Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 376

ตอนที่ 376 โอรสสวรรค์ใช่ว่าต้องเป็นใหญ่เสมอ

“เราบอกว่าประชวรไม่ใช่หรือ? วันนี้ประชุมเช้าก็ไม่ได้ไป ทูลเสด็จแม่ไปว่า เราไม่ไป!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ในห้องทรงอักษรตรัสตอบไปอย่างกระวนกระวาย จางเฉิงถอนหายใจถอยห่างออกไปสองก้าว ไม่นานนัก ด้านนอกก็มีเสียงรายงานดังมาว่า

“ฝ่าบาท ไทเฮาตรัสว่า แม้ว่าทรงประชวร ก็ให้ไปรักษาพระวรกายที่ตำหนักฉือหนิงกงพะยะค่ะ”

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ซีดลงทันที หันกลับไปมองจางเฉิง ลังเลสักครู่หนึ่งก็ถามขึ้นว่า

“จางปั้นปั้น?”

“ฝ่าบาท ในเมื่อเป็นรับสั่งไทเฮา เช่นนี้ก็เสด็จเถิดพะยะค่ะ”

จางเฉิงตอบเสียงเบาๆ ได้เห็นสีพระพักตร์หวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ของฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว ก็อดกระซิบไปอีกไม่ได้ว่า

“ไทเฮาเป็นเสด็จแม่ฝ่าบาท ไม่มีอันใดหรอกพะยะค่ะ”

ว่านลี่ลุกขึ้นอย่างลังเล จางเฉิงเดินนำไปเปิดประตูออก ด้านนอกมีขันทีสิบกว่าคนกำลังรออยู่ด้วยสีหน้านอบน้อม หนึ่งในนั้นเป็นขันทีใหญ่จากตำหนักฉือหนิงกง พอเห็นฮ่องเต้เสด็จออกมา ก็รีบคุกเข่าถวายคำนับ เลิกม่านเกี้ยวประทับขึ้น ยิ้มทูลเชิญเสด็จว่า

“เสด็จขึ้นเกี้ยวพะยะค่ะ ไทเฮากำลังรอฝ่าบาทเสด็จอยู่!”

ท่าทางของฮ่องเต้ว่านลี่ในเวลานี้ค่อนข้างสงบนิ่งสงวนท่าที เสด็จขึ้นเกี้ยว ขันทีตำหนักฉือหนิงกงสบตากับจางเฉิง สองฝ่ายพยักหน้าให้กัน

***********

ฮ่องเต้ว่านลี่คุ้นเคยกับตำหนักฉือหนิงกงอย่างมาก ตั้งแต่ลงจากเกี้ยวมาก็ไปตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม ไม่มีอันใดผิดปกติ แต่ในพระทัยนั้นรู้สึกไม่สบายพระทัยอย่างยิ่ง

มองไปรอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นขันทีที่มากับพระองค์ หรือผู้ติดตามพร้อมอาวุธอารักขา แม้ว่าสีหน้าคุ้นเคยดี แต่ไม่มีผู้ใดวางใจได้สักคน เจ้าจินเลี่ยงรักษาตัวอยู่ เขาเป็นคนเดียวที่ไว้ใจ สามารถวางทุกอย่างไว้ในมือได้ เรื่องบาดแผลพวกนั้น ไม่กล่าวถึงได้เป็นดี

ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จผ่าน ขันทีและนางกำนัลล้วนคุกเข่าถวายคำนับ มีเสียงสูงรายงานดังขึ้น มีคนผลักประตูใหญ่ตำหนักฉือหนิงกงออก ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้าไป

โถงพระตำหนักงดงาม พอเสด็จเข้าไป ประตูด้านหลังก็ปิดลง มองไปข้างหน้า ไทเฮาฉือเซิ่งกำลังคุกเข่าอยู่กลางห้อง เฝิงเป่าแห่งสำนักส่วนพระองค์และจางจิงแห่งสำนักอาชาหลวงทิ้งมือยืนอยู่สองข้าง ที่เหลือก็เป็นนางกำนัลคนสำคัญในตำหนักฉือหนิงกง

ว่านลี่มีความเคารพหวาดกลัวไทเฮาฉือเซิ่งมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่สามส่วน ดูให้ละเอียดอีกที ไทเฮาฉือเซิ่งสวมชุดเต็มยศทางการ

ในวังมีจารีตธรรมเนียม หญิงชั้นสูงในวังแบ่งเครื่องแต่งกายออกเป็นชุดเต็มยศ ชุดพิธีการ ชุดปกติ เป็นต้น ชุดเต็มยศนี้ล้วนใส่ออกงานสำคัญ ซึ่งก็คืองานทางการ

“ฝ่าบาทเข้าเฝ้าไทเฮา ขอทรงคำนับตามธรรมเนียม!”

ฮ่องเต้ประทับนิ่งอยู่ที่เดิม น้ำเสียงลากยาวดังขึ้น ว่านลี่ตะลึงไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงนี้คือเฝิงเป่า พอเงยพระพักตร์มองไป สีหน้าเฝิงเป่าเคร่งขรึมผิดปกติ ฮ่องเต้ว่านลี่แต่เล็กมีจางจวีเจิ้งเป็นพระอาจารย์ มีเฝิงเป่าคอยรับใช้ใกล้ชิด

เฝิงเป่าในสายพระเนตรของฮ่องเต้ว่านลี่เป็นดังผู้อาวุโสที่ไม่อาจล้อเล่นได้ ความหวาดกลัวของว่านลี่ที่มีต่อเฝิงเป่านั้นก็ไม่ได้น้อยไปว่าไทเฮาฉือเซิ่ง พอเห็นท่าทางเฝิงเป่าเช่นนี้ พระทัยว่านลี่ก็หล่นวูบ เกียรติยศศักดิ์ศรีฮ่องเต้ทิ้งไปก่อน เข่าอ่อนลงทันที ทรงคุกเข่าลง

“กราบบังคมเสด็จแม่”

ตามธรรมเนียมแต่ไรมา ฮ่องเต้คุกเข่าลง ไทเฮาก็ย่อมตรัสให้ลุกขึ้น ก็แค่ทำตามธรรมเนียม แต่วันนี้พอฮ่องเต้ว่านลี่คุกเข่าลง ไทเฮากลับไม่ตรัสให้ลุกขึ้น

ห้องโถงในตำหนักฉือหนิงกงเงียบกริบไปครู่หนึ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า

“จางจิง จับตัวซุนไห่มาลงโทษแล้วหรือยัง”

“ทูลไทเฮา ซุนไห่เมื่อวานจับเข้าคุกหลวงแล้ว รอพระบัญชาลงอาญาพะยะค่ะ”

ได้ยินว่าซุนไห่ถูกจับ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ร้อนพระทัยทันที เงยพระพักตร์คิดจะตรัส พอดีกับสายพระเนตรไทเฮาที่มองมาอย่างเย็นเยียบ จึงไม่กล้าสบพระเนตร รีบก้มพระพักตร์ลงทันที

“อดีตฮ่องเต้ยกบังลังก์ให้ฝ่าบาท ก็เพื่อให้ทรงตั้งพระทัยปกครองใต้หล้า ไม่ใช่ให้ฝ่าบาทเอาแต่ทำเรื่องเหลวไหลในอุทยานปัจจิม แสดงละครไปสู่ความพินาศของแผ่นดิน!”

เมื่อฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยิน ก็อดเงยพระพักตร์ขึ้นโต้แย้งไม่ได้ว่า

“เสด็จแม่ หม่อมฉันโตแล้ว ทุกวันเอาแต่ประชุม จัดการราชกิจไม่เคยละเลยบกพร่อง การไปอุทยานปัจจิมเป็นอย่างไรหรือพะยะค่ะ หรือว่าลูกเป็นถึงโอรสสวรรค์แห่งราชวงศ์หมิง ก็ทำไม่ได้งั้นหรือพะยะค่ะ?”

“ทุกวันเข้าประชุมสัปหงก จิตใจล่องลอย หลายครั้งปิดประชุมก่อนเวลา นี่เป็นเรื่องเหลวแหลกอย่างที่สุดแล้ว ยังบอกว่าไม่กระทบหรือ อดีตฮ่องเต้ทรงลำบากตรากตรำพระวรกายเพื่อแผ่นดิน หรือเจ้าจะทำลายทิ้ง?”

สุรเสียงของไทเฮาเย็นเยียบยิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ที่คุกเข่าอยู่กลับรู้สึกยิ่งโมโห ไม่เห็นว่าพระองค์ทำอะไรผิด พระองค์เป็นถึงโอรสสวรรค์ เหตุใดยังต้องคุกเข่ารับการสอนสั่งที่นี่ด้วย เมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยมาก วันนี้ก็ร้อนใจอีก ทุกอย่างสั่งสมมารวมกัน สมองก็เริ่มคุกรุ่น

“เสด็จแม่ ตอนเสด็จพ่อยังทรงมีพระชนม์ชีพ คณะเสนาบดีไม่ได้กล่าวว่าให้เสด็จพ่อมีโอรสมากๆ สร้างครอบครัวให้ขยายรุ่งเรือง ราชกิจไม่ต้องทรงกังวล คณะเสนาบดีใหญ่มีท่านจาง ในราชสำนักฝ่ายในมีเฝิงต้าปั้น ยังมีเสด็จแม่คอยนำทาง หม่อมฉันยังต้องทำอะไรอีก ซุนไห่รับใช้หม่อมฉันได้ดี คอยแบ่งเบาความกังวลใจ มีความผิดอันใด ขอเสด็จแม่ทรงเมตตา ปล่อยซุนไห่……”

“เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี ถึงกับตรัสวาจาเหลวไหลเช่นนี้ หากยังทรงเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปพบอดีตฮ่องเต้ได้อย่างไร จะไปพบกับบรรพชนราชวงศ์หมิงได้อย่างไร”

คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะโต้เถียงเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งจึงทรงกริ้วหนักยิ่งขึ้น สุรเสียงกรีดแหลมดังขึ้นกว่าเดิม ว่านลี่ยืดพระองค์ตั้งตรงมองไปข้างหน้า แต่สุดท้ายก็ทนแรงกดดันไม่ไหว ก้มพระพักตร์ลงต่อ สองพระหัตถ์ยันพื้น ไทเฮาฉือเซิ่งทรงหอบหายใจแรงขึ้น มองว่านลี่ที่คุกเข่าอยู่ ตรัสสุรเสียงเข้มว่า

“พอได้แล้ว พอได้แล้ว วันนี้ข้าจะไปศาลบรรพชน ทูลบรรพชนว่า ไม่อาจให้คุณธรรมด่างพร้อยของคน ๆ หนึ่ง ต้องทำลายแผ่นดิน……”

วาจานี้กล่าวออกมา ในห้องทั้งเฝิงเป่า จางจิงและว่านลี่ที่คุกเข่าอยู่ก็เงยหน้าขึ้น ขันทีทั้งสองตะลึงค้างนิ่งไป ว่านลี่เองสีพระพักตร์ก็ซีดเผือด ไม่สนใจว่ากลัวหรือไม่ หากตรัสถามเสียงสะดุดขึ้นว่า

“เสด็จแม่ เสด็จแม่ นี่……นี่……”

ตรัสสุรเสียงติดขัด แม้แต่ที่จะตรัสก็ตรัสไม่ครบ ไทเฮาไปศาลบรรพชน ไม่อาจให้คุณธรรมด่างพร้อยของคน ๆ หนึ่งต้องทำลายแผ่นดิน วาจาเช่นนี้จะพูดได้ในสถานการณ์ใดกัน ก็มีแต่ตอนจะปลดฮ่องเต้เท่านั้น ไทเฮาตรัสเช่นนี้ ก็คิดจะปลดฮ่องเต้แล้ว

ฮ่องเต้วานลี่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงถึงขั้นนี้ หรือว่าบัลลังก์จะรักษาไว้ไม่ได้ พระวรกายสั่นเทิ้มประทับยืนเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ไทเฮายังคงสายพระเนตรเย็นเยียบ มองว่านลี่อย่างเย็นชา ว่านลี่เดินไปสองก้าว ก็ล้มลงคุกเข่าเสียงดัง พออ้าปากก็สะอื้นไห้ทันที โขกศีรษะขอร้องว่า

“เสด็จแม่ ๆ ลูกผิดไปแล้ว ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูกไม่กล้าอีกแล้ว เสด็จแม่ ลูกเป็นเสาหลักของแผ่นดิน หากว่า……หากว่า……ใช่ว่าจะต้องตกไปอยู่ในมือของสายอื่นหรือพะยะค่ะ”

“ฮ่องเต้ไม่ต้องกังวล สายพระโลหิตอดีตฮ่องเต้ใช่ว่ามีฮ่องเต้พระองค์เดียว!”

ไทเฮาตรัสสุรเสียงเรียบ พอตรัสออกไป ว่านลี่ก็แข็งทื่อไปในทันที โอรสในฮ่องเต้หลงชิ่งมีสององค์ หนึ่งก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ สองก็คืออ๋องลู่ ในขณะที่ว่านลี่ยังไม่มีรัชทายาท ตามกฎมณเฑียรบาล อ๋องลู่มีสิทธิสืบทอดราชบังลังก์

เสด็จแม่ไม่เพียงแต่จะปลดเรา แม้แต่คนสืบต่อก็เลือกไว้แล้ว ราวกับสายฟ้าฟาดใส่อย่างแรง แต่ในยามนี้ วาจาอันใดก็ไม่กล้ากล่าว กล่าวไปก็ไร้ประโยชน์

เฝิงเป่าเป็นหัวหน้าในวังหลวง หัวหน้า 12 สำนักขันที และจางจิงก็กุมอำนาจสำนักอาชาหลวง คุมกองกำลังองครักษ์อาชาหลวงในวัง ทั้งสองล้วนเป็นคนสนิทไทเฮา หากทำจริง ตนเองย่อมไม่อาจต่อกรได้ ฮ่องเต้ว่านลี่คิดอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรก็คิดวิธีรับมือไม่ออก

ในยามนี้เอง ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้รู้ว่า พระองค์คิดว่าหลังอภิเษก พระองค์ก็เป็นผู้ใหญ่ แต่พระองค์ยังคงเป็นเด็ก ต่อเบื้องพระพักตร์ไทเฮา พระองค์ยังคงเป็นเด็กน้อยที่ต้องมาถวายบังคมเช้าเย็นและรับการสอนสั่ง

ไม่มีวิธีรับมือใด ที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทำได้นั้นมีแต่โขกศีรษะอย่างสุดกำลัง ร่ำไห้กล่าวเพียงว่า “ลูกผิดไปแล้ว”

เฝิงเป่าก้มหน้าหรี่ตามองว่านลี่ เห็นว่านลี่ที่ดูแลมาแต่เล็กจนโต หน้าผากโขกจนแดงก่ำ ก็ทนไม่ไหว หรี่ตามองไปยังไทเฮา เห็นไทเฮาก็ทรงเจ็บปวดพระทัยไม่น้อย

“ทูลไทเฮา ฝ่าบาททรงสำนึกผิดแล้ว ไทเฮาทรงมีพระวรกายดังทองคำ ฝ่าบาทเองก็เช่นกัน อย่าได้กริ้วจนกระเทือนพระวรกาย ขอไทเฮาโปรดระงับความกริ้วพะยะค่ะ”

จางจิงและนางกำนัลโดยรอบก็รู้สึกใจสั่น เห็นเฝิงเป่าเช่นนี้ ก็พากันคุกเข่าตาม โขกศีรษะทูลว่า

“ขอไทเฮาทรงระงับความกริ้วด้วยเพคะ!”

ไทเฮาทรงเงียบไป พวกเฝิงเป่าทูลติดต่อกันหลายรอบ ไทเฮาจึงได้ตรัสขึ้นว่า

“ในเมื่อฝ่าบาทสำนึกผิดแล้ว ก็กลับไปทบทวนพระองค์เองสองสามวัน คิดว่าเหตุใดจึงทรงทำผิด คิดว่าวันหน้าควรทำเช่นไร คิดออกแล้วก็มาบอกข้า เวลาสายแล้ว ฝ่าบาทเสด็จกลับได้แล้ว!”

“ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา”

ฮ่องเต้ว่านลี่ร่ำไห้ขอบพระทัย เฝิงเป่าประคองขึ้นมา เดินโขยกเขยกออกไป

************

“ท่านกงกงมาเยี่ยมข้าน้อยได้อย่างไร……”

หมอหลวงในห้องถอยออกไปอย่างนอบน้อม เจ้าจินเลี่ยงพยายามลุกขึ้น จางเฉิงโบกมือเข้าไปกดตัวเจ้าจินเลี่ยงไว้ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า

“เจ้ามีความชอบ ร่างกายยังบาดเจ็บ รีบนอนลงพักก่อน!”

เจ้าจินเลี่ยงกัดฟันทนความเจ็บปวดลุกขึ้น พอได้ยินเช่นนี้ก็กลับลงนอนใหม่ จางเฉิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มปลอบใจไปสองสามคำ ก่อนจะถามว่า

“เมื่อคืนวานนี้เจ้าอยู่กับฝ่าบาทตลอดเวลา ข่าวไปถึงตำหนักฉือหนิงกงได้อย่างไร ไม่ได้บอกไว้ก่อนแล้วว่ามีอันใดให้มาบอกข้าก่อนหรือ?”

“ไม่ใช่ข้าน้อยส่งข่าว ตอนนี้ไม่มีคนไว้ใจได้ ข้าน้อยเตรียมว่ารอให้ทรงบรรทมก็จะค่อยไปรายงานกงกง……”

“เอ๋? ไม่ใช่เจ้าหรือ?”

คุยกันสองสามประโยค จางเฉิงเหมือนคิดได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!