ตอนที่ 483 เหมือนใช่เหมือนไม่ใช่ น่าแปลกจริงหนา
ได้ยินว่าให้เขาสองคนลงมือ ถานปิงและถานเจี้ยนสบตากัน ก่อนจะมีสีหน้าลำบากใจ ถานปิงเอ่ยด้วยท่าทีลังเลว่า
“นายท่าน……”
“ในเมื่อเรียกข้าว่านายท่าน เหตุใดยังไม่ลงมือ พวกเจ้าติดตามข้ามานาน ทุกเรื่องก็เห็นมาด้วยตา หรือว่ายังคิดจะหาทางสลัดหนีอีกหรือ?”
สีหน้าหวังทงมีรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงเย็นเยียบ ถานปิงเป็นสายจากสำนักองครักษ์เสื้อแพร ถานเจี้ยนเป็นสายจากสำนักบูรพา แต่ก็ให้ติดตามรับใช้ข้างกาย ใช้การได้ไม่เลว แต่เรื่องเยอะขึ้นเรื่อยๆ หวังทงให้พวกขุนพลตระกูลถานเข้าร่วมรู้ความลับมากมาย มีสายลับสองคนนี้อยู่ด้วย อย่างไรก็ไม่อาจวางใจได้
ตอนนี้สำนักบูรพาอยู่ในการควบคุมของเฝิงเป่า ส่วนสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็มีท่านจางควบคุม สองแห่งนี้ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ไม่อาจข้องเกี่ยว ข่าวสารไม่อาจควบคุมได้
ขณะกล่าวอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูสามที หวังทงตะโกนดังกลับไปว่า
“ไม่มีอันใด อยู่ข้างนอกรอไป!”
คนด้านนอกรับคำ ถานปิงกับถานเจี้ยนสบตากัน ถานปิงอยู่ๆ ก็ถอนหายใจยาวกล่าวว่า
“อนาคตครอบครัวพวกเรา ล้วนอยู่ในมือนายท่าน หรือว่ายังจะยังหวังอันใดกับใต้เท้าในเมืองหลวงนั่นได้อีก ลงมือเถอะ!”
ถานเจี้ยนอึ้งไปพลางพยักหน้า หวังทงเอี้ยวตัวหลบไปหนึ่งก้าว ถานปิงกับถานเจี้ยนชักดาบออกมาแทงเข้าที่หน้าอกอวี๋ซวงสือ พอแทงเข้าไปก็บิดดาบอีกทีให้แน่ใจว่าสิ้นใจแล้ว
หวังทงสีหน้าปรากฎรอยยิ้มพอใจ กล่าวว่า
“ตอนนี้ทุกคนก็นับได้ว่าเป็นคนกันเองจริงๆ แล้ว ทำตามที่วางแผนไว้ เก็บของรีบกลับ”
“เราพี่น้องภักดีกับใต้เท้ามาโดยตลอด หรือว่าต้องให้คืนตำแหน่งไปนายท่านถึงวางใจงั้นหรือ?”
วิธีการกระทำนี้ของหวังทง หากจะกล่าวว่าถานปิงไม่รู้สึกอันใดก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ หวังทงส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ไม่ใช่ว่าไม่วางใจ แต่เรื่องถึงตอนนี้ ต้องให้วางใจได้ทุกเรื่อง ไม่อาจเกิดเหตุเหนือความคาดหมายได้แม้แต่น้อย”
กล่าวจบ หวังทงก็เดินออกไป ตะโกนเสียงดังว่า
“ตามมาชำระแค้นจากต้าถง ผู้ไม่เกี่ยวข้องถอยไปให้หมด อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว!!”
กล่าวจบ เสียงร้องโหยหวนในโรงเตี๊ยมก็ดังขึ้นติดต่อกัน
************
วันที่ 22 เดือนแปด ผู้ว่าเมืองอี้โจวได้รับรายงานจากโรงเตี๊ยม ได้ยินว่าขบวนของตระกูลระดับป๋อถูกปล้นที่นั่น ใต้เท้าผู้ว่าก็ไหลลื่นร่วงจากเก้าอี้ทันที
ที่นี่ไม่เพียงเป็นที่ในปกครองของอี้โจว หากยังเป็นเขตในการดูแลของด่านจื่อจิง ผู้ว่ารีบส่งคนโรงเตี๊ยมไปรายงานที่นายกองพันด่านจื่อจิง และยังส่งคนไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอีกด้วย
ว่ากันว่าดึกดื่นมีโจรปิดหน้าหลายสิบคนบุกเข้ามา ไม่ได้สังหารผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง หากมุ่งไปยังเรือนเดี่ยวของตระกูลอวี๋ในโรงเตี๊ยมนั่น คนที่เหลือขังไว้ในห้อง และข่มขู่ไม่ให้ออกมา
ชายฉกรรจ์ชักดาบเฝ้าหน้าประตู ผู้ใดจะกล้าไม่ทำตาม แต่พอเลยเที่ยงคืนไป เสียงคนและม้าด้านนอกดังขึ้นพร้อมเสียงร้องโหยหวน รอจนทุกคนกล้าโผล่หน้าออกมา ก็พบว่าคนตระกูลอวี๋ทั้งหมดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เกือบร้อยคน นอกจากคราบโลหิตแล้ว ไม่พบเห็นร่องรอยอันใดอีก นี่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง
ด่านจื่อจิงส่งคนมาที่นี่ตรวจสอบรอยเท้าม้ารอบๆ ตอนมามาจากทางใต้ แต่ตอนกลับหากกระจายสี่ทิศ ก็ไม่พบร่องรอยอันใด
ตอนนี้เป็นหน้าร้อน เป็นช่วงคนและสัตว์ออกเดินทางไปมา เส้นทางหลวงและสถานที่คนมากมายยังว่าไปอย่าง หากเดินไปไกลอีกหน่อย ไปถึงเขตภูเขาป่าไม้ก็แยกไม่ออกแล้ว
ร่องรอยไม่มี และตามทางก็ไม่พบอันใด เพราะว่าเส้นทางแต่ละแห่งเต็มไปด้วยพ่อค้าไปเทียนจิน หาร่องรอยขบวนม้าใหญ่ใดไม่พบแม้แต่น้อย
ขุนนางในพื้นที่ก็ได้แต่รับความโชคร้ายเอาไว้เอง พวกที่ขออภัยโทษได้ก็ขอ พวกที่โดนลดตำแหน่งก็ลดกันไป
แต่ต้นจนจบมีคนรู้สึกว่าอวี๋ซวงสือยังไม่ตาย เพียงแต่ถูกโจรจับตัวไปที่ใดสักแห่ง ดังนั้นจึงออกตามหาไม่หยุด
พอถึงเดือนสิบ ศพที่กระจายไปยังที่ต่างๆ จึงได้ถูกนายพรานที่ขึ้นเขาค้นพบ แต่ศพส่วนใหญ่ก็ถูกสัตว์ป่ากัดแทะไปจนเหลือไม่ครบส่วน แยกแยะได้ก็เป็นเพราะป้ายประจำตัวคนผู้หนึ่ง
แต่ศพที่ได้มาจากแต่ละแห่งก็เพียงแค่ 60 กว่าเท่านั้น ยังมีอีกกว่าครึ่งที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย และก็ไม่พบศพของ อวี๋ซวงสือ
อยู่ไม่เห็นตัว ตายไม่เห็นศพ หาพบแค่ 60 กว่าศพ ไม่รู้ว่าคนที่เหลือไปไหนกันหมด กลายเป็นปริศนาของคดีนี้ไป
ผู้ว่าอี้โจวและขุนนางที่เกี่ยวข้อง ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคนยังไม่ตาย เพราะขอเพียงคนไม่ตาย ความรับผิดชอบก็เบาลงหนึ่งส่วน จากนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นคดีค้างเติ่ง
***********
“นายท่าน คนใช่ว่าสังหารให้หมดไม่ดีกว่าหรือ พี่น้องเราลงแรงมากมายมายกว่าจะนำศพไปกำจัดแต่ละแห่ง ไยต้องปล่อยให้มีผู้รอดชีวิตด้วย”
“หากเป็นเจ้า เจ้าจะกลับไปเฝินโจวรายงานไหม?”
“ย่อมไม่ เจ้านายหายไป คนรับใช้ไม่เป็นอันใด ย่อมถูกส่งไปทางการลงทัณฑ์สอบ อยู่ไม่สู้ตาย อาจถึงขั้นถูกลงโทษว่าเป็นผู้ก่อการก็เป็นได้ ย่อมไม่กลับไปหาที่ตาย”
“พวกเราปิดหน้ากัน พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใคร ปล่อยให้รอดไป พวกเขาก็ไม่กล้ากลับไปเปิดเผยร่องรอย ได้แต่หนีตายไปให้ไกล แม้ว่าถูกจับ ก็แค่ทำให้ทางการสงสัยมากหน่อยเท่านั้น จะได้ความอันใดกัน”
ระหว่างทางกลับ หวังทงตอบคำถามถานปิงและถานเจี้ยน ขากลับแบ่งแยกขบวนออกเดินทาง มองอย่างไรก็เป็นเพียงพ่อค้าทั่วไป
เสื้อผ้าที่เปื้อนโลหิตก็เผาไปหมดแล้ว อาวุธก็ทิ้งไปแล้วด้วยการฝังกลบ เร่งเดินทางกลับเทียนจินทุกวัน
ถานปิงและถานเจี้ยนออกจากโรงเตี๊ยมมาก็เงียบไปหลายวัน จากนั้นก็เป็นปกติ ดูไม่ออกว่าต่างจากเมื่อก่อนอย่างไร หากผู้ที่เงียบผิดปกติกลับเป็นหวังทง ตั้งแต่เข้าเขตปกครองเหนือมาก็เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ถานปิงและถานเจี้ยนสองคนกลับพยายามหาเรื่องสัพเพเหระมาคุย
วันนั้นหวังทงถามอะไร พวกเขาไม่ได้ยินด้วย แต่ตระกูลอวี๋ลอบสังหารหวังทงแน่นอนไม่ต้องสงสัย หากว่าหวังทงรู้สึกไม่สบายใจที่สังหารคนไป พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ หวังทงมือเปื้อนเลือดมาไม่น้อย หากว่าคนตระกูลอวี๋ไม่สมควรตายก็ไม่ใช่ ในเมื่ออีกฝ่ายส่งมือสังหารมา คืนกลับไปก็สมควรอยู่
ที่หวังทงคิดย่อมไม่เหมือนดังที่พวกเขาคิด หนึ่ง การค้าผงฟูสร้างความแค้นไม่อาจร่วมโลกกับตระกูลอวี๋อย่างไม่ตั้งใจ สอง ความคิดของหย่งเซิ่งป๋อก็ไม่อาจนำขึ้นกราบทูลได้
แม้นไทเฮาฉือเซิ่งกับฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงเชื่อ ส่งคนไปสอบหย่งเซิ่งป๋อ แต่หวังทงก็ย่อมถูกกำจัด เรื่องราวเกี่ยวพันถึงพระอนุชาแท้ๆ ของฮ่องเต้ เส้นทางการข่าวที่หวังทงได้ข่าวมาก็ไม่ใสสะอาดนัก แม้ว่าสังหารหย่งเซิ่งป๋อได้ หวังทงก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
อวี๋ซวงสือเอ่ยถึงตระกูลหลิน และยังเอ่ยถึงร้านท่งไห่ ในที่สุดตนเองก็รู้แล้วเหตุใดจึงถูกพวกมองโกลล่าสังหารบนทุ่งหญ้านอกด่าน หลายสิ่งเริ่มปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวแล้ว
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เรื่องนี้เหมือนว่าเริ่มจากการสืบสวนร้านทงไห่หรอกหรือ และก็เป็นการเริ่มจากเมืองหลวง เรื่องราวจึงค่อยๆ มาทีจะเรื่อง หากกล่าวว่า หย่งเซิ่งป๋อมีใจคิดเป็นใหญ่ และยังได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลหลินที่ไม่น่าเป็นไปได้ หลายปีนี้เรื่องที่ตนเองประสบมาราวกับว่าได้คำอธิบายแล้ว
คิดไปคิดมา เหมือนว่ามีตัวบงการใหญ่เบื้องหลังทั้งหมด แต่คิดให้ละเอียด ก็มีหลายอย่างคิดไม่ตก แต่ข่าวที่ตนได้มาจากเทียนจิน เมืองหลวงน่าจะมีคนติดต่อกับอวี๋ซวงสือ ถึงตอนนั้นก็ค่อไปสืบค้นตามสายนี้ต่อก็แล้วกัน
*************
หวังทงจากซานตงเดินทางกลับเทียนจิน ระยะทางหลายร้อยลี้ ไม่ว่าทำงน้ำหรือทางบกก็ไม่ใกล้ แต่การเดินทางก็มีหลายวิธีด้วยกัน ม้าเร็วเร่งไป หรือเดินทางไปพักไป เดินทางไปเที่ยวชมไป ก็ล้วนเป็นวิธีการเดินทางทั้งสิ้น
ที่เทียนจินหวังทงไม่มีหัวหน้า ตนเองคุมตนเอง อิสรเสรีอย่างมาก เขาเดินทางช้าหรือเร็ว ผู้ใดกล้าเอาเรื่อง
วันที่ 28 เดือนแปด หวัง่ทงกลับถึงเทียนจิน หลี่หู่โถวกลับมาก่อนกันแล้ว เชลยก็จับเข้าในที่คุมขังเชลยแล้ว
พวกที่หวังทงพาไปที่อี้โจว เมืองเป่าติ้งมานั้น นอกจากพี่น้องตระกูลถานแล้ว ก็เป็นพวกคนงานที่เคยไว้รับตอนอยู่เมืองหลวง ในยุคนี้พวกรู้ยุทธ์เน้นย้ำเรื่องการร่วมเป็นร่วมตาย เห็นนายเป็นดังฟ้าเบื้องบน หากหวังทงยังอยู่ พวกเขาก็จะร่ำรวยมากบารมีตาม หากหวังทงไม่อยู่ พวกเขาก็ย่อมไร้ทางรอด ดังนั้นหวังทงนำพวกเขาไปด้วย ไม่ว่าให้ทำอันใด ก็ต้องทำตาม พวกเขาไม่มีปริวาจาปฏิเสธเป็นเด็ดขาด
อย่างไรทุกคนก็ล้วนร่วมชะตากันแล้ว ถานปิงและถานเจี้ยนยังลงมือสังหารคุณชายรองแห่งหย่งเซิ่งป๋อ ย่อมไม่กล้าพูดจาเหลวไหล
ในความเป็นจริง ทุกคนย่อมไม่คิดมาก ไม่ถามมาก พวกหลี่หู่โถวย่อมเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ คนอื่นย่อมคิดว่าหวังทงจากจี่หนานกลับมาเทียนจิน
วันที่ 2 เดือนเก้า ต่งช่วงสี่ก็มีจดหมายมาบอกว่านายกองร้อยสวีตงในสังกัดตนสมรู้ร่วมคิดกับโจรร้าย หลักฐานพร้อมมูล จับตัวดำเนินคดี ช่างเรือลูกเรือกำลังเร่งหาตัวอย่างแข็งขัน ขอใต้เท้าอย่าได้ร้อนใจ
คุณชายรองแห่งหย่งเซิ่งป๋อปะทะโจรร้ายที่อี้โจว เมืองเป่าติ้ง เป็นตายไม่รู้ วันที่ 2 เดือนเก้าข่าวเพิ่งมาถึงเทียนจิน ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ คนของหวังทงนอกจากที่รู้เรื่องนี้ดี ก็ล้วนพากันยินดีกับความวิบัติของหย่งเซิ่งป๋อ ว่ากันว่าสมน้ำหน้าที่ได้ผลกรรมเช่นนี้
*************
ก่อนหวังทงกลับถึงเทียนจิน ข่าวจากเมืองเป่าติ้งก็ไปถึงเมืองหลวง ตระกูลที่เคยติดต่อกับอวี๋ซวงสือที่หวังทงเคยให้สำนักรักษาความสงบจับตาดูอยู่นั้นก็หายไปหมดบ้าน ไม่รู้ว่าไปที่ใดกันหมด
*************
กล่าวถึงอ๋องลู่กับตระกูลหลิน ที่ทำให้คนคิดถึงเป็นคนแรกสุดก็เห็นเป็นหลินซูลู่แห่งสำนักอาชาหลวง แต่ตามที่อวี๋ซวงสือบอกมาว่าพ่อบ้านตระกูลหลินไปที่ซานซี แต่หลินซูลู่ไม่มีบันทึกใดระบุว่าไปซานซี
อวี๋ซวงสือกล่าวหลายรอบว่า พี่น้องตระกูลหลิน แต่วันที่ 11 เดือนเก้า สารจากเมืองหลวงก็มาถึงเทียนจิน ก่อนหน้าที่หวังทงได้ใช้วิธีการอื่นๆ และถามจากไช่หนาน ไช่หนานกล่าวอย่างมั่นใจ
“หลินกงกงชาติกำเนิดต่ำต้อย เป็นลูกกำพร้า เรื่องนี้ทุกคนในวังรู้กันหมด”
แปลกจริง แปลกมาก……