Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 441

ตอนที่ 441 สุขสงบร่ำรวย ไม่เห็นแม่ทัพผู้กล้า

“ตอนกลางวันที่ไปรับใต้เท้าเข้าเมืองก็คิดว่าจะขอดูหัวที่ใต้เท้านำกลับมา แต่เห็นคนของแม่ทัพหม่าเหลือบมองอยู่หลายคน”

กล่าวแสดงความยินดีเสร็จ ลี่อวิ๋นเซิ่งก็นั่งลงยิ้มอธิบาย บางทีแม่ทัพใหญ่เมืองเซวียนฝู่ก็อยากทำเช่นนี้เช่นกัน ทำให้ความละอายในใจลี่อวิ๋นเซิ่งที่มีอยู่บ้างพลันมลายหายไป รู้สึกสบายใจขึ้น สภาพตอนนี้ก็ดีขึ้นไม่น้อย

“แม่ทัพหม่ายิ่งใหญ่มาตลอดชีวิต เขาย่อมไม่คิดถึงอนาคตอันใดอีก บุตรชายคนโตสุขภาพไม่ดี แต่บุตรชายคนรองนามว่า หม่าหลิน นั้นออกรบเสี่ยงภัย หากไม่เคยมีความชอบที่พอเอ่ยถึงได้ แม่ทัพหม่ายังขออำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดมา หม่าหลินชาตินี้อย่างมากก็คงได้แค่ตำแหน่งรองแม่ทัพเท่านั้น แม่ทัพหม่าย่อมไม่อาจพอใจ”

หวังทงกำลังงง กล่าวถึงตรงนี้ก็ยังไม่เข้าใจ หนึ่งหัว 150 ตำลึง หัวพวกนี้ในมือตนยังนำมาซึ่งภัยใหญ่ เหตุใดจะไม่ขายกัน จึงยิ้มรับคำว่า

“ยังมีอีก 1000 กว่าหัว แม่ทัพหม่าขอมา ข้าไหนเลยจะไม่รับปาก”

“ใต้เท้าหวังครั้งนี้จะเปิดราคาเท่าไร แม่ทัพหม่าอยู่ต้าถงและเซวียนฝู่มานานหลายปี ทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่ว่าคนระดับข้าจะเทียบได้ติด”

ได้ยินลี่อวิ๋นเซิ่งกล่าวเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป ฟังเข้าใจกระจ่างแล้ว ก็คือต้องการให้ตนเองเรียกเงินมากขึ้นอีก แต่ตัวเลข 150 ตำลึงนี่นับว่าไม่น้อยแล้ว หรือว่ายังจะเพิ่มได้อีก ลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวว่า

“ในเมื่อใต้เท้าลี่กล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นก็ 160 เป็นไง?”

ลี่อวิ๋นเซิ่งส่ายหน้า หวังทงเอ่ยต่อว่า

“170 เป็นไง?”

“260!”

เทียบกับเช้าวันที่แผ่นดินสะเทือนบนท้องทุ่งหญ้า ทหารม้ามองโกลหลายพันมุ่งมาโจมตี ตอนนั้นก็ยังรู้สึกนิ่งกว่าตอนนี้มาก หลายปีมานี้เห็นเงินทองและความร่ำรวยมามาก แต่หัวพวกมองโกลถึงกับมีค่า 260 ตำลึงต่อหัว ทำเอาหวังทงคาดไม่ถึงแม้แต่น้อย

แม้เคยผ่านการค้าขายมา แต่หวังทงก็ยังอดถามไม่ได้ว่า

“แพงไปไหม?”

“แพงไป? ใต้เท้าหวังอยู่ภาคกลางมานาน ไม่รู้ธรรมเนียมชายแดน!?”

ลี่อวิ๋นเซิ่งยิ้ม ทุกคนดื่มมากไปแล้ว วาจาก็เริ่มสบายๆ ขึ้นมาก ลี่อวิ๋นเซิ่งแค่นยิ้มกล่าวว่า

“พวกมองโกลรุกราน ปล้นชิงเงินทองตอนเหนือของแผ่นดิน ราชสำนักและกรมทหารมีคำสั่งออกโจมตี แต่ผู้ใดอยากออกไปตายนอกด่านกัน ก็แค่ออกไปเดิน 30 ลี้ก็กลับมากพอเป็นพิธีเท่านั้น หากไม่มีหัวมาก็ไม่รู้จะทำไง ก็ต้องไปเก็บหามาจากป้อมต่างๆ แต่ละป้อมทุกปีก็จะตัดได้แค่สิบกว่าหัวเท่านั้น หรือไม่ก็อาจมีเผ่าเล็กตัดหัวแรงงานชายตนมาแลกเงินแลกเกลือก็ยังมี”

หวังทงได้ยินก็อ้าปากกว้าง ลี่อวิ๋นเซิ่งดื่มสุราไป กล่าวอันใดจึงมิได้ระวังนัก เนื่องด้วยหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเจรจาการค้าหัวคนไป สอง ยังมีสายสัมพันธ์ลี่เทา ยังกล่าวต่อว่า

“หากทันในฤดูกาลนั้น หนึ่งหัวคนงานชายมองโกลก็จะมีค่าถึง 400 ตำลึง ใต้เท้าหวังมาไม่ใช่ฤดูกาล ระยะนี้สงบสุข จึงไม่อาจได้ราคาดีในตอนนี้……”

***************

ใกล้กลางเดือนสองแล้ว เมืองเซวียนฝู่เริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เดินอยู่ข้างนอกก็รู้สึกสบายขึ้นมาก

หลายวันนี้ท่าทางการกระทำของหวังทงแสดงออกไม่เหมือนพวกขุนนางจากเมืองหลวงหรือเมืองเทียนจิน หากเหมือนพวกชาวนาบ้านนอกเข้าเมือง ตกตะลึงไปทุกเรื่อง

ตอนมาเมืองเซวียนฝู่ ลี่อวิ๋นเซิ่งเลี้ยงต้อนรับที่จวน ก็ต้องตกใจกับความหรูหราอลังการของจวนรองแม่ทัพไปแล้ว พอกลางวังมาจวนแม่ทัพใหญ่เมืองเซวียนฝู่อย่างแม่ทัพหม่าฟาง ก็รู้ว่าที่จวนตระกูลลี่นั้นไม่ได้อะไรสักเท่าไร

“ความฟุ่มเฟือยเช่นนี้ แม้แต่ในวังก็เทียบไม่ได้กระมัง!”

หวังทงถูกแสงสีเงินระยิบจนตาลาย อดไม่ได้หันไปกระซิบกับไช่หนาน สองคนนั่งอยู่ในห้องรับรอง หม่าฟางสถานะสูงส่ง ไม่ต้องออกมารอรับเขาสองคน เขาสองคนต้องมารอที่ห้องรับรอง

กล่าวว่าหรูหราร่ำรวยกว่าในวัง ไม่ว่าตอนไหนก็สามารถเป็นหลักฐานความผิดประหารทั้งชั่งโคตรได้เลย ชายรับใช้และสาวใช้ด้านหลังพวกเขาได้ยินสีหน้าแปรเปลี่ยน

แต่ไช่หนานอยู่กับหวังทงมานาน ย่อมรู้ว่าใต้เท้าตนท่านนี้วาจาบางทีก็ไม่ทันระวัง ไช่หนานเองมองทุกอย่างในจวนหม่าฟางแล้วก็อึ้งไปเช่นกัน กระซิบไปว่า

“ในวังหากคิดจะสร้างจะทำอันใดก็ยุ่งยากมาก ต้องขออนุญาตขึ้นไปตามขั้น ยังมีธรรมเนียมนั่นกฎนี่ ขุนนางนอกวังกลับไม่สนใจ มีเงินก็สร้าง แต่ที่นี่นับว่าหรูหรางดงามกว่าในวังมาก คาดว่า อยู่แล้วน่าจะสบายอยู่……”

ขณะกำลังคุยกัน ชายในชุดยาวแบบบัณฑิตลัทธิขงจื่อก็เดินเข้ามาในห้องรับรอง ชายผู้นี้ดูแล้วไม่น่าถึง 30 รูปร่างกำยำสูงใหญ่ ระหว่างคิ้วฉายรัศมีองอาจเกรียงไกร

คนเช่นนี้หากพบบนท้องถนน ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมต้องกล่าวอย่างไมรู้ตัวว่า เป็นนักรบผู้กล้าจริงๆ แต่คนเช่นนี้สวมชุดบัณฑิตเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูขัดๆ จะว่าขัดตาเท่าไรก็ขัดตาเท่านั้น

“คำนับคุณชาย……”

คนงานสาวใช้ในห้องรับรองคำนับพร้อมกัน หวังทงกับไช่หนานจึงได้รู้ว่าชายผู้นี้ก็คือบุตรชายหม่าฟาง แต่ได้ยินว่าบุตรชายคนโตหม่าฟางเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่หนิงเซี่ย บุตรชายคนรองหม่าหลินอยู่ที่กองกำลังหลงเหมิน ตอนนี้เป็นขุนพลเมืองเซวียนฝู่ ทั้งสองล้วนเป็นขุนนางบู๊ แต่ท่านนี้เหตุใดจึงแต่งกายแบบบัณฑิต

หวังทงถึงกับคิดว่า หม่าฟางอาจมีลูกชายอีกคน ชายผู้นั้นกวาดตามองหวังทง คนงานข้างๆ ก็รีบเข้ามากระซิบ ชายผู้นั้นก็ก้มกายคำนับว่า

“คารวะใต้เท้าหวัง ไช่กงกง ข้าหม่าหลินขอคารวะ เมื่อครู่ไม่รู้สถานะท่านทั้งสอง ไร้มารยาทไปบ้าง ขอโปรดอภัย”

ที่แท้ก็หม่าหลิน หวังทงกับไช่หนานลุกขึ้นยืนประสานมือคำนับตอบทันที ในใจก็รู้สึกงง เห็นๆ ว่าเป็นแม่ทัพ เหตุใดแต่งกายแบบพวกบัณฑิต

สองฝ่ายนั่งลง หม่าหลินยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังออกนอกด่านไปครานี้ ไม่เพียงแต่สร้างความชอบยิ่งใหญ่ หากความกล้าหาญเช่นนี้ ข้ารู้สึกเลื่อมใสจริงๆ”

“บังเอิญเท่านั้น ๆ ไม่ได้สำคัญอันใด!”

อย่างไรหัวส่วนใหญ่ก็ขายทิ้งเก็บเป็นเงิน หวังทงไม่อยากกล่าวให้มากความ ยิ้มกล่าวตอบให้ผ่าน ๆ ไป หม่าหลินกลับกล่าวต่อว่า

“ทหารเมืองเซวียนฝู่เกือบแสน ปีก่อนยังตัดมาได้แค่ 311 กองกำลังหู่เวยใต้เท้าแค่ 4,000 เหตุใดจึงตัดได้มากมายเพียงนี้? หลายวันก่อนคนป้อมจางเจียโข่วส่งสารมา ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ขอใต้เท้าให้ความกระจ่างด้วยได้หรือไม่?”

ที่แท้มาหาเรื่อง เมืองเซวียนฝู่ทุกคนจับตาดูการตัดหัวศัตรูครั้งนี้ของตน ก็เพื่อคิดอยากรู้ว่าตนทำเช่นไร เหตุใดจึงได้ผลยิ่งใหญ่มหาศาลเช่นนี้ รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

จริงๆ ปัญหาที่ตามมาก็มากมายแล้ว ไม่รู้ทำไม อยู่ ๆ หวังทงก็ไม่ขัดตาขัดใจกับหม่าหลินอีก เห็นอยู่ว่าเป็นขุนนางบู๊ กลับแต่งกายแบบบัณฑิต ยามนี้ก็ไม่รู้สึกดูพิกลอีก ในเมืองเซวียนฝู่ มีคนใส่ใจเรื่องพวกนี้ด้วย!

หวังทงนั่งตัวตรงขึ้นอีกนิดกล่าวว่า

“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหม่าเคยได้เห็นรถใหญ่ในขบวนทัพของข้าหรือไม่……”

ไช่หนานหรี่ตามองหวังทงอย่างแปลกใจ เขาเองรู้ว่าหวังทงมีของขึ้นง่าย ผู้อื่นขัดแย้งมา เขาย่อมตอบกลับรุนแรง เหตุใดวันนี้จึงได้นุ่มนวลเช่นนี้

หม่าหลินก็คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะตอบกลับนุ่มนวลเช่นนี้ เห็นอีกฝ่ายต้องการอธิบายจริงจัง ความขุ่นข้องในใจก็หายไปไม่น้อย เดิมเขาคิดว่าหวังทงสังหารราษฎรบริสุทธิ์มารับรางวัล 3,000 หัวทหารม้ามองโกลที่มากกว่ากองกำลังของตนเพียงนั้น ช่างเป็นเรื่องแทบไม่น่าเชื่อ

คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายมิได้ตอบโต้รุนแรงกลับเตรียมจะอธิบายหลักการ ก็รู้สึกงง หรือว่าอีกฝ่ายคิดจะอธิบายละเอียดว่ารบชนะได้อย่างไร ในเมื่อกล้าอธิบาย เช่นนี้บางทีอาจมิใช่สังหารราษฎรบริสุทธิ์มารับรางวัล แต่ผลการรบเช่นนี้ ทหารราบสามพันที่ยังเป็นทหารใหม่ เหตุใดจึงรบชนะมาได้

พอหวังทงกล่าวเช่นนี้จบ หม่าฟางก็เดินออกมาจากห้องด้านใน พอเข้ามาถึงก็ยิ้มกล่าวว่า

“อายุมากแล้ว เมื่อคืนนอนไม่หลับ กลางวันจึงไม่อาจขาดการนอนได้ ทำให้แขกมีเกียรติทั้งสองรอนานแล้ว!”

เสียงหัวเราะดังกังวาน ดูทรงพลัง หากไม่ใช่ว่าหวังทงรู้มาก่อนว่าหม่าฟางปีนี้เป็นชายชราใกล้ 61 แล้ว ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงหัวเราะนั่นเป็นเขา

ตอนหม่าฟางอายุ 16 หนีออกมาจากมองโกลกลับมาซานซี เป็นพลทหารตัวเล็กๆ ที่ชายแดนเมืองต้าถง สั่งสมความชอบ ค่อยๆ ก้าวสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เมืองเซวียนฝู่ ตำแหน่งใหญ่สุดของขุนนางฝ่ายบู๊ ในยุคนี้ล้วนร่ายกวีท่องกลอนกันว่า ‘ใต้กล้าผู้กล้าอันดับหนึ่ง’ มีคนยังกล่าวอีกว่า ‘กล้าหาญไม่เท่าหม่าฟาง’ ก่อนชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว หลี่เฉิงเหลียงจะมีชื่อเสียง หม่าฟางก็เป็นคำแทนภาพนักรบผู้กล้าแล้ว

ตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย หวังทงได้ยินพวกลี่เทาที่มาจากเมืองเซวียนฝู่คุยกันเรื่องนี้ เส้นทางจากตะวันตกขึ้นเหนือ ยังได้ยินเรื่องราวของหม่าฟางอีกด้วย คนเราอย่างไรก็เลื่อมใสศรัทธาวีรบุรุษ หวังทงก็อยากดูสักหน่อยว่าขุนพลมีชื่อในโลกตอนนี้หน้ำตาท่าทางเป็นอย่างไร

อวี๋ต้าโหยวสูงวัยแข็งแรง ฝีมือธนู ทวน ดาบ ไม่แพ้ในตอนหนุ่ม ทุกวันคิดจะถ่ายทอดให้กับเด็กหนุ่ม ทุกวันคิดถึงแต่การทหารแผ่นดินหมิง คนเช่นนี้นับได้ว่าเป็นเสาหลักของแผ่นดินตัวจริง วีรบุรุษใต้หล้า ไม่รู้ว่าหม่าฟางที่ชื่อเสียงมากกว่าอวี๋ต้าโหยวมากมายเช่นนี้จะเป็นคนเช่นไร

หม่าฟางเป็นผู้บัญชาการทัพเมืองเซวียนฝู่ มีชื่อเสียงนานมา สถานะสูงกว่าหวังทงและไช่หนานมาก ได้ยินน้ำเสียงดังกังวาน เขาสองคนจึงรีบยืนขึ้นคำนับ กล่าวว่า

“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าหม่า”

พอเงยหน้าขึ้น กลับไม่เห็นชายชราร่างกายแข็งแรงท่าทางองอาจเกรียงไกรแต่อย่างใด หากเป็นชายชราร่างอ้วนที่สวมชุดยาวกระดุมเรียงเม็ดลายเหรียญมงคลปัญจค้างคาว หนวดเคราเล็มเป็นระเบียบ ไม่เห็นขาวสักเส้น ร่างกายสูงใหญ่ ด้านหลังมีสาวใช้สองคนประคองมา การพิถีพิถันนี้หวังทงพอรู้ เมืองหลวงพวกชนชั้นสูงก็ต้องให้คนใช้ประคองเพื่อแสดงสถานะสูงส่งของตน หากคิดไม่ถึงว่า ‘ใต้กล้าผู้กล้าอันดับหนึ่ง’ กลับเป็นเช่นนี้ไปได้

หวังทงอึ้งไปเล็กน้อย ใบหน้าหม่าฟางเหมือนมีรอยแผลเป็นจากคมดาบ หากก็เบาบางมาก มือที่ยื่นออกมานั้นหนาอยู่ นี่เป็นลักษณะของพวกขุนนางบู๊ แต่แหวนหยกขาวบนนิ้วมือนั้น ปกติขุนนางบู๊มักจะใส่แหวนป้องกันนิ้วยามยิงธนู ส่วนใหญ่ก็เป็นแหวนทองแดง พวกพิถีพิถันก็จะใช้เงินหรือทอง แต่การใช้แหวนหยกขาว ดูเหมือนมีอาจใช้การใดได้ ก็แค่เสริมภาพความร่ำรวยเท่านั้น

“เตรียมการกระชั้นชิด ไม่มีของดีอันใด ขอนายกองพันหวังอย่าได้รังเกียจ”

หม่าฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น สนิทสนม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!