Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 464

ตอนที่ 464 ผู้สูงค่าดังทองคำย่อมระวังตน

จางซื่อเฉียงมีภาพลักษณ์ว่าทำการอย่างระมัดระวังอย่างที่สุด ยามนี้กล่าวว่าขอให้หวังทงมีความเห็น ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเป็นแน่

หวังทงพยักหน้า กล่าวเสียงดังกังวานว่า

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง เรื่องวันนี้แม้ว่าอันตราย แต่อย่างไรก็ปลอดภัยดี อย่าได้ทำให้การทำงานที่เทียนจินต้องสะดุด”

จางซื่อเฉียงจึงได้เอ่ยต่อว่า

“ตั้งแต่เปิดร้านผงฟูมา หลายเมืองในเขตปกครองเหนือและทางซานตงก็มีคนมาซื้อกันมากมาย บ้างก็ใช้รถมาขน บ้างก็ใช้เรือมาขน มีเรือเปล่ารถเปล่ามากันมากมาย พอซื้อเสร็จก็กลับไป ใต้เท้าใช่ว่ามีข้อกำหนดว่า หากเกี่ยวกับผงฟูก็ละเว้นภาษี แต่ข้าน้อยเห็นว่า การไปๆ มาๆ หลายรอบ ไม่เก็บภาษี พวกเราช่างเสียเปรียบ……”

“รถเปล่าเรือเปล่ามาก็อยู่กันไม่นาน เดินเรือเดินรถก็ต้องการใช้จ่าย เห็นเมืองเทียนจินรุ่งเรืองเช่นนี้ ย่อมคิดขนของจากที่บ้านเกิดมาหากำไรเป็นแน่ ตอนนี้เห็นว่ากำไรผงฟูมากกกว่าเกลืออีก ขอเพียงเมืองเซวียนฝู่นำส่งมาไม่ขาด ทางเราก็จะขายต่อไป เป็นกำไรก้อนโต เว้นภาษีก็เพื่อคงสภาพการณ์นี้เอาไว้ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอีกแล้ว”

หวังทงอธิบายยาว จางซื่อเฉียงคำนับรับคำ นั่งกลับเข้าประจำที่ หวังทงยกมือเคาะจอกชาข้างกาย กำลังคิดจะกล่าว ก็ได้ยินเสียงด้านนอกรายงานดังเข้ามาว่า

“นายท่าน ท่านจางอวี่เป่ยแห่งกองแปลล่ามขอเข้าพบ!”

คนอื่นยังดี หากซุนต้าไห่กลับขมวดคิ้วกล่าวว่า

“เขาไม่รู้ว่าใต้เท้าวันนี้เกิดเรื่องหรือ? มีเรื่องงานอันใดต้องรายงานวันนี้ด้วย”

เป็นเพราะซุนต้าไห่กับจางซื่อเฉียงสนิทกัน ไม่เช่นนั้นวาจาก็คงเหมือนว่ากล่าวจางซื่อเฉียงไปด้วย แม้เป็นเช่นนี้ จางซื่อเฉียงเองก็กระแอมไอในลำคออย่างอดไม่ได้เช่นกัน หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ไม่ได้บาดเจ็บอันใด การงานที่ต้องทำก็ต้องทำไป ให้เขาเข้ามาได้!”

นอกจากจางอวี่เป่ยแล้ว เทียนจินยังเชิญล่ามจากเมืองหลวงมาอีกห้าคน ออกเงินตั้งสำนักศึกษา เลือกคนงานและลูกมือที่โรงช่างและร้านค้าที่อายุน้อยใฝ่เรียนรู้มาเรียน เรียนสำเร็จออกไป เงินเดือนก็เพิ่มอีกสองเท่า ตอนนี้มีคนไม่น้อยเรียนสำเร็จออกไปแล้ว

พอจางอวี่เป่ยเข้ามาในห้อง ในห้องย่อมไม่มีที่ยืนสำหรับเขา จึงรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะกล่าวว่า

“วันนี้ใต้เท้าเกิดเรื่อง เดิมไม่ควรมารายงานรบกวนท่านยามนี้ แต่ใต้เท้าเคยสั่งไว้ว่า หากทหารต่างชาติพวกนั้นต้องการขอพบ จะต้องมารายงานทันที”

พวกต่างชาติที่มา พวกที่เป็นช่างฝีมือก็จะถูกส่งไปทำงานที่โรงช่าง พวกเขาได้รับเงินเดือนสูงกว่าเล็กน้อย ยังได้อยู่ในที่รุ่งเรืองอย่างเทียนจิน อย่างไรก็ย่อมยินยอม

พวกลูกเรือกวางบินทุกวันก็ถ่ายทอดความรู้ให้กับพวกที่มาสำรวจดูเรือ เต็มใจหรือไม่นั้นไม่รู้ได้ หากก็สงบเสงี่ยมต่อหน้าทหารและปืนใหญ่ดี

มีเพียงนายทหาร 10 คนที่ค่อนข้างแปลกเท่านั้น พวกเขาตามไปทุ่งหญ้าด้วย แม้ว่าไม่ได้ออกสังหารศัตรู แต่ก็ได้ทำภารกิจตนสำเร็จ แต่พอกลับมาก็ยังคงถูกส่งไปยังที่กักบริเวณอยู่เหมือนเดิม ในตอนนี้ที่กักบริเวณอยู่ในเขตทหาร ไม่รู้ว่าวันนี้เหตุใดจึงมาขอพบ

หวังทงส่ายหน้าไปมายิ้มกล่าวว่า

“วันนี้ช่างบังเอิญไปหมด ทุกเรื่องมารวมกันในวันนี้ พวกเขาคิดตกแล้วหรือ?”

จางอวี่เป่ยยิ้มตอบว่า

“ใต้เท้าวันนี้จากร้ายกลายเป็นดี พอมีข่าวมาถึงที่ค่าย พวกต่างชาตินั้นมักไปที่สำนักศึกษาล่าม สนิทกับทุกคนไม่น้อย พอฟังภาษาจีนเข้าใจอยู่ พวกเขาจึงรู้ข่าว ตอนข้าน้อยไปถึง ก็ได้ยินสองสามคนกำลังคุยกัน บอกว่าใต้เท้ายามนี้จิตใจหวั่นไหว ยามนี้ไปขอสวามิภักดิ์ ย่อมได้รางวัลหนักมากกว่าเมื่อก่อน”

ได้ฟังจบ หวังทงก็หัวเราะฮาลั่น เอ่ยว่า

“ที่ต้องการใช้งานคือความสามารถไม่ใช่อื่นใด เจ้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้นำพวกเขามาพบข้า”

จางอวี่เป่ยรีบรับคำ เขาเองรู้ว่ายามนี้ไม่ควรอยู่นาน จึงรีบคำนับอำลา จางอวี่เป่ยออกไป ถานปิงข้างๆ ก็ถามขึ้นว่า

“นายท่าน ทหารต่างชาติพวกนี้เทียบกับแผ่นดินหมิงแล้วก็แค่นายกองธงเล็ก ระดับพลทหารเท่านั้น ไยต้องให้ความสำคัญด้วย ข้าว่าพวกนั้นก็แค่เชี่ยวชาญปืนไฟ เรื่องอื่นไม่เห็นมีดีอันใด”

“สามารถใช้ปืนไฟชำนาญก็มีประโยชน์ต่อพวกเราไม่น้อยแล้ว กองกำลังหู่เวยเพิ่งตั้งขึ้น ข้อได้เปรียบอันใดก็ต้องลองสักหน่อย เลือกสิ่งที่ดีมาใช้งาน”

หวังทงกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก เรื่องราวต่างๆ ก็ช่างทะยอยมาทีละเรื่องทีละเรื่อง ทางนี้จบ ทางนั้นกู่จื้อปินก็เดินเข้ามา พอเข้ามาก็ทักทายก่อนจะเอ่ยขึ้น

“นายท่าน เชิญอาจารย์จากโรงแพรกับโรงผ้ามาแล้ว แต่อาจารย์ท่านว่าคืนนี้มองไม่ชัด พรุ่งนี้กลางวันค่อยอาศัยแสงอาทิตย์ดูอีกที จึงจะสามารถระบุให้มั่นใจได้”

หวังทงพยักหน้า พิงพนักเก้าอี้ถอนหายใจยาว กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ทางเราสามารถทำได้ก็แค่เท่านี้แล้ว ที่เหลือก็ต้องดูทางเมืองหลวงแล้ว……”

*************

เมืองหลวงเดือนหก แม้ว่ากลางคืนก็ยังไร้ลมเย็น เข้าสู่ช่วงที่ร้อนที่สุดของปี รอบวังหลวงเป็นกำแพงสูง ย่อมบังลม ดูเหมือนว่าจะร้อนกว่านอกวังสามส่วน

ในวันขันทีที่มีประสบการณ์ต่างรู้ว่า ยามนี้หลบร้อนอยู่แต่ในวังที่ดีที่สุดมีสองแห่ง หนึ่งก็บนกำแพงวัง ที่นั่นสูงลมพัดเย็น สองคืออุทยานปัจจิม ที่นั่นมีทะเลสาบใหญ่มาก เย็นสบายกว่าที่อื่นๆ

สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งเคยบำเพ็ญตบะที่นี่ ฮ่องเต้หลงชิ่งขึ้นครองราชย์แล้วก็ปิดที่นี่ ต่อมาเปิดใหม่อีกครั้ง แต่คนที่เปิดอุทยานถวายฮ่องเต้ว่านลี่อย่างซุนไห่ก็ถูกส่งไปเฝ้าสุสานที่เฟิ่งหยางเสียแล้ว

ไปๆ มาๆ ทุกคนก็รู้สึกว่าที่นี่มีกลิ่นไอปีศาจ ที่แห่งนี้มายุ่งให้น้อยเป็นดี หลังจากปิดลงอีกครั้ง ก็ไม่ค่อยมีคนถามถึง

แต่เดือนห้าปีนี้ก็เปิดอีกครั้ง เป็นพระบัญชาฮ่องเต้ว่านลี่ให้เปิด พระองค์มักเสด็จนำคนมาที่นี่

อุทยานปัจจิมครั้งนี้ไม่ได้มีแสงโคมไฟค่ำคืนมากเหมือนวันวาน ก็เหมือนกับอุทยานหลวงทั่วไป บรรดานางกำนัลขันที ฮ่องเต้และคนผู้หนึ่งกำลังสรวลเสเฮฮา

ยามฮ่องเต้ประทับกับคนผู้นั้น คนรอบๆ ต้องถอยห่างออกไป ทุกคนย่อมรักษาระเบียบ แต่คำวิพากษ์ก็ยากจะหลีกเลี่ยงได้

ขันทีเฝ้าประตูอุทยานปัจจิมเป็นพวกที่วิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด

“ฮ่องเต้ว่านลี่สี่เดือนมานี่ประทับอยู่กับสนมเจิ้งทางนี้ตลอดมาเลยละสิ ชิชะ……”

“ทุกคนเดาว่าจะได้ขึ้นเป็นพระสนมชั้นเฟยแล้ว ดีไม่ดีอาจขึ้นถึงระดับพระสนมเอกด้วย!”

“เบาหน่อย เบาหน่อย ทุกคนอย่าได้วิจารณ์เรื่องนี้ต่อหน้าฮองเฮาหวังเชียวนะ ว่ากันว่าฮองเฮาหวังทรงกริ้วมาก โบยตายไปสองแล้ว”

“รอฟ้าใกล้มืด เข้าไปถามหน่อย คืนนี้ฝ่าบาทจะประทับที่ตำหนักฉือหนิงกงกับฮองเฮาไหม”

กำลังวิจารณ์กันอย่างสนุกปากอยู่ก็เห็นเบื้องหน้ามีขันทียกชายเสื้อวิ่งมาอย่างเร็ว ทุกคนต่างพากันยื่นมือออกไปรั้งไว้ องครักษ์อีกทางก็ยืนขึ้นพร้อมขวางทางไว้ถามติดๆ กันว่า

“ฝ่าบาทอยู่ข้างใน เจ้าคิดจะเข้าไปทำให้ตกพระทัยหรือไง?”

ขันทีที่วิ่งมาสองมือประคองกล่องผนึกด้วยครั่งมาด้วย ตะโกนเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวว่า

“เทียนจินมีฎีกามาวันนี้ถึงสำนักส่วนพระองค์ หวังทงโดนแทง ดังนั้นจางเฉิงกงกงจงได้ส่งข้ามาทูลฝ่าบาท……”

แม้ว่าเป็นในวัง แต่ทุกคนก็รู้จักชื่อหวังทงว่าหมายถึงผู้ใด ระดับใด ทุกคนสบตากัน คนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนว่า

“ฝ่าบาทกับพระสนมเจิ้งประทับอยู่ด้านใน เปิดทางให้เข้าไปเถอะ!!!”

****************

“จางกงกง ฝ่าบาทพอได้ทอดพระเนตรก็ทรงร้อนพระทัยยิ่ง แต่พอรู้ว่าใต้เท้าหวังไม่เป็นไร ก็คลายพระทัย ตรัสว่าพรุ่งนี้จะทรงมาหารือกับท่านที่ห้องทรงอักษร”

จางเฉิงนั่งอยู่ในห้องทำงานตนได้ยินขันทีน้อยรายงานจบ ก็โบกมือเป็นท่าทีให้เขาออกไป รอจนคนออกไปแล้วก็หันไปทางโจวอี้กล่าวว่า

“หากเป็นเมื่อก่อน ฝ่าบาทก็คงร้อนพระทัยยิ่ง ตอนนี้ก็ควรจะตบโต๊ะเสียงดังให้คนไปสอบสวนแล้ว ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วสินะ!”

“พ่อบุญธรรม ลูกได้ยินสำนักรักษาความสงบเล่าว่า ใกล้ชิดภรรยา ยากจะไม่เหินห่างสหาย……”

หากเข้าวังแต่ยังเล็ก เติบโตในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ กับเรื่องพวกนี้ก็ย่อมไม่เข้าใจ จางเฉิงอยู่ในวังและนอกวังมานานก็ย่อมพอรู้เรื่องพวกนี้ ได้ยินโจวอี้กล่าวเช่นนี้ จางเฉิงก็อดโบกมือไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า

“ให้เจ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ยากอยู่ไม่น้อย เรื่องส่วนพระองค์ในวัง เราก็คุยกันน้อยหน่อยดีกว่า หวังทงทางนั้นอย่างไรก็ปลอดภัยดี ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ส่งคนออกไปตามข่าวแล้วใช่ไหม?”

ถามจบ โจวอี้ก็รีบคำนับตอบว่า

“สำนักรักษาความสงบก่อนฟ้ามืดก็ส่งคนออกนอกเมืองไปแล้ว เร่งม้าไป ไปตามเส้นทางที่หวังทงวางตำแหน่งจุดพักเอาไว้ สองวันก็ไปถึง เฝิงกงกงก็ส่งคนไปแล้ว ลูกเดาว่า คนของสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ย่อมไปด้วย……พ่อบุญธรรม ทางหวังทงนั่นก็ไม่ชัดเจน ด้วยล่วงเกินคนไว้ไม่น้อย ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดลงมือกันแน่”

จางเฉิงหยิบฎีกาขึ้นมาอ่าน ได้ยินเช่นนี้ ก็เหลือบตามองยิ้มกล่าวว่า

“ใช้พวกมือสังหารเดนตาย สังหารขุนนางกลางท้องถนน สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ไม่ผลประโยชน์ใหญ่ ก็แค้นใหญ่หลวง ให้เขาคิดเอาเอง ว่าที่แท้ผู้ใดมีความแค้นระดับนี้กับเขา พวกที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็มีไม่มากเท่าไร”

“พ่อบุญธรรมปัญญาล้ำเลิศ ลูกจะเขียนจดหมายไปทางเทียนจิน”

จางเฉิงหยิบพู่กันจุ่มชาดเตรียมอนุมัติฎีกา โจวอี้รีบขอตัวออกไป เดินไปถึงประตู จางเฉิงก็วางพู่กันลงกล่าวว่า

“จำไว้ว่าให้บอกหวังทงว่า ผู้สูงค่าดังทองคำย่อมระวังตน ตอนนี้เขาเองก็มีสถานะแล้ว ทำการใดต้องระมัดระวังหน่อย หากป้องกันดีพอ ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้ได้”

**************

“นับดูแล้ว หวังทงถูกลอบสังหารที่เทียนจินมาสองครั้งแล้ว เรามาคิดดู หวังทงทำการใดทำให้ผู้ใดโกรธแค้นกันถึงเพียงนี้ ถึงกับต้องทำกันเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องสืบให้กระจ่าง ต้องสอบสวนให้ละเอียด!”

ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงเด็ดขาด ณ ที่ประชุมขุนนาง บรรดาขุนนางย่อมไม่กล้าออกหน้ามาวิจารณ์สิ่งใดตอนนี้ ล้วนพากันคำนับรับพระบัญชา ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หันไปพยักพระพักตร์ให้เฝิงเป่าข้างๆ ประทับยืนเสด็จออกไป

โอรสสวรรค์เสด็จออกไป ที่เหลือก็เป็นพวกมหาอำมาตย์วิจารณ์กันต่อ คิดไม่ถึงว่าพอฮ่องเต้ออกไป สำนักส่วนพระองค์ตามออกไป หากเฝิงเป่ากลับอยู่ต่อ กล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า

“ไทเฮาทรงมีพระบัญชามา……”

ในที่ประชุมพากันอึ้งไป ก่อนจะคุกเข่าลง เฝิงเป่ากล่าวอย่างจริงจังว่า

“หวังทงปฏิบัติหน้าที่เทียนจินขยันขันแข็ง ภักดีต่อแผ่นดิน กลับถูกปองร้าย ให้ทุกหน่วยงานสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง หากสืบอันใดได้ว่าเป็นผู้ใดเหิมเกริมเพียงนี้ จะไม่ปล่อยมันผู้นั้นเอาไว้!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!