Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 472

ตอนที่ 472 เพียงเลือนลางก็รู้ความทั้งหมด

“ตามพระวิสัย ฝ่าบาทอีกครึ่งชั่วยามจึงจะตื่นบรรทม เจ้ากงกงมาพักที่ตำหนักข้างก่อน รอเลิกประชุมเช้าคงมีงานมากมายให้ต้องทำอีกเยอะ!”

นางกำนัลพระสนมเจิ้งยิ้มกล่าว นายบ่าวอายุน้อย นางกำนัลพระสนมเจิ้งอายุก็น่าจะราว 18-19

บ่าวรับใช้ในตำหนักนี้ทุกคนได้รับคำสั่งว่าท่าทีปฏิบัติต่อเจ้าจินเลี่ยงให้เหมือนกับมหาขันทีอาวุโสในวัง ทว่าที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ เด็กน้อยผู้นี้ได้รับการให้เกียรติเช่นนี้ หากยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งดังเดิมไม่เปลี่ยน ไม่รู้ว่านิสัยแท้จริงเดิมเป็นเช่นไรกันแน่

สุดท้ายก็ได้แต่ทอดถอนใจ มิน่าเจ้าจินเลี่ยงอายุยังน้อยเพียงนี้จึงได้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ได้ ก็เพราะมีข้อดีที่ผู้อื่นไม่มี

ได้ยินนางกำนัลบอก เจ้าจินเลี่ยงก็รีบยิ้มคำนับกล่าวเบาๆ ว่า

“ขอบคุณพี่สาวมาก!”

ในเรือนข้างมีโต๊ะและเก้าอี้ ไว้สำหรับให้ขันทีนางกำนัลคนสนิทพักผ่อน เจ้าจินเลี่ยงนั่งลงก็มีนางกำนัลโบกมือ จากนั้นก็มีนางกำนัลน้อยรีบนำถาดน้ำชาออกมาวาง

“ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อสับเพิ่งอบเสร็จ ยังมีโจ๊กใสเม็ดบัว เจ้ากงกงมาจากทางนั้นยังไม่ได้รับอาหารเช้ากระมัง!

ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อสับและโจ๊กเม็ดบัวใสเป็นของที่หากินได้ทั่วไป แต่ในวังก็ย่อมปรุงได้ปราณีตอย่างมาก เจ้าจินเลี่ยงยิ้มขอบคุณ จากนั้นก็รับมากิน

นางกำนัลเห็นเจ้าจินเลี่ยงกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็สบตากัน สืบมาได้ว่าเจ้าจินเลี่ยงเช้ามายังไม่มีเวลากินอาหารเช้า นับว่าลงแรงไปไม่น้อย แต่สามารถสร้างสัมพันธ์อันดีกับกงกงน้อยนี่ได้ ทุกอย่างก็นับว่าคุ้มค่า

ได้ยินเสียงกลองในวังดังจบลง นางกำนัลกับเจ้าจินเลี่ยงก็เดินออกมาจากประตู นางกำนัลคนสนิทของพระสนมเจิ้งก็ควรจะไปปลุกฮ่องเต้ว่านลี่ คนแบกเกี้ยวที่ประทับด้านนอกมารออยู่หน้าประตูพระตำหนักแล้ว

มีคนรับใช้มากมาย เรื่องที่ต้องการให้คนชั้นสูงทำนั้นย่อมมีน้อยมาก ทุกเรื่องเสร็จสรรพอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เคยรับใช้ฮ่องเต้หลงชิ่งยังจำได้ว่า ฮ่องเต้หลงชิ่งราวกับหุ่นไม้ ให้บ่าวรับใช้ในวังจัดการทุกอย่าง จัดการเสร็จ ประทับเกี้ยวออกว่าราชการ จากนั้นก็ถูกขันทีอาวุโสจัดการแผนงานต่อ ดูแลรับใช้ง่ายมาก

แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ในตอนนี้ไม่เหมือนกัน เช้ามาก็ต้องแบ่งเป็นสองรอบ อันดับแรกต้องแต่งชุดฝึกยุทธ์ หยิบไม้พลองยาวออกกำลังพระวรกายราวหนึ่งก้านธูป จากนั้นก็จะทำกายบริหารท่าต่างๆ อีกราวหนึ่งก้านธูป ขั้นตอนการฝึกยุทธ์เพื่อสุขภาพพลานามัยนี้ พระสนมเจิ้งก็จะคอยอยู่ข้างๆ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฮ่องเต้โปรดช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก

ออกกำลังพระวรกายจบ ก็จะเรียกหาชุดมังกร ต้องเสด็จยังพระตำหนักฉือหนิงกงถวายพระพรและเตรียมออกว่าราชการ ฟ้าสว่างมากแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่บนเกี้ยวไปยังตำหนักฉือหนิงกง

“เมื่อคืนฝ่าบาทประทับที่ตำหนักพระสนมเจิ้งอีกแล้วหรือ……”

“……ถุยๆ เดือนหนึ่งเกือบ 20 วันที่ได้รับความโปรดปราน……”

เห็นขบวนเดินออกไป ขันทีนางกำนัลที่หมอบอยู่ข้างทางก็รอให้ขบวนไปไกล ทุกคนก็กระซิบกระซาบวิจารณ์กัน ผู้ใดได้รับความโปรดปรานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกคนในวังหลวงแห่งนี้ พวกที่มองการณ์กระจ่างก็จะได้หาโอกาสเลือกข้างได้ถูกต้อง

เกี้ยวประทับหยุดที่ตำหนักฉือหนิงกง ตอนเช้ามาถวายพระพรไทเฮาฉือเซิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่จะเสด็จด้วยพระองค์เองตั้งแต่หน้าประตูเพื่อแสดงความเคารพ

พอเกี้ยวประทับหยุดหน้าประตู เจ้าจินเลี่ยงก็จะตามเสด็จ เจ้าจินเลี่ยงเดินตามมาด้านหลังกระซิบว่า

“ฝ่าบาท จางเฉิงฝากกระหม่อมกราบทูล ขอให้ฝ่าบาทวันนี้หลังเลิกประชุมเสด็จยังห้องทรงอักษร”

ฮ่องเต้ว่านลี่ในตอนนี้ไม่ทรงมีภารกิจแผ่นดินสำคัญอันใด ปกติก็จะประทับอยู่กับพระสนมเจิ้ง ห้องทรงอักษรก็มิค่อยเสด็จสักเท่าไร

************

หลังเลิกประชุมขุนนางมาถึงห้องทรงอักษร สีพระพักตร์ว่านลี่มีท่าทางรำคาญพระทัย ท่าทางเช่นนี้เป็นดังที่จางเฉิงคาดไว้ พอโอรสสวรรค์ติดผู้หญิงก็ย่อมจะห่างเหินมิตรสหาย รอให้ปรับตัวสักพักก็จะกลับเป็นปกติเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด

“จางปั้นปั้น สองวันนี้ในราชสำนักล้วนรอให้ท่านจางวางกฏระเบียบใหม่ปีหน้า ในเมืองแผ่นดินเป็นสุขเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลอันใดมากมาย ยังมีเรื่องอันใดอีก?”

จางเฉิงถวายบังคมกราบทูลว่า

“ทูลฝ่าบาท เมื่อคืนวานนี้ก่อนประตูวังปิด หวังทงส่งสารเข้ามาพะยะค่ะ”

ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ที่มีท่าทีเหนื่อยหน่ายก็รู้สึกสนพระทัยขึ้นเล็กน้อย ตรัสถามว่า

“หาตัวมือสังหารได้แล้วหรือ?”

“ทูลฝ่าบาท หวังทงกล่าวเพียงว่าบางทีอาจเป็นพวกเดนตายคิดการณ์กะทันหัน ในเมื่อไม่มีผู้รอดชีวิต หากจะสอบสวนเรื่องนี้เอิกเกริกไป ใช้กำลังคนมากมายเกินไป ไม่สู้ส่งมอบให้กองพันที่เทียนจินค่อยๆ สืบ อย่างไรก็ต้องได้ข้อสรุปเป็นแน่”

ฮ่องเต้ว่านลี่ ‘อ้อ’ รับคำขึ้นก่อนจะประทับพิงที่ประทับ ตรัสอย่างเบื่อหน่ายว่า

“จางปั้นปั้น วันนี้มีเรื่องแค่นี้หรือ?”

เห็นจางเฉิงพยักหน้า ว่านลี่ก็ขมวดพระขนงแน่น ตรัสอย่างเบื่อหน่ายว่า

“ไม่สอบก็ไม่สอบ อย่างไรจดหมายในกล่องเหล็กนั่นเราก็จะได้อ่าน เราตอนบ่ายมีราชกิจมาก ในเมื่อไม่มีอันใด ข้าไปก่อน……”

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอกล่าวล่วงเกิน จิ่นซิ่วจากตำหนักฉือหนิงกงแอบบอกกระหม่อมว่า ฝ่าบาทสองสามวันนี้ไปปล่อยโคมไฟยามค่ำคืนที่อุทยานปัจจิม ยังมีคณะงิ้วมาแสดงอีก เรื่องนี้ไทเฮาไม่พอพระทัยสักเท่าไร ตรัสว่าคราก่อนจัดการความผิดซุนไห่ไป ครั้งนี้ต้อง……”

ทูลไม่ทันจบ ว่านลี่ก็ตบพู่กันลงกับโต๊ะอย่างแรง โบกพระหัตถ์อย่างร้อนใจว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ทำแล้วก็ได้ ก็แค่ชมวิวยามค่ำคืนเท่านั้น หาความสุขเล็กน้อย กลับเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียได้ พวกคหบดีข้างนอกวังพวกนั้น เรื่องสุขสำราญมากกว่าเรามากนัก”

ทรงบ่นสองสามประโยค จากนั้นก็ไม่ตรัสอันใดต่อ เรื่องที่ว่านางกำนัลจิ่นซิ่วแห่งตำหนักฉือหนิงกงแอบมาบอกอะไรพวกนี้นั้น ในวังไม่มีเรื่องใดเล็กน้อย ที่เรียกว่าแอบบอก ย่อมต้องเป็นเพราะไทเฮาไม่พอพระทัย ให้มาเตือนไว้ก่อนเท่านั้น หากว่ายังทำต่ออีก ไทเอาก็จะทรงลงมือแล้ว

ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พระอารมณ์ไม่ดีนัก ในเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้ว ก็กลับไปหาพระสนมเจิ้งเร็วหน่อยละกัน กำลังจะขยับ จางเฉิงก็ก้าวเข้ามากอีกสองก้าว กระซิบเสียงเบาอย่างยิ่งว่า

“ขอพระราชทานอภัยโทษก่อน เรื่องที่จะทูลต่อนี้ กระหม่อมก็ไม่แน่ใจนัก แต่ไม่อาจไม่ทูล”

ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ ตรัสตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า

“จางปั้นปั้นไยต้องกล่าวเช่นนี้ เราอภัยโทษท่าน กล่าวมาได้แล้ว”

“ฝ่าบาท หวังทงเร่งเดินทางส่งกล่องสารเหล็กเข้ามาก็เพื่อให้เรื่องสงบ ไม่อยากให้สืบสาวต่อ ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่านิสัยหวังทง เป็นผู้ไม่ยอมอ่อนข้อ มีมือสังหารกลางถนน อย่างไรก็ไม่ยอมเลิกรา สืบไม่ได้ความจริงๆ หรือ? หวังทงมีกองกำลังระดับเช่นนั้นที่เทียนจิน ลมพัดยอดหญ้าอันใดจะรอดพ้นสายตาไปได้?”

เมื่อครู่ที่ทรงร้อนพระทัยก็เริ่มสงบลงหลายส่วน ได้ยินจางเฉิงว่ามา ก็ทรงนิ่งก่อนจะตรัสว่า

“ไม่เหมือนหวังทงจริงๆ ประสบเรื่องราวเช่นนี้ เขาย่อมต้องสืบค้นความจริงให้ถึงที่สุด หากไม่ได้ความย่อมไม่เลิกรา เหตุใดครั้งนี้จึงได้วางมือง่ายดายเช่นนี้ได้”

“กระหม่อมเองก็เดาเอา หวังทงนิสัยเช่นนั้น บอกว่าจะสืบก็ต้องสืบ กระหม่อมอ่านสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่งรายงานมา เทียนจินไม่มีอันใดผิดปกติ หวังทงที่นั่นยังคงปกติทุกอย่าง จะบอกว่าไม่สืบก็ไม่สืบได้อย่างไร?”

ในห้องเงียบกริบ เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้ว่านลี่ไว้ได้ จางเฉิงแอบมองซ้ายขวาก่อนจะก้าวเข้าไปอีกก้าวกระซิบเบาๆ ว่า

“หวังทงมีความสำเร็จเช่นวันนี้ก็อาศัยความไว้พระทัยและให้การสนับสนุนจากฝ่าบาท เขาทำงานกล้าหาญมุ่งมั่น ก็เพราะรู้ว่าเบื้องหลังมีฝ่าบาทคอยสนับสนุน ใต้หล้าไม่มีผู้ใดกล้าเอาเรื่องเขา และก็รู้กันว่าเป็นขุนนางที่ทรงโปรดปราน ในเมื่อทรงโปรดปราน เหตุใดหวังทงจึงไม่สืบเรื่องต่อกัน?”

จางเฉิงถามกลับ ฮ่องเต้ว่านลี่เอี้ยวพระวรกายมาด้านหน้า สีพระพักตร์เริ่มดำคล้ำ จางเฉิงถามเองตอบเองว่า

“กระหม่อมเดาต่อว่า หวังทงบางทีอาจสืบอันใดพบ แต่กระทบถึงผู้ใดหรือเรื่องใด ที่จะพัวพันถึงฝ่าบาท ที่จะทรงไม่อาจปกป้องได้ หรือบางทีอาจจะเป็นเหตุให้ลงโทษ แต่เขาเองก็ต้องแหลกสลายไปด้วย ฝ่าบาท ผู้ที่ทำให้ทรงไม่อาจปกป้องต่อไป กระหม่อมคิดว่า……”

“เราปกป้องไม่ได้ หรือว่าเป็นอ๋ององค์ใด……”

จางเฉิงลังเลครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่พึมพัมกับพระองค์เองก่อนจะตบหน้าผากตรัสว่า

“เป็นผู้ใดกัน เป็นผู้ใดกัน?……”

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท หวังทงถวายฎีกามาไม่ได้ทูลอันใด ฝ่าบาทก็มิต้องคาดเดา ผู้ที่ฝ่าบาทนึกถึง กระหม่อมเองก็เพียงแค่บอกว่าคาดเดาเอาเองเท่านั้น”

“มีราชโองการไป ราชโองการไปถามหวังทง ให้หวังทงอย่าได้ปิดบัง รีบรายงานมาตามตรง”

“ฝ่าบาท หากหวังทงมีหลักฐานแน่ชัด เขาเหตุใดจะไม่รายงาน แต่ทว่าไม่มีมือสังหารรอดชีวิต หากเขากล่าวมา ก็ย่อมถูกคนใส่ความกลับ ว่าทำลายชื่อเสียงคนดี”

ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกจางเฉิงพูดจนร้อนพระทัย ได้ฟังถึงตรงนี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตบโต๊ะทรงอักษรอย่างแรง ตรัสเสียงดังว่า

“หวังทงทำงานเลอะเลือนเพียงนี้ได้อย่างไร จะให้เราระงับความกังวล ไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาได้อย่างไร……”

“ฝ่าบาท หวังทงทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเลอะเลือนอันใด หากต้องการจะเลอะเลือนให้ผ่านไปจริง ไยต้องส่งสารกล่องเหล็กมาด้วย ให้เรื่องลากยาวต่อที่เทียนจินก็ได้ หวังทงทำเช่นนี้ก็เพื่อเตือนฝ่าบาท ฝ่าบาททรงตรองดู ผู้ที่สามารถทำให้ฝ่าบาทไม่อาจปกป้องได้ และกล้าลงมือกับหวังทง นี่ไม่ใช่ว่าต้องการจะเด็ดปีกฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?”

น้ำเสียงจางเฉิงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ จนทนไม่ไหวต้องประทับยืนขึ้น มองไปรอบทิศ รู้สึกหนาวพระวรกาย

ไม่อาจดูแคลนคนที่นี่ อยู่ในสถานที่แห่งนี้นานวัน ความฉับไวในอำนาจย่อมไม่ธรรมดา การเคลื่อนไหวส่งสารมาเช่นนี้ของหวังทง กอปรกับสิ่งที่หวังทงประสบในเทียนจิน ด้วยสายสัมพันธ์ของเขากับในวัง กับฮ่องเต้ ค่อยๆ ถูกจางเฉิงวิเคราะห์ทีละรายละเอียดออกมาได้อย่างมากมาย บางเรื่องแม้แต่หวังทงเองก็คิดไม่ถึง

*************

ในวังวิเคราะห์เช่นไร หวังทงย่อมไม่อาจรู้ได้ในตอนนี้

วันที่ 5 เดือนเจ็ด รถม้าที่เข้าออกตรอกซอกซอยในเมืองเทียนจินเปลี่ยนคำประกาศใหม่ มีคนตะโกนบนรถม้าดังว่า

“……ผงฟูร้านสามธารา ทำขนมอร่อยสุด ซักเสื้อผ้าดีที่สุด……”

“……เครื่องหนังตระกูลลี่ เป็นเครื่องหนังหน้าหนาวปีนี้ ไม่ใช่ของเก่าเก็บ……”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!