ตอนที่ 468 จงใจไม่พบ แต่ละคำค่าดังทองคำ
ขณะที่กล่าวอยู่ จางซื่อเฉียงก็เดินเข้ามา กล่าวกับหวังทงด้วยรอยยิ้มว่า
“ใต้เท้า คิดไม่ถึงว่าจะมีเรืองบังเอิญเช่นนี้ด้วย ที่ริมแม่น้ำตรวจภาษีกัน ใต้เท้าต่งล่องเรือมาหา ข้าน้อยจึงได้นำมาพบใต้เท้า ตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับรอง ใต้เท้าจะพบตอนนี้เลยไหม?”
หวังทงยิ้มลุกขึ้น กำลังจะกล่าวอันใดก็หยุดไป เอ่ยถามว่า
“นายกองพันต่งมาหาข้าด้วยตนเอง?”
จางซื่อเฉียงพยักหน้า หวังทงส่ายหน้าเบาๆ ถามอีกว่า
“เขาดูท่าทางเป็นอย่างไร?”
คำถามนี้ทำให้งง จางซื่อเฉียงนิ่งไปครู่กว่าจะตั้งสติได้ คิดก่อนกล่าวว่า
“วาจาสุภาพนอบน้อมเหมือนกับครั้งก่อน แต่รู้สึกว่ามีความร้อนใจ……”
“อืม เจ้าออกไปบอกว่าข้ามีงานยุ่งอยู่ เชิญไปพักก่อนก็แล้วกัน”
หวังทงคิดครู่หนี่ง ก็สั่งให้นายทหารข้างหน้าออกไปบอกกล่าว จางซื่อเฉียงรู้ว่าหลายวันก่อนหวังทงส่งถานปิงไปหานายกองพันต่งที่ซานตง เหตุใดพอวันนี้อีกฝ่ายมาหาถึงที่ กลับไม่รีบร้อน เขายังไม่ทันถาม หวังทงก็ยิ้มกล่าวก่อนว่า
“เขารีบร้อนมาขอพบ คิดว่าต้องมีเรื่องขอร้องข้า ให้เขาอยากไปก่อน กดดันเขาไปก่อน ถึงเวลาจะได้คุยกันง่าย”
จางซื่อเฉียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ทหารออกไปแจ้ง หวังทงทางนี้ก็กำลังติดภารกิจจริง ร้านสามธารา อีกทั้งร้านตระกูลกู่และร้านตระกูลจาง ยังมีร้านหนังสัตว์ของตระกูลลี่อีก ร้านผงฟูที่เพิ่งเปิดใหม่ ร้านประกันภัย ร้านค้าในความควบคุมทั้งหมดของหวังทงที่หวังทงได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของกำลังร่วมหารือกับหลงจู๊แต่ละร้าน
ว่ากันว่าหวังทงต้องการจัดการการค้าทั้งหมด ทุกคนก็รู้สึกงง ในใจพลางคิดว่าใต้เท้าก็เป็นเพียงขุนนางบู๊อายุน้อย จะเข้าใจเรื่องการค้าได้อย่างไร สินค้าในร้านก็ต้องให้ใต้เท้ามาจัดการด้วยตนเองงั้นหรือ
หวังทงจัดการวางแผนงานต่างๆ ในการค้าล้วนแจ้งเถ้าแก่แต่ละร้านรับทราบ หลงจู๊ที่เป็นคนในร้านระดับกลางไม่ค่อยรับรู้ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจความสามารถอันแท้จริงของหวังทงแม้แต่น้อย
คนแต่ละร้านก็มากับเป็นกลุ่มๆ รู้จักไม่รู้จักก็ล้วนรู้ว่าเป็นคนกันเอง ปกติงานยุ่งอย่างมาก ก็ไม่ค่อยมีโอกาสพบหน้ากัน ยามนี้มารวมตัวกันที่นี่ แต่ละฝ่ายย่อมทักทายกันอย่างคึกคัก
ทหารหน้าประตูรายงานดังเข้ามาว่าใต้เท้าหวังมา ในห้องก็เงียบลง หวังทงเดินเข้ามา ทุกคนก็ลุกขึ้นคำนับ จากนั้นหวังทงก็เริ่มกล่าว
สองประโยคแรกยังคงมีเสียงอื้ออึง แต่พอสักพัก ในห้องก็เงียบกริบ ทหารด้านนอกยืนขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะสบตาทหารด้วยกัน ค่อยๆ เปิดแง้มประตูเป็นช่องมองลอดเข้ามา จึงได้วางใจยืนประจำการต่อ
ในห้องหลายสิบคน หากเงียบราวกับว่าไร้ผู้คน ได้ยินแต่เสียงหวังทงพูดคนเดียว ทำให้ทหารข้างนอกรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
พอแง้มประตูลอบมองเข้ามาก็เห็นพวกหลงจู๊ร้านต่างๆ พากันตั้งใจฟังด้วยอาการตาเบิกโต เกรงว่าในหนึ่งประโยคจะฟังขาดไปหนึ่งคำ
ทหารด้านนอกไม่รู้ว่าที่หวังทงกล่าวหมายถึงสิ่งใด แต่ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย ใต้เท้าเราช่างไม่เหมือนผู้ใด แม้แต่การค้าก็มีความสามารถเพียงนี้
‘สภาพในห้องเงียบ’ เช่นนี้ต่อเนื่องมาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ก็ถูกทหารด้านหน้าขัดจัดหวะขึ้น มีทหารจากห้องรับร้องมาเคาะประตูก่อนจะรอให้หวังทงออกมา กระซิบว่า
“ใต้เท้าต่งด้านหน้าไม่ได้ไปพักที่เรือนรับรอง หากคอยอยู่แต่ในห้องรับรองไม่ยอมจากไป ตอนนี้ร้อนใจอยากขอพบใต้เท้า”
หวังทงกำลังกล่าวเรื่องงานอย่างออกรสออกชาติ ได้ยินต่งช่วงสี่ร้อนใจขอพบเช่นนี้ อารมณ์ก็ยิ่งดี ยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“บอกไปว่าข้ากำลังพบกับแขกสำคัญจากเมืองหลวง วันนี้ใต้เท้าต่งไม่ต้องรอแล้ว กลับไปพักแต่หัววันดีกว่า อีกสองสามวันข้าจะไปพบเขาเอง”
หวังทงสอนต่อด้วยอารมณ์ดีใจ บทเรียนนี้เมื่อก่อนเขาเองเคยสอนผู้อื่นอยู่บ่อยๆ ตอนนี้หลายสิ่งเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็นำมาใช้ในยุคนี้ได้ ได้พบกับ ‘พ่อค้าหัวคิดเฉียบแหลม’ แห่งราชวงศ์หมิงพวกนั้นแต่ละคนกำลังตั้งใจฟัง ท่าทางตกใจ งุนงงและเหมือนตกผลึก จากนั้นสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใส ในใจหวังทงก็ย่อมรู้สึกเต็มอิ่มอย่างที่สุด
แต่ความรู้สึกมีความสุขและเต็มอิ่มนี้ก็อยู่กับเขาไม่นาน เพราะว่านายกองพันต่งช่วงสี่แห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรซานตงกำลังคอยอยู่ที่ห้องรับรองไม่ยอมจากไป และยังให้ทหารมาขอพบอยู่ตลอด
“ใต้เท้า นายกองพันต่งบอกว่ามีจดหมายจากอิ๋วชีจวนใต้เท้าจาง……”
“……ใต้เท้า นายกองพันต่งให้ข้าน้อยมา 10 ตำลึง ขอให้ข้าน้อยมาแจ้งสักครา……”
“……ใต้เท้า นายกองพันต่งร่ำไห้แล้ว บอกว่าหากใต้เท้ายังไม่ออกไปพบ หลายชีวิตวิกฤตใหญ่หลวง……”
หากหลายชีวิตวิกฤตใหญ่หลวงจริง เช่นนี้แต่เริ่มต้นทำไมไม่นำจดหมายอิ๋วชีออกมา แต่เริ่มต้นทำไมจึงวางท่ารอคอยอย่างสงบได้ หวังทงจึงไม่สนใจไยดี
อิ๋วชีเป็นคนสนิทท่านจาง เอ่ยอ้างนามออกมาก็ย่อมเป็นสะเทือนทั่วเมืองหลวง สำหรับขุนนางระดับสี่ลงไปแล้ว ชื่อนี้เหมือนจะสะเทือนยิ่งว่าชื่อของใต้เท้าจางเสียอีก ท่านจางเป็นบุคคลระดับสูงเทียมฟ้า คนไม่เกี่ยวข้องไม่อาจเข้าพบได้ แต่อิ๋วชีนั้นพบได้ สามารถมอบของให้ได้ สามารถขอร้องได้ คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน เท่ากับเป็นคนระดับชั้นแนวหน้าเลยทีเดียว
ผู้อื่นสนใจ หากหวังทงไม่สนใจ เป็นคนละสายงานอย่างชัดเจน ท่านจางแม้จะควบคุมอำนาจใต้หล้าไว้ได้ แต่คิดจะแตะต้องหวังทงก็ไม่ง่าย
ทว่าต่งช่วงสี่ร้อนใจมาด้วยเรื่องใดกัน เป็นสิ่งที่หวังทงรู้สึกแปลกใจ หากว่าเป็นเรื่องการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เช่นนั้นย่อมช่วยอันใดไม่ได้ นอกจากเรื่องนี้ ระดับนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำพื้นที่เช่นนี้ยังต้องกลัวสิ่งใดกัน หวังทงคิดไม่ตก
คิดไม่ตกก็ส่วนคิดไม่ถตก หากหวังทงก็ยังคงกล่าวกับพลทหารที่มารายงานเพียงประโยคเดียวว่า
“บอกไปว่าข้าออกไปแล้ว ดึกมากจึงจะกลับมา……”
***********
“วันนี้ได้ฟังที่นายท่านสอนสั่งมา ช่างมีค่ามากกว่าอ่านตำราสิบปีเสียอีก”
“ไหนเลยจะแค่สิบปี ข้าทำการค้ามาหลายสิบปี วันนี้จึงได้คิดเรื่องพวกนี้ออก……”
“พวกเราทุกคนอย่าได้ออกไปพูดข้างนอก กลับไปถ่ายทอดให้ลูกหลานเราก็พอ ความรู้พวกนี้ใช้สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน จะได้ร่ำรวยกันไปทั้งชีวิต!”
“ใช่ ใช่……”
การถ่ายทอดความรู้นี้ดำเนินมาจนฟ้ามืด หลังเลิกประชุม พวกที่มากันก็สองตาเป็นประกาย วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตื่นเต้นไม่หยุด หวังทงเห็นว่าได้ผลเช่นนี้ก็รู้สึกพึงพอใจ กล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ในเมื่อทุกท่านฟังเข้าใจ คิดได้แล้ว พรุ่งนี้ไปก็ทำตามนี้ไปทีละขั้นทีละตอน”
ยังกล่าวไม่ทันจบ อยู่ๆ ก็มีคนหนึ่งผุดลุกขึ้น เดินเข้ามาสองก้าว ขณะที่ทุกคนพากันคิดว่าเป็นมือสังหาร คนผู้นี้กลับถลาไปคุกเข่าลง ก่อนจะขอร้องว่า
“นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องขอร้อง เรื่องที่ท่านสอนสั่งในวันนี้ข้าน้อยฟังครบหมด รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่ก็มีหลายที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ นายท่านภารกิจมาก พวกข้าน้อยรู้ดี แต่วิธีการยอดเยี่ยมเช่นนี้หากไม่เข้าใจและไม่ได้ถาม ก็เท่ากับสูญเปล่า ขอให้ใต้เท้าเจียดเวลาสักหน่อยมาอธิบายให้พวกเราเข้าใจได้หรือไม่”
‘แนวคิดใหม่’ มากมายใช้การได้ หากเวลาถ่ายทอดนั้นจำกัด พวกพ่อค้าฟังกันไม่เข้าใจ ก็จะจดกันเอาไว้ ด้วยเพราะสถานะต่างกันจึงไม่กล้าสอบถาม ต่างก็คิดว่าจะกลับไปค่อยๆ คิด แน่นอน หากหวังทงยินดีให้คำอธิบายด้วยตนเอง ย่อมดีที่สุด
เมื่อครู่ทุกคนได้ฟังแล้วก็ล้วนลงความเห็นว่า สิ่งที่หวังทงสอนยิ่งเข้าใจมากเท่าไร การค้าวันหน้าก็ยิ่งขยายใหญ่ เงินทองย่อมไหลมาเทมา
แม้ว่าคนผู้นี้ไม่ถาม ก็ย่อมมีคนลุกขึ้นถาม หวังทงอึ้งไป มองคนที่คุกเข่าอยู่ พลางพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า
“มีอันใดไม่เข้าใจ ก็เขียนเทียบส่งมาถาม ข้าจะอธิบายกลับไปให้เร็วที่สุด!!”
ได้ยินคำสัญญาเช่นนี้ ทุกคนที่เข้าฟังหวังทงก็ลุกขึ้นคำนับกล่าวขอบคุณไม่หยุด
************
ดึกมาแล้ว พวกหวังทงที่อยู่เรือนด้านหลังกินอาหารค่ำกันอิ่มแล้ว ทหารที่ห้องรับรองตอนนี้ฉลาดขึ้นบ้างแล้ว ต่งช่วงสี่ไม่ได้จากไปที่ใด ทุกครั้งที่ขอให้มาตามหวังทง เขาก็แค่ออกจากห้องรับรองเดินวนรอบหนึ่งจากนั้นก็เดินกลับไปก็พอ
หวังทงกินอาหารค่ำเสร็จก็รออีกหนึ่งชั่วยาม หากต่งช่วงสี่ยังรอต่อไป มาหารือกับเจ้าของจวนดึกดื่นเช่นนี้ก็เหมือนไร้มารยาท จึงได้แต่อำลาจากไป
“ส่งคนสะกดรอยนายกองพันต่งไปที่พัก ดูว่าคืนนี้เขากับคนสนิทคุยอันใดกันบ้าง”
หวังทงออกคำสั่งเสร็จ ก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีก เมื่อวานเรื่องที่สั่งการไป กู่จื้อปินก็มารายงานในคืนนี้
ตั้งแต่ติดตามหวังทง การค้ากู่จื้อปินก็ขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ รูปร่างที่เมื่อก่อนพอได้อยู่ ตอนนี้กลับอ้วนท้วนขึ้นมาก ยามนี้เป็นช่วงปลายเดือนหกต้นเดือนเจ็ดซึ่งร้อนที่สุด เดินเข้ามาในห้องคำนับเสร็จ ก็รีบคว้าผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ เช็ดไปสองสามทีก็เริ่มกล่าวรายงานว่า
“ราคาน้ำตาลที่เทียนจินกับที่เมืองหลวงราคาราวชั่งละ 50 – 60 อีแปะ น้ำตาลเหลือง น้ำตาลดำ ราคาต่ำหน่อย น้ำตาลแดงก็ราวชั่งละ 70 หากเป็นน้ำตาลกรวด ก็ราวตำลึงละ 80 อีแปะ……น้ำตาลขาวกับน้ำตาลเหลืองมาจากทางใต้เยอะหน่อย……สินค้าพวกนี้ขนมาทางเรือ ราคาขายส่งจำนวนมากอยู่ที่ชั่งละ 35 อีแปะ……”
มีกำไรหนึ่งเท่าจริงๆ ด้วย และยังกำไรดีพอๆ กับการค้าทางทะเลอีกด้วย หากเทียบกับผงฟูก็ต่างกันไม่น้อย ราคาน้ำตาลกรวดสูงเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง หวังทงพยักหน้า แต่เทียบกับสินค้าอื่นแล้ว ก็นับว่าไม่เท่าไร ในเมื่อเสิ่นหวั่งอยากจะทำ ก็ตามกำไรไปด้วยก็แล้วกัน
หวังทงกำลังจะคุยเรื่องอื่น กู่จื้อปินก็เช็ดเหงื่อก่อนจะกล่าวว่า
“นายท่าน แต่มีเรื่องหนึ่ง ได้ยินว่าคนที่ร้านที่ฮกเกี้ยนบอกว่า ขนสินค้ามาที่เราได้กำไรเท่าตัว แต่หากขนไปขายทะเลใต้ได้ถึงห้าเท่า ขนไปขายประเทศวัวได้มากกว่าสี่เท่า นับสินค้าที่ขนไปขนกลับ กำไรมากมายมหาศาล มีเงินไม่ทำกำไร ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องทำเช่นนี้?”
มีเงินไม่ทำกำไร เหมือนจะผิดไปจากความเป็นปกติ ในใจหวังทงก็เริ่มระวังขึ้นมาอีกหลายส่วน แต่กู่จื้อปินกลับตื่นเต้นยิ่งกว่า กล่าวต่อว่า
“ทางนั้นให้เรือมาหลายสิบลำสามารถเอาไว้ใช้งานได้ ข้าน้อยจัดเตรียมสินค้าไว้แล้ว ปีนี้จะไปเมืองเหลียวโจวหลายรอบหน่อย”
************
วันที่ 2 เดือนเจ็ด จวนหวังทงเพิ่งจะเปิดประตูใหญ่ ต่งช่วงสี่ก็มาถึงหน้าประตูแล้ว ครั้งนี้หวังทงไม่หลบ หากเชิญให้เข้าไปพบด้านใน ต่งช่วงสี่ท่าทางสงบนิ่ง กล่าววาจาตามมารยาทว่า
“วันนี้มาถึงจวนท่าน ได้เห็นรถม้าลากป้ายใหญ่อยู่ ไม่ทราบว่าทำสิ่งใดกันอยู่หรือ?”