Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 357

ตอนที่ 357 ซานไฉยื่นฎีกา ขุนนางชั่วหวังทง

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม หลี่ซานไฉนายกองกรมอากร ขอถวายฎีการ้องเรียน

” ปราชญ์เมธีกล่าวว่า ‘ใกล้ชิดคนชั่ว ห่างไกลคนดี เป็นเหตุให้ฮั่นล่มสลาย’

นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินหวังทงอายุยังน้อยแต่โหดร้ายราวสัตว์ป่า จิตใจโหดเหี้ยม กลับได้ชื่อว่าจงรักภักดี ฝ่าบาทมีพระเมตตาพระราชทานตำแหน่งให้ ควรทุ่มเทตอบแทนพระเมตตา แต่กลับนำทหารออกก่อการชั่วร้าย สังหารขุนนางและประชา ความชั่วมากมี ยังตั้งด่านส่วนตัว เก็บภาษีขูดรีด ขูดเนื้อเถือหนัง ในเวลานี้ยังน่าตกใจยิ่งที่ได้ยินว่าสั่งสมกองกำลัง ฉกฉวยโอกาสแอบอ้างชื่อหู่เวย ตั้งอยู่พื้นที่ทางซ้ายของเมืองหลวง เรื่องนี้แผ่นดินผ่านมาสองร้อยปีไม่เคยพบเห็น

หวังทงเป็นเพียงนายกองพันเล็กๆ กลับฝึกกองทัพหลายสิบค่ายผู้บัญชาการกองทัพและขุนนางบุ๋นตำแหน่งซือหม่าล้วนไม่ระแคะระคาย ผู้บัญชาการกองทัพคุมกำลังกองทัพ ซือหม่าดูแลกิจทหารใต้หล้า ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้บ้างหรือ?

พื้นที่เทียนจินอยู่ใกล้เมืองหลวง เป็นเขตพื้นที่สำคัญ ล้วนเต็มไปด้วยขุนนางและชนชั้นสูงผู้จงรักภักดี ยังมีกองกำลังพิทักษ์หลายกองพัน ไยต้องการกองกำลังหู่เวย? กระหม่อมได้ยินว่าหวังทงแผ่อิทธิพล ยังแจกรางวัลความชอบหนักหนา ให้คำมั่นสัญญาหนักแน่น ทหารพร้อม อาวุธพร้อม กำลังใจฮึกเหิมยิ่ง

หวังทงสั่งสมกำลังเช่นนี้ด้วยมีวัตถุประสงค์อันใด กระหม่อมก็ไม่อาจทราบได้ และก็ไม่กล้าที่จะทราบความนั้น คนผู้นี้จิตใจยากหยั่ง การกระทำไร้ขอบเขต หากวันใดเกิดเรื่องขึ้น หายนะยอมย่อมใกล้ตัวอย่างที่สุด ทำลายสิ่งที่บรรพชนสั่งสมมา หวังทงผู้นี้เฉกเช่นอี้หยาและซู่เตียว[1] แผ่นดินหมิงเราก็เฉกเช่นจี้กังและเจียงปิน[2] กระหม่อมขอร่ำไห้ร้องขอ ให้ดำเนินการตามกฎหมายด้วย กระหม่อมขอใช้ทั้งตระกูลเป็นเดิมพัน ต้องจัดการสอบสวนคนผู้นี้…”

วันที่ 25 เดือนสองปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 7 หลี่ซานไฉถวายฎีกา หนึ่งศิลากระแทกคลื่นพันชั้น

**********

ประตูกลางของวังหลวงคือประตูเฉิงเทียน หน้าประตูเฉิงทียนไปทางใต้หนึ่งพันก้าว จากตะวันออกถึงตะวันตกแปดร้อยก้าวเป็นสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า ‘เวิ่งเฉิง’ ซึ่งเป็นกำแพงเมืองทรงสี่เหลี่ยมโค้งคล้ายภูเขานูนออกมา ทำหน้าที่ป้องกันประตูเมืองอีกชั้นหนึ่ง ประตูตะวันตกของเวิ่งเฉิงเรียกว่าประตูต้าหมิง

สองข้างของเวิ่งเฉิงเป็นที่ตั้งของแต่ละหน่วยงานกรมกองในราชวงศ์หมิง ระหว่างประตูต้าหมิงและประตูเฉิงเทียนจะมีระเบียงคดเรียกว่า ระเบียงพันก้าว

ขุนนางเข้าประชุมทุกวันก็จะใช้ประตูต้าหมิงเข้าสู่เวิ่งเฉิง เดินผ่านระเบียงพันก้าวไปสู่วังหลวง เพื่อเข้าไปที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อที่ซึ่งคณะเสนาบดีใหญ่ประชุมงาน ยังเป็นที่สำหรับคนในวังออกนอกวังไปปฏิบัติหน้าที่

กรมฎีกาอยู่ทางซีกตะวันออกของเวิ่งเฉิง อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับประตูพยัคฆ์ ทิศตะวันตกกลับเรียกว่าประตูมังกร

ขุนนางแต่ละหน่วยงานหากมีฎีกาถวายก็ต้องส่งผ่านกรมฎีกา มีเจ้าหน้าที่กรมฎีการับเรื่องไว้

แต่หลี่ซานไฉแห่งกรมอากรกลับปฏิบัติผิดไปจากระเบียบจารีตที่มีมาแต่เดิม ทุกวันก่อนฟ้าสาง มหาอำมาตย์และคณะราชบัณฑิตแห่งคณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีและหัวหน้ากองทั้งหกกรม สำนักตรวจสอบและขุนนางผู้ใหญ่ที่มีคุณสมบัติเข้าประชุมในราชสำนักได้ ก็ล้วนมารอกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้เพื่อรอเข้าประชุม

หลี่ซานไฉมารอหน้าประตูต้าหมิงน่าจะตั้งแต่ก่อนช่วงเช้ามืด พอรอเห็นคนผ่านมากันเยอะ ก็ประคองฎีกาขึ้นอ่านเสียงดังกังวาน รอบกายยังมีขุนนางระดับกลางถึงระดับล่างจากกรมกองต่างๆ รายล้อมมากมาย

ขุนนางผู้ใหญ่ต่างนั่งฟังเงียบๆ อยู่ในเกี้ยว ไม่มีผู้ใดแสดงความคิดเห็น หลี่ซานไฉยิ่งฮึกเหิมได้ใจ น้ำเสียงก็ยิ่งดัง เนื้อหาในฎีกาก็แต่งได้กินใจ อ่านไปแค่ประโยคเดียว ก็มีพวกที่มาด้วยกันตะโกนร้องเชียร์ดัง ถึงตอนสุดท้ายยังประสานเสียงเชียร์ดังก้องไปทั่ว ครึกครื้นเสียยิ่งกว่าโรงงิ้ว

พอท้องฟ้าเริ่มมีแสงรำไรก็ได้ยินเสียงข้างนอกเคลื่อนไหว องครักษ์วังหลวงยังคิดว่าเกิดเรื่องขึ้น รีบนำกำลังออกมาตรวจสอบ

จางจวีเจิ้งอยู่แต่ในเกี้ยว อิ๋วชีติดตามอยู่นอกเกี้ยวกำลังกระซิบบอกเล่าภาพเหตุการณ์ด้านนอก พอทหารองครักษ์วังหลวงมาถึง จึงได้ลืมตาขึ้นกล่าวว่า

“ถ้าจะยื่นฎีกาก็ควรไปยื่นในที่อันสมควร การประชุมเป็นภารกิจสำคัญ อย่าปล่อยให้มาก่อความวุ่นวายกันที่นี่”

อิ๋วชีพยักหน้า ตามมาด้วยเสียงดังตะโกนขึ้นว่า

“ใต้เท้าท่านนั้น ยื่นฎีกาก็ไปที่กรมฎีกา ตอนนี้ก็เปิดแล้ว ไปส่งที่นั่นได้เลย”

หลี่ซานไฉตวัดหางตาเหลือบมองอิ๋วชีอย่างรวดเร็ว เกี้ยวขุนนางแบ่งระดับชั้น เขาย่อมรู้ว่าใครเป็นใคร

คำพูดของอิ๋วชีทำให้หลี่ซานไฉยิ่งตั้งใจแน่วแน่ เขายกฎีกาในมือขึ้น กล่าวน้ำเสียงดังชัดเจนว่า

“ยื่นฏีกานี้ไป ไม่ว่าถูก ‘ทิ้งค้าง’ หรือ ‘ตีคืน’ ข้าน้อยย่อมไม่เสียดายชีวิต ข้าน้อยมายื่นที่ประตูเฉิงเทียนแห่งนี้ ขอเพียงทวงความยุติธรรมให้แก่ใต้หล้าได้ ขอเพียงขจัดภัยร้ายแห่งราชวงศ์หมิงได้ เท่านั้นก็พอ!!”

เสียงตะโกนเชียร์ดังก้องไปทั่ว ทุกคนมองเห็นใต้เท้าแต่ละท่านจากคณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีและหัวหน้าหกกรมกองและหน่วยงานต่างๆ อยู่ที่นั่น ยามนี้นับเป็นเวลาที่ดีที่สุด

“พี่เต้าฟู่ เรื่องดีๆ เช่นการผดุงธรรมเช่นนี้ไหนเลยจะยอมให้พี่ได้ชื่อเสียงไปเพียงผู้เดียว น้องชายเช่นข้าขอร่วมยื่นฎีกาด้วย!”

“…ชีวิตนี้ไม่เสียดาย ขอเพียงผดุงคุณธรรมให้คงอยู่ น้องชายเช่นข้ายินดี…”

มีบางคนตะโกนเสียงดังมาว่า ‘ชีวิตมนุษย์แต่โบราณกาลมา ผู้ใดไม่ตาย ขอเพียงทิ้งชื่อภักดีใสกระจ่างจารึกไว้’ ทั้งลานกว้างล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่อารมณ์ฮึกเหิม ไม่อาจระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านออกมาได้ พากันหลั่งน้ำตาคลอเบ้า

ด้านนอกเสียงดังขึ้นเรื่อย เซินสือหังที่นั่งอยู่ในเกี้ยวก็ออกอาการคิ้วกระตุก กระซิบออกไปนอกม่านว่า

“กลับจวนไปบอกฮูหยินว่า ให้นางจัดการจดหมายที่ติดต่อกับเมืองเหอเจียน จากนั้นก็เตรียมคนส่งสารให้พร้อม วันนี้มีสารด่วนออกจากเมืองหลวง”

ผู้ติดตามรับคำ รีบวิ่งกลับจวนทันที

***********

แต่ไรมาหากโอรสสวรรค์ยังมาไม่ถึงที่ประชุม บรรดาขุนนางก็จะคุยสัพเพเหระกัน แต่วันนี้ทุกคนกลับนิ่งเงียบมองหน้ากัน แต่ละคนต่างทำท่าทางเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตน

แต่ก็มีบางคนที่สะกดกลั้นตนเองไม่อยู่ หากก็เพียงแต่เหลือบตามองไปรอบๆ เท่านั้นจากนั้นก็ก้มหน้านิ่งต่อไป

จางจวีเจิ้งกำลังนั่งพินิจอ่านฎีกาที่นำมาด้วยสองสามฉบับ เซินสือหังนั่งหลังตรงหลับตานิ่ง หม่าจื้อเฉียงกับหลี่โย่วจือก็ทำท่าทางเช่นเดียวกัน แต่ราชบัณฑิตคนอื่นๆ และเสนาบดีกรมทหารอย่างจางซื่อเหวยแม้ว่าก้มหน้านิ่ง แต่ก็เงยหน้า ส่งสายตาไปที่ประตูเป็นระยะ

“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว…”

เสียงขันทีน้อยหน้าห้องลากเสียงยาวดังแว่วมา จางซื่อเหวยนั่งตัวตรง สายตาจับจ้องที่ประตู ม่านประตูแหวกออก ฮ่องเต้ว่านลี่ก้าวพระบาทเข้ามา

รอบพระเนตรดำคล้ำ สีพระพักตร์เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ากว่าเมื่อวาน ทุกคนล้วนผ่านโลกมาก่อนย่อมรู้ดี การตรากตรำเช่นนี้นับได้ว่ารุนแรงมากเกินไปแล้ว

เช้าตรู่วันนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หน้าประตูต้าหมิง แม้กล่าวว่าฎีกาควรส่งผ่านกรมฎีกาแล้วค่อยส่งต่อมายังสำนักส่วนพระองค์ ฮ่องเต้จึงทรงทราบ แต่ในวังมีคนมากมายที่ย่อมร่วมวงวิพากษ์วิจารณ์ มีคนเกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามกล่าวกันยิ่งมากขึ้นว่า บอกกันว่าเกี่ยวพันถึงการที่โอรสสวรรค์ทรงโปรดปรานหวังทง เช่นนั้นตนจะต้องไปกราบทูลให้ทรงทราบเป็นคนแรก

หากเป็นเมื่อก่อน ใต้เท้าในที่ประชุมเอ่ยถึงหวังทง สีพระพักตร์ฮ่องเต้จะแปรเปลี่ยนทันที วันนี้หากจะกล่าวถึงว่าหวังทงเป็นขุนนางชั่วทำลายแผ่นดิน กล่าวเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้น ฮ่องเต้จะทรงมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นไร

นอกจากจางจวีเจิ้ง แต่ละคนในห้องที่คิดเรื่องนี้อยู่ต่างก็ลอบมองฮ่องเต้น้อย ด้วยต้องการเดาพระอารมณ์ว่าทรงคิดเช่นไร ตนเองจะได้จัดการวางตัวได้ถูกทิศทาง

เมื่อไม่เห็นว่าทรงกริ้ว ไม่เห็นว่าทรงเย็นชา มีแต่ความเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย บรรดาขุนนางให้หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อล้วนเป็นพวกมีประสบการณ์สูง ย่อมพอรู้กันในใจแล้ว แต่ละคนก็ถอนสายตาคืนมา ก่อนจะถวายบังคม

***********

การประชุมวันนี้ ผู้ที่ออกมากราบทูลเป็นคนแรกก็คือเสนาบดีกรมอากร หม่าจื้อเฉียง สีหน้าเขาสังเลเล็กน้อย ขุนนางให้ที่ประชุมต่างมองมา หรือว่าจะทูลเรื่องที่ประสบมาเมื่อเช้ากัน

ลังเลอยู่นาน มองไปทางจางจวีเจิ้งอีกที หม่าจื้อเฉียงก็ถวายคำนับกราบทูลขึ้นว่า

“ทูลฝ่าบาท กรมอากรส่งขุนนางไปเก็บภาษีที่ดินแล้ว มีสามแห่งได้แก่เขตปกครองใต้ เจ้อเจียงและเจียงซี ปีก่อนส่งขุนนางไปเก็บก็ไม่กลับมา ปีนี้ไม่ส่งไปแล้ว”

นี่เป็นงานปกติทั่วไป นำมาทูลที่นี่ หรือว่าเลอะเลือนไปแล้ว แต่ก็พอเห็นว่าหม่าจื้อเฉียงพูดไปก็ติดอ่างเอ้ออ้า ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา

ในที่ประชุมก็ยิ่งเงียบลง แม้แต่ขันทีที่รอรับใช้หน้าประตูก็ยังเงยหน้าขึ้นมอง จางจวีเจิ้งหรี่ตามองมา กระแอมไอกล่าวว่า

“ใต้เท้าหม่า ต่อเบื้องพระพักตร์ โปรดระวังกิริยา”

พอกล่าวเช่นนี้ หม่าจื้อเฉียงจึงได้ระงับจิตใจให้สงบลง ก่อนจะทูลขึ้นเสียงเบายิ่งว่า

“ทูลฝ่าบาท เมืองซงเจียงเขตปกครองใต้เก็บภาษีที่ดินไม่ได้ เจ้าหน้าที่ส่งไปสอบถามว่า เรื่องนี้ควรดำเนินการเช่นไรต่อ?”

ภาษีที่ดิน ตรวจสอบที่ดินที่นาที่แอบซ่อนไว้ นี่เป็นนโยบายสำคัญที่สุดก่อนเริ่มปีรัชศกปกครองใหม่ที่จางจวีเจิ้งผลักดันขึ้นมาและให้ความสำคัญอย่างมาก เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานไม่สำเร็จ ทางเดียวก็คือปลดจากตำแหน่งส่งกลับบ้านเกิดไป หรือไม่ก็จับเข้าคุกเอาผิด เรื่องเช่นนี้หม่าจื้อเฉียงทำไมยังต้องนำมากราบทูลที่นี่ด้วย

แต่สักพักทุกคนก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเข้าใจ หากเป็นว่านลี่ผู้เดียวที่ยังไม่เข้าใจ เดิมพระสติเลื่อนลอยอยู่นั้น แต่ฎีกานี้ทำให้ทรงรู้สึกตื่นพระองค์ขึ้นมาเล็กน้อย

พอเห็นสายพระเนตรว่านลี่จ้องมา จางจวีเจิ้งก็ก้าวออกมาคำนับก่อนจะทูลว่า

“ฝ่าบาท เมืองซงเจียงส่วนใหญ่ทำการค้า ที่นาที่ดินไม่มาก ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาถกต่อ กระหม่อมคิดว่าให้ไปตรวจภาษีที่อื่นแทน ฝ่าบาททรงมีพระวินิจฉัยเช่นไรพะยะค่ะ?”

“ท่านจางเสนอได้เหมาะสมดีแล้ว ทำไปตามเสนอ!”

แต่สีพระพักตร์ก็ยังคงไม่เข้าใจเรื่องราว เห็นขุนนางแต่ละคนในหอประชุมกระจ่างชัดเจนในเรื่องราวแล้วก็ไม่ทรงกล้าถามต่อ ได้แต่คิดว่าเลิกประชุมค่อยไปถามเอากับเฝิงเป่าหรือจางเฉิงแทน

สีหน้าหม่าจื้อเฉียงโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกลับเข้าแถว เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยก้าวออกมาถวายคำนับกราบทูลว่า

“ทูลฝ่าบาท วันนี้ยามเช้าที่นอกประตูต้าหมิง มีขุนนางกรมอากรหลี่ซานไฉอ่านฎีกา เรื่องนี้คิดว่าพระองค์คงได้ทรงรับฟังมาแล้ว หวังทงจัดตั้งกองกำลังหู่เวย ฝึกทหารหลายสิบค่ายนับพันนาย กระหม่อมในฐานะเสนาบดีกรมทหาร บกพร่องต่อหน้าที่ ผิดพลาดแล้วก็ขอแก้ไข ย่อมไม่สายเกินไป ขณะที่ยังไม่เกิดเรื่องใหญ่ ขอพระองค์ตัดเขี้ยวเล็บหวังทง จับกุมมาลงโทษด้วยพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงฟังไปพระเนตรก็ใกล้จะปิดไป สะดุ้งสัปหงกก่อนจะประทับนั่งตรง ได้ยินจางซื่อเหวยกล่าวมา พระขนงก็ขมวดขึ้นทันที ตรัสอย่างรำคาญพระทัยเต็มทีว่า

“ที่หวังทงทำทุกอย่างล้วนเพราะความภักดีต่อเราทั้งสิ้น ไม่ว่าฝึกกองกำลัง ตั้งด่านภาษี ก็เป็นเรื่องที่เรารู้และอนุญาตแล้ว เรื่องพวกนี้ พูดกันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ทำไมต้องพูดอีก ขุนนางจางไม่ต้องพูดอีกแล้ว”

จางซื่อเหวยไม่ได้รับคำถวายบังคมกลับเข้าที่ กับยกชายเสื้อขึ้นคุกเข่าลงกราบทูลเสียงดังว่า

“ฝ่าบาท ประชาชนชั้นบัณฑิตเป็นรากฐานแห่งแผ่นดิน มีตำแหน่งบัณฑิตก็ย่อมไม่ต้องจ่ายภาษี เป็นกฎระเบียบตั้งมาตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้ ก็เพื่อให้แผ่นดินหมิงเรามั่นคงเป็นปึกแผ่น หวังทงขูดรีดขุนนางและประชาชน เก็บพวกที่ได้รับยกเว้น เป็นการทำลายรากฐานแห่งแผ่นดิน ทำลายราชบังลังก์นะพะยะค่ะ!!”

————————————————————————-

[1] ขุนนางในสมัยชุนชิว อี้หยาเป็นพ่อครัว เพื่อทำให้พระเจ้าเซวียนแห่งรัฐฉีพอใจ ถึงกับสังหารบุตรชายตนเองเอาเนื้อมาทำอาหารถวาย ส่วนซู่เตียวแสดงความจงรักภักดีกับพระเจ้าเซวียนด้วยการตอนตนเองเพื่อเข้าวัง ทั้งสองต่างถูกมองว่าไร้ความเป็นมนุษย์ ไม่ควรให้รับใช้ใกล้ชิด เป็นขุนนางประจบสอพลอ

[2] จี้กังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้หย่งเล่อแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ต่อมาคิดการไม่ซื่อจึงถูกประหาร และเจียงปินเป็นขุนพลในเขตปกครองเหนือ ได้รับโปรดปรานจากฮ่องเต้เจิ้งเต๋อในเรื่องศาลาเลี้ยงเสือดาว ได้ชื่อว่าเป็นขุนนางชั่ว ประจบสอพลอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!