อชิ้นโตที่นายอำเภอเองก็จับจ้องตาเป็นมัน
มารดาพานหมิงจากไปนานแล้ว ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับเครือญาติ ที่ติดต่อกันตอนนี้ก็ล้วนเป็นพวกฉวยโอกาส แค่เพียงปีเดียว ตระกูลนี้ก็ล่มสลาย
เรื่องทำกันจนเป็นเรื่องใหญ่ พวกที่เกี่ยวข้องมากมายก็เริ่มกลัว พานหมิงก็แค่ต้นหญ้าโดดเดี่ยวต้นเดียว จัดการเสียก็จะได้จบเรื่องจบราว
โชคดีที่มีคนในที่ทำการอำเภอเห็นแก่เงินเล็กน้อย ขายข่าวให้กับพานหมิงในราคา 100 ตำลึง พานหมิงรู้ว่าไม่อาจอยู่ที่อำเภออู่เฉียงต่อไปได้อีกแล้ว จึงได้ลอบขนเงินหนีออกจากบ้านยามดึก ปิดหน้าปิดตาออกนอกเมืองไปแต่เช้าตรู่
เขามีอาห่างๆ อยู่ที่เทียนจิน ขนเงินไปขอพึ่งพาที่นั่นคงได้ หากคนเรายามโชคร้ายก็มักโชคร้ายทุกเรื่อง พอพานหมิงมาถึงเทียนจิน เขาจึงได้รู้ว่าอาได้ป่วยจากไปแล้ว
พานหมิงไม่เคยดูแลครอบครัวเอง ไม่เคยใช้ชีวิตเอง ไม่ถึงปีก็ใช้เงินไปพอสมควร เห็นชีวิตที่นับวันจะตกต่ำลง เขาไตร่ตรองไปมา จึงได้นำเงินที่เหลือมอบให้แก่หัวหน้าหน่วยของสำนักนาวาสุคนธ์เพื่อขอเข้าสังกัด
หัวหน้าได้รับเงินเขาไว้ พานหมิงยังเป็นคนรู้หนังสือ จึงได้จัดงานสบายให้ทำ ไม่ต้องออกแรงทำงาน เพียงแค่จดบัญชีอะไรพวกนี้เท่านั้น
พานหมิงกลายเป็นคนครอบครัวล้มละลาย เรื่องที่ผ่านมาแต่ละเรื่องกอรปกับเคยร่ำเรียนหนังสือมา ทำให้มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นไม่น้อย
หลังจากทำงานเพียงไม่กี่เดือน เขาก็ได้ใจคนทั้งระดับบนและระดับล่าง ทุกคนล้วนชมเขาว่าเป็นคนดี
หลังจากทำงานได้ราวหนึ่งปี ชาวนาวาสุคนธ์มอบงานเก็บค่ากระถางธูปให้เขาแห่งหนึ่ง ก็ไม่นับว่าเป็นที่ดีอันใด ที่แห่งนั้นเป็นร้านฆ่าหมู มีคนฆ่าหมูห้าคน คนงานเรียนรู้งานอีก 20 กว่าคน แต่ไรมาก็ไม่เคยจ่ายค่าปักธูป
พานหมิงนำคนไปหลายครั้ง ล้วนถูกลงมือและด่าทอกลับมา ทุกคนพากันหัวเราะเป็นเรื่องตลก มีหัวหน้าหน่วยอื่นรอให้พานหมิงปฏิบัติงานไม่สำเร็จจะได้รับงานมาทำต่อ
ปรากฏมีวันหนึ่งพานหมิงไปร้านนั้นคนเดียว คนที่ร้านเห็นพานหมิงมาคนเดียว ย่อมขี้เกียจจะสนใจ ทำการค้าของตนเองต่อไป
พานหมิงหยิบมีดทำครัวออกมาจากอกเสื้อ ในร้านขายเนื้อมีขวาน 20 กว่าเล่ม ยังจะต้องสนใจอาวุธกระจอกของเขาด้วยหรือ จึงพากันหัวเราะเยาะพักหนึ่ง ไม่มีผู้ใดสนใจ
จากนั้นพานหมิงก็ตัดนิ้วก้อยมือซ้ายของตนออก คนในร้านมองตาค้าง เถ้าแก่ในร้านก็ด่าว่า ‘แน่จริงเจ้าก็ตัดอีกสิ’ พานหมิงก็ตัดนิ้วนางอีกนิ้ว คนที่มาซื้อเนื้อตกใจพากันวิ่งหนีออกจากร้านไป พานหมิงเงื้อมีดขึ้นจะตัดนิ้วกลางอีกนิ้ว ยามนั้นคนในร้านก็ยอมอ่อนให้แล้ว
คนที่โหดเหี้ยมกับตนเองได้เพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะโหดเหี้ยมกับผู้อื่นถึงเพียงใด คนในร้านขอร้องให้พานหมิงหยุด บอกว่าวันหน้าค่าปักธูปที่ควรจ่ายก็จะจ่ายไม่ให้ขาดแม้แต่น้อย
ยามนั้นพานหมิงได้ตัดนิ้วกลางซ้ายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ใบหน้าซีดขาว ก่อนจะโยนมีดลงพื้น ดึงเศษผ้าออกมากดไว้ก่อนจะกลับไป
มองพานหมิงที่เดินเซออกไป ชายร่างใหญ่สามในร้านขายเนื้อไม่กล้าที่จะตามออกไป
หลังจากเหตุการณ์นี้ชื่อเสียงของพานหมิงนอกเมืองเทียนจินนั้นก็เป็นที่รู้จักกันในฉายา ‘เจ็ดนิ้วครึ่ง’ และนิ้วมือทั้งสามก็ถูกคนร้านขายเนื้อส่งกลับมาคืนอย่างนอบน้อม พานหมิงตามคนมาดองแห้งแขวนไว้ในห้องของตนเอง
ด้วยการกระทำที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ เงินค่าธูปที่เขารับผิดชอบเก็บนั้นไม่เคยช้าแม้แต่วันเดียว แม้แต่จ้าหน้าที่อำเภอเดินสวนกันยังต้องแสดงท่าทีนอบน้อม
หัวหน้านาวาสุคนธ์หลายคนรู้เรื่องนี้ และหลังตรวจสอบบัญชี ก็พบว่าพานหมิงไม่ได้แอบยักยอกบางส่วนไว้ ต่างยอมรับว่าคนผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถ
พานหมิงเข้าสังกัดนาวาสุคนธ์ได้ปีเดียวก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าหน่วย ได้รับความไว้วางใจจากเบื้องบนมาก นับว่าเป็นบุคคลระดับแกนนำของสำนัก
พอได้เป็นหัวหน้า ก็มีลูกน้อง 300 กว่าคน ดูแลพื้นที่ได้ดี ทุกเดือนมีค่าธูป ทุกวันมีค่าหัวคิว นับว่ามีเงินเข้ากระเป๋าไม่น้อย
เงินที่ได้มาก็นำมาสร้างกิจการ ร่วมหุ้นปันผลกำไร หรือไม่ก็ปล่อยดอกสูง พานหมิงอย่างไรก็เป็นคนรู้หนังสือ สมองย่อมดี แม้จะโกงกินก็ทำได้ไร้ร่องรอย อยู่ในตำแหน่งหัวหน้ามาห้าปี มีทรัพย์สินถึงหนึ่งพันกว่าตำลึง
พานหมิงวันนี้มิได้เป็นคุณชายเจ้าสำอางร่างผอมแบบเมื่อก่อนแล้ว รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ใบหน้าถูกแดดแผดเผาจนเกรียมคล้ำ แต่ยังคงมีนิสัยที่ยากจะเปลี่ยน นั่นก็คือชอบสวมชุดยาวแบบบัณฑิตมีการศึกษา
บางทีนี่อาจเป็นแสดงให้เห็นว่าเขานั้นไม่เหมือนผู้อื่น เขานั้นเป็นผู้มีการศึกษา ทว่าความมีหน้ามีตาห้าปีมานี้ต้องมาสูญสิ้นไปในพริบตา
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรคนใหม่ที่มาประจำเทียนจินนี้ลงมือโหดเหี้ยม ชาวนาวาสุคนธ์ถูกเขากำราบจนไร้ซึ่งบารมีใดใด เก็บเงินค่าธูปก็ไม่ได้แล้ว งานใช้แรงงานที่เคยทำได้ ค่าแรงในหนึ่งวันก็ไม่พอจะแบ่งหัวคิวมาให้ได้แล้ว เมื่อก่อนได้เงินมาก หักหัวคิวก็หักไป ตอนนี้แม้แต่อีแปะเดียวก็คงทำให้กินไม่อิ่มท้อง ยังจะหักหัวคิวอันใดได้อีก
หากพานหมิงมิได้ตระหนกอันใด อย่างไรกิจการก็วางรากฐานดีแล้ว อีกครึ่งชีวิตที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลอีก ซื้อหาหญิงสาวจากครอบครัวที่ดีมาเป็นภรรยา ตอนนี้ก็ตั้งครรภ์แล้ว ไม่เป็นหัวหน้าหน่วยนาวาสุคนธ์ก็ได้
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะคิดตกเหมือนพานหมิง หัวหน้าหลายคนตอนนี้ยังตัวเปล่าเล่าเปลือย หาได้เท่าไรก็ใช้เท่านั้น ตอนนี้ไม่มีทางหยุดพักได้ แต่ก็ไม่อาจบากหน้าไปใช้แรงงานแลกเงิน เรื่องที่ทำตอนนี้ก็คือร่วมตัวกันทุกวันเพื่อร่วมวงด่าหวังทง ด่าองครักษ์เสื้อแพรวัยละอ่อนผู้นี้
พานหมิงขี้เกียจจะร่วมวงกับพวกเขา เขาผ่านอะไรมามากมายจึงปลงตก มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างน้อยในเวลาอันสั้นก็คงหาทางพลิกกลับมาได้เปรียบยาก ไยต้องหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ใช้ชีวิตให้ดี ไม่ดีกว่าหรือ
ร้านค้าริมแม่น้ำทะเลนั้นเป็นไข่ทองคำ พานหมิงมองออก รอให้รวบรวมได้สัก 500 ตำลึงก็จะจับจองพื้นที่ไม่เลวสักผืน รอให้ร้านสร้างเสร็จทำอะไรก็ย่อมร่ำรวย
ขณะที่เขากำลังเตรียมงานอยู่ หัวหน้าหน่วยนาวาสุคนธ์ที่หายตัวไปได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งก็กลับมาติดต่อเขา นำเงินมาด้วยบอกว่าควรทำอย่างไรให้บอกด้วย
พานหมิงคาดว่าหัวหน้าหลายคนน่าจะประสบเรื่องเดียวกันมา ทว่าคนที่มาหาเขาทุกวันนั้นตอนนี้ก็หายตัวไปหมด
สำนักนาวาสุคนธ์เสื่อมลง แต่ยังมีคำสั่งจากหัวหน้านาวาใหญ่ทั้งห้าสั่งการลงมา พานหมิงย่อมไม่กล้าปฏิเสธ สำนักนาวาสุคนธ์บอกว่าชาวนาวาทุกคนกราบไหว้ฟ้าดินเข้าสำนักแล้ว อย่างไรก็เป็นคนของสำนัก หัวหน้านาวาพวกนี้มีลูกน้องที่ยอมตายถวายชีวิตในมือ ตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากไม่รับปากก็ย่อมไม่อาจมีชีวิตต่อไป
การตายของหม่าต้าฟู่นับว่าปกติ แต่การตายของซาเอ้อร์เป่านั้นอยู่ในเขตรับผิดชอบของพานหมิง เขาก็ย่อมเดาได้บางส่วนแล้ว
ร่างกายเริ่มหนาวเหน็บสั่นเทิ้ม ได้แต่ซื้อหาสุราอาหารมากินให้อุ่นกายอุ่นใจ ก่อนจะไปเกลี้ยกล่อมบรรดาหัวหน้าส่วนด้วยกัน
“แม้แต่เด็กน้อยซื่อสัตย์ตั้งใจทำงานยังต้องแขวนคอตาย พวกเราไม่มีทางรอดแล้ว!”
“…การล่มสลายในวันนี้ล้วนเป็นเพราะขุนนางสุนัขหวังทงผู้นั้นผู้เดียว พวกเรานาวาสุคนธ์จะยอมอย่างนี้ต่อไปหรืออย่างไร!!”