ตอนที่ 372 จบเรื่อง เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด
คณะตรวจสอบเป็นกิจทางการ หวังทงย่อมรับรองที่ที่ทำการ แต่หูจื้อจงแห่งสำนักส่วนพระองค์หลายวันนี้ไม่เห็นแม้เงา พอถึงคราวต้องมาเยือนก็ขอมาที่จวนหวังทงข้างหอกลอง
หูจื้อจงนำองครักษ์ติดตามมาจากเมืองหลวงด้วยสองนาย ยังมีทหารที่หวังทงส่งไปนำทางอีกหลายนาย ตอนมาถึงที่ประตูจวน ก็ทำตามธรรมเนียม ให้คนเข้าไปรายงานก่อน
คณะตรวจสอบจากเมืองหลวง ทหารของหวังอย่างไรก็พอรู้บ้าง ดังนั้นจึงมิได้ปฏิบัติต่อด้วยท่าทีดีสักเท่าไร ได้แต่ตอบรับอย่างเย็นชา ไม่ทักไม่ทาย ให้หูจื้อจงรอที่หน้าประตู จากนั้นก็เข้าไปรายงาน
หากที่ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ หวังทงได้ยินว่าคนผู้นี้มาเยือน ก็ออกมาต้อนรับที่ประตูด้วยตนเอง พอเห็นนายของตนเช่นนี้ คนที่เหลือก็ไม่กล้าแสดงท่าทีเสียมารยาท พลทหารวิ่งออกไปเปิดประตูให้เข้ามาทันที
ณ ที่ทำการ ตอนที่คณะตรวจสอบตำแหน่งสูงมากันหลายคนท่าทางเอาเรื่อง หวังทงเพียงแค่รอต้อนรับในห้องโถงเท่านั้น แต่ครั้งนี้มาคนเดียว หวังทงกลับออกมาต้อนรับที่หน้าประตูใหญ่ ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจด้วยคาดไม่ถึง
พอมาถึงหน้าประตูใหญ่ เห็นหูจื้อจงเข้ามา หวังทงก็ประสานมือคารวะ กล่าวอย่างให้เกียรติว่า
“ท่านนี้คงเป็นหูกงกง หวังทงขอคารวะ”
ประตูใหญ่ปิดลง หูจื้อจงประสานมือตอบกลับเอ่ยว่า
“ใต้เท้าหวังช่างให้เกียรติ ข้าหูจื้อจง เราพบกันไม่เป็นทางการครั้งแรก”
สองฝ่ายพบกันด้วยมารยาทเท่าเทียมกัน หวังทงเอียงตัวเปิดทางแสดงการเชื้อเชิญ หูจื้อจงยิ้มพยักหน้า สองฝ่ายเดินไปห้องรับรองด้วยกัน บรรดาคนที่อยู่ในห้องต่างประหลาดใจ หวังทงทำงานเข้มงวดมาก หากเป็นเรื่องส่วนตัวจะทำตัวสบายๆ ไม่พิถีพิถันสักเท่าไร ไม่ค่อยได้เห็นการให้ความสำคัญเช่นวันนี้นัก
ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรอง ทหารยกชาเข้าไป หากไม่มีผู้ใดรอรับใช้ด้านใน ตอนเดินออกมาก็นำคำสั่งของหวังทงออกมาบอกทุกคนว่าเหลือแค่สองสามคนรอรับใช้ไกลออกไปหน่อยกก็พอ ที่เหลือห้ามเข้าใกล้บริเวณโดยรอบ
**********
ทั้งสองนั่งลง หวังทงก็กล่าวขึ้นว่า
“เฝิงกงกงสบายดีไหม จางกงกงสบายดีไหม โจวกงกงสบายดีไหม?”
รวมถามทีเดียวสามคน นี่ก็เป็นธรรมเนียม หูจื้อจงมีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ตอบว่า
“กงกงทุกท่านสบายดี”
กล่าวจบ หูจื้อจงก็ลุกขึ้น หันไปประสานมือทางเมืองหลวงกล่าวว่า
“ก่อนมาไทเฮาทรงมีพระดำรัสว่า……”
หวังทงเองก็ลุกขึ้นคุกเข่าลง กล่าวขึ้นว่า ‘กระหม่อมหวังทงรับพระบัญชา’ หูจื้อจงกล่าวต่อว่า
“ไทเฮาทรงมีพระดำรัสว่า หูจื้อจงเจ้าไปดูไปฟังความที่เทียนจินมาให้มากๆ หวังทงจงรักภักดีเพื่อราชสำนักหรือกระทำการเหิมเกริม ต้องดูให้ละเอียด ฟังความมาให้รอบด้าน ตัดสินใจที่นั่นให้ดี แล้วกลับมารายงานให้ละเอียด”
กล่าวถึงตรงนี้ หูจื้อจงก็ยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังลุกขึ้นเถิด เฝิงกงกงกับจางกงกงก็กำชับข้าก่อนมา ทางเทียนจินปฏิบัติงานเพื่อในวัง หาเงินส่งเข้าคลังวังหลวงมากมาย ใต้เท้าหวังตรากตรำสร้างความดีความชอบ ไม่อาจทำร้ายขุนนางภักดี”
หวังทงทิ้งมือแนบกายยืนขึ้น กล่าวว่า
“ขอบคุณเฝิงกงกงและจางกงกงที่ดูแล เหล่านี้เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ไม่อาจเรียกว่ายากลำบากแต่อย่างใด”
หูจื้อจงมองหวังทงอย่างแปลกใจเล็กน้อย ไม่ว่ามองอย่างไร หวังทงก็เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุเพียง 15 เท่านั้น เทียบกับว่านลี่ที่อายุเท่ากันแล้ว พระองค์กลับดูเป็นผู้ใหญ่ไม่มากนัก หากท่าทางหนักแน่น ไม่รีบไม่ร้อนเช่นนี้ นึกถึงเมื่อหลายวันก่อนวางท่านักเลงโตต่อหน้าขุนนางสี่ท่านนั้นแล้ว จิตใจยากหยั่ง ไม่ธรรมดา
“ใต้เท้าหวังเชิญนั่ง จากนั้นช่วยเล่าเรื่องที่เทียนจินให้ข้าฟังหน่อย กล่าวกับใต้เท้าตามตรง ตอนข้ามาที่นี่ ไม่คิดว่าไทเฮาจะทรงมีพระดำรัสมา”
หวังทงยิ้ม สองฝ่ายนั่งลง หูจื้อจงนิ่งไปก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“การจัดเก็บภาษีคลองส่งน้ำ ใช้ระเบียบแบบกองทัพ มีผู้นำเก็บมีผู้นำตรวจ ขจัดการเอาเปรียบพ่อค้า หรือแอบยักยอกส่วนตัว เงินภาษีที่ได้ไม่สูงแต่ก็สะสมให้สูงดังเจดีย์ในวันหน้าได้ ซึ่งก็ไม่เลว แม่น้ำทะเลเปิดทางออกทะเล ดึงดูดพ่อค้าแดนใต้ทั้งฮกเกี้ยนและมาเก๊า รวมทั้งเรือฟะรังคีให้เข้ามาทำการค้า เพิ่มรายได้ภาษีอีกทาง นี่ก็เป็นจุดดียิ่งใหญ่อีกจุด ส่วนเรื่องร้านค้าสองฝั่งแม่น้ำทะเล ซ่อมแซมเส้นทาง ดึงดูดพ่อค้ามากมายให้มารวมตัวกันจนปรากฎเป็นภาพความเจริญเฟื่องฟู ก็ยิ่งราวกับติดปีกพยัคฆ์”
“ขอบคุณหูกงกงที่กล่าวชม”
หวังทงประสานมือขอบคุณอย่างถ่อมตน หูจื้อจงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“นี่ไม่ใช่คำชม แต่เป็นเรื่องจริง ยากที่ท่านจะไม่คิดมีใจคิดเพื่อประโยชน์ตน หลายวันก่อนตอนตรวจบัญชีก็มีคนของข้าอยู่ด้วย รายงานว่าบัญชีท่านชัดเจน ทุกอย่างกระจ่างแจ้ง แสดงให้เห็นว่าที่ท่านทำไปทุกอย่างเพื่อวังหลวง เพื่อฝ่าบาท”
************
เมื่อได้ยินหูจื้อจงพูดเช่นนี้ หวังทงก็ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ตั้งแต่มีข่าวว่าจะคณะตรวจสอบจะมา หวังทงก็มีจดหมายไปสื่อสารกับทางเมืองหลวงหลายครั้ง
จนถึงกับต้องส่งคนมาร่วมตรวจด้วย หากผู้ที่ตัดสินใจในเรื่องนี้ก็คือไทเฮาทั้งสอง ฝ่าบาท เฝิงเป่าและจางเฉิง ที่จะไปรายงานจริงก็คงมีแต่ไทเฮาฉือเซิ่ง เฝิงเป่าและจางเฉิงสามคนนี้เท่านั้น
ชื่อเสียงของหวังทงไม่ดี แต่อย่างไรก็ส่งเงินจากเทียนจินเข้าวังไม่หยุด ไทเฮาฉือเซิ่งและเฝิงเป่าย่อมไม่ถูกพวกนอกวังกดดันจนต้องให้ผลตรวจสอบเอนไปตามที่พวกเขาต้องการ แต่ต้องค้นหาความจริง ว่าเทียนจินที่แท้แล้วเป็นเช่นไร
หากว่าหวังทงทำการเหิมเกริมวางอำนาจ ขูดรีดเงินทองประชาราษฎร์จนแผ่นดินร้อนเป็นไฟจริงล่ะก็ การดับทุกข์ร้อนของประชาราษฎร์และเสียงวิพากษ์บัณฑิตก็เป็นสิ่งสมควร หากเป็นผู้สามารถหาเงินหาทองได้เก่งกาจจริง ก็ไม่อาจปรักปรำขุนนางภักดีสร้างความดีความชอบ มิเช่นนั้นวันหน้าผู้ใดจะยอมทำงานอย่างสุดกำลังเพื่อวังหลวงกัน
เฝิงเป่าและจางเฉิงก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน ล้วนรู้ว่าอีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะเอนไปคนละด้าน ไทเฮาฉือเซิ่งก็ทรงรู้เรื่องนี้ จึงได้เลือกคนที่สองฝ่ายล้วนยอมรับนำคำสั่งไป
หูจื้อจงเป็นบัณฑิตระดับจวี่เหรินในปีรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งที่ 40 เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในครอบครัว จึงหมดกำลังใจ จัดการตนเองเข้าวังเป็นขันที ว่ากันว่าคนเช่นนี้ไม่เคยศึกษาในสำนักศึกษาในวัง ไม่ผ่านการเป็นอาลักษณ์ ไม่ใช่พวกเดินเส้นทางฝ่ายในมาอย่างถูกต้องย่อมไม่อาจเข้าสู่สำนักส่วนพระองค์ได้ แต่หูจื้อจงวางตัวเป็นกลาง ยอมทนลำบาก ทำงานละเอียด ยังเคยทำงานนอกวังมาก่อน ประสบการณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง และยังด้วยนิสัยละเอียด จึงนับเป็นผู้สามารถในวัง
ตั้งแต่รัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งจนถึงปัจจุบัน หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เปลี่ยนมาหลายคน แต่ก็เห็นความสำคัญของหูจื้อจงไม่เปลี่ยน เพราะเขาเป็นกลาง ทำงานซื่อสัตย์ จนมาสู่ตำแหน่งในวันนี้
หลังจากเลือกคนแน่นอนแล้วว่าเป็นเขาผู้นี้ จางเฉิงก็ส่งจดหมายไปหาหวังทงว่าเทียนจินมีช่องโหว่อันใดหรือไม่ มีการเบียดบังเงินหลวงหรือไม่ หากมีก็ให้รีบจัดการให้เรียบร้อย เรื่องนี้หวังทงตอบกลับไปว่าเทียนจินตรงไปตรงมา ไม่กลัวการตรวจสอบ
คณะตรวจสอบนี้ ห้าคนจากทั้งในและนอกวัง เบื้องหลังย่อมมีฝักมีฝ่ายของตน จัดการไปหนึ่ง ยังมีอีกสี่ หวังทงใช้วิธีการโจมตีทีละคน หาจุดอ่อนมาบีบ มีเพียงหูจื้อจงคนเดียวที่จัดการได้ยาก ตรวจสอบไปทั่วก็ไม่พบอะไร รู้มาแต่ฉายาว่า ‘คนจริง’
ทว่าเมื่อก่อนตอนโจวอี้อยู่ในวังก็คบหาสหายกว้างขวาง ไม่เคยล่วงเกินผู้ใด ไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยเหลือ หูจื้อจงเคยล้มป่วยใหญ่ตอนสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง เขาทำงานตรงไปตรงมาล่วงเกินคนในวังไปไม่น้อย เป็นโจวอี้ที่ตามหมอหลวงมาดูอาการ ก็นับว่าติดค้างน้ำใจกัน
เช่นนี้จึงได้ฝากคำพูดไป หูจื้อจงตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘หากเทียนจินไม่มีอะไรบกพร่อง ข้าย่อมไม่กล่าวตามนั้น หากมีข้อบกร่อง ข้าก็ไม่อาจกล่าวรายงานว่าไม่มี’ สำหรับหวังทงแล้ว การรายงานตามความเป็นจริง ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด
พอมาถึงเทียนจิน กัวผิงกว่าง ชิวเหยียนไห่และคนอื่นๆ คอยหาเรื่อง ไม่มีอะไรก็หาให้มีอะไร มีแต่หูจื้อจงผู้เดียวที่ออกเดินเตร็ดเตร่ไปทุกวัน คนนำทางให้เขากลับมารายงานทุกคืนว่าเอาถามแต่ว่าแต่ละแห่งมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นไร ถามพ่อค้าและชาวบ้าน สนใจไปหมดทุกเรื่อง มีสองวันที่แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดา
หากบอกว่าคณะตรวจสอบสี่ท่านเป็นเพียงเรื่องน่าขัน หูจื้อจงผู้นี้กลับทำการตรวจสอบได้เหมือนกับโลกปัจจุบัน ทำให้หวังทงรู้สึกใจเต้นตุ๊มต่อม รู้สึกเครียดกังวลมาจนถึงบัดนี้ ตอนนี้นับว่าโล่งใจได้แล้ว
ท่าทางโล่งใจนั้นอยู่ในสายตาของหูจื้อจง ในเมื่อกล่าวกันชัดเจนแล้ว ทุกคนย่อมเปิดใจ หูจื้อจงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าอย่าได้ด่วนดีใจเร็วไป ทางข้ารับรองแล้ว ทว่าขุนนางทั้งหลายใช่ว่าจะรับรอง พวกมีตำแหน่งบัณฑิตได้รับการละเว้นภาษี ผู้ใดบ้างไม่ทำการค้า ท่านตั้งด่านเก็บภาษีไปทั่ว กระทบเงินทองทุกคน เป็นการล่วงล้ำขอบเขตพวกเขาทุกคนเข้า ทุกคนย่อมไม่ยอมรามือ ข้าเดาว่าหลังจากกลับถึงเมืองหลวง เรื่องที่เทียนจินก็คงยังไม่จบแค่นี้ ด่านภาษีและการฝึกกองกำลัง เกรงว่ายังคงต้องคลุมเครือไม่แน่ชัดเช่นนี้ต่อไป”
ในเรื่องนี้ย่อมมีน้ำใจให้กับโจวอี้และจางเฉิงบ้าง ในเมื่อหวังทงทักทายเริ่มต้นก็ถามไถ่ถึง หูจื้อจงก็ย่อมกล่าววาจาแสดงความใกล้ชิด ทุกคนมอบน้ำใจไว้หน้ากัน
“เป็นการดีที่จะคลุมเครือกันต่อไป เรียนหูกงกงตามตรง กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาให้คงอยู่ต่อไป”
หวังตงพูดอย่างจริงจัง หูจื้อจงจ้องมองเขาสักครู่แล้วก็ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้งที่ 30 มา ในวังนอกวังก็ประสบภาวะความยากลำบากจากสภาพคล่อง ถึงตอนนี้จึงได้ผ่อนคลายลง มาดูที่เทียนจินของท่าน ยังรู้สึกได้เปิดหูเปิดตา รู้สึกว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ ในวังนอกวังล้วนมีผู้มีความสามารถ หรือว่ามาสู่ยุครุ่งเรืองแล้ว?”
************
วันที่สอง เดือนสี่ ณ เมืองหลวง ยามนี้อากาศดีที่สุด แต่เสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยกลับอารมณ์ไม่ดีนัก แม้ว่าคณะตรวจสอบยังไม่กลับมา แต่ข่าวก็ย่อมมีม้าเร็วนำมาก่อนแล้ว
ได้อ่านข่าวแล้ว จางซื่อเหวยก็ขว้างจอกชาทิ้ง คนของตนเองได้ไปกำชับก่อนไปแล้ว หากรายงานที่ส่งมากลับมีแต่คำชม บอกว่าเทียนจินดีไปหมด ทรงประสิทธิภาพดีไปหมด บอกว่าหวังทงเก่งกล้ามากสามารถ เป็นขุนนางจงรักภักดีอันดับหนึ่ง……
หากผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นคำพูดตามมารยาทวงการขุนนาง ไยต้องส่งคนไปตรวจสอบด้วย ขุนนางพวกนั้นกล้าเขียนรายงานเช่นนี้ได้
หลังจากจางซื่อเหวยระบำยความโกรธจบ ก็รีบส่งคนไปที่สมาคมซูโจวแจ้งสายข่าวต่างๆ พวกคณะบัณฑิตชิงหลิวก็เริ่มเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่ถึงสองชั่วยามก็รีบลดธงถอยทัพเงียบกริบ
มีคนส่งข่าววงในให้จางซื่อเหวย สารนั้นเขียนไม่กี่คำว่า ‘เฉียนชุนผิงที่จวนจางฮั่น ข้ารู้เรื่องทั้งหมด เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด’