Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 485

ตอนที่ 485 ต่างชาติถกกองกำลังหมิง

ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปถามเฝิงเป่าก็มิใช่ถามว่าเฝิงเป่าคิดเช่นไร หากต้องการรู้ว่าไทเฮาทรงคิดเช่นไร

คณะเสนาบดีใหญ่กับกรมทหารเลือกหลี่หรูซงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการให้ลี่อวิ๋นเซิ่ง ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ไทเฮา เฝิงเป่ากล่าวว่าคณะเสนาบดีมีเหตุผล ก็ย่อมกระจ่างแจ้งแล้ว

ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนพระปัสสาสะ ก่อนจะตรัสเบาๆ ว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เสนอขึ้นมาให้เราลงชาดก็แล้วกัน!”

อย่างไรทุกคนก็ต้องลุกขึ้นลงสรรเสริญว่า “ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว” เห็นสีหน้าว่านลี่ จางจวีเจิ้งก็ทูลว่า

“ลี่อวิ๋นเซิ่งปฏิบัติงานได้รอบคอบ ฝึกทหารได้แข็งขัน สองปีมานี้มีความชอบอยู่ วันหน้าก็อาจได้ใช้การใหญ่ กระหม่อมขอฝ่าบาทมีพระดำรัสชมเชย เป็นการให้กำลังใจพะยะค่ะ”

ความหมายก็คือครั้งนี้แม้ว่าไม่ให้ตำแหน่งลี่อวิ๋นเซิ่ง แต่วันหน้าเขายังมีโอกาส คำสัญญานี้เป็นการปลอบใจว่านลี่

จางเฉิงส่งกระพริบตาปริบครู่หนึ่ง เซินสือหังที่เอาแต่นิ่งเงียบก็เงยหน้าขึ้นมองมา ปกติจางจวีเจิ้งแม้จะความเห็นไม่ตรงกับฮ่องเต้ แต่ก็น้อยมากที่จะแสดงท่าทีเช่นนี้ หรือบางทีเป็นเพราะว่านลี่เจริญพระชันษามากแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะจัดการอย่างไรก็ได้อย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว

ได้ยินจางจวีเจ้งกล่าวเช่นนี้ สีพระพักตร์เคร่งขรึมเมื่อครู่ก็ผ่อนคลายลง พยักพระพักตร์ตรัสว่า

“ทำตามที่ท่านจางว่าก็แล้วกัน!!”

************

พอเลิกประชุม ฮ่องเต้ว่านลี่ออกจากหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ ไม่ได้ประทับเกี้ยว หากไพล่พระหัตถ์เสด็จออกไป จางเฉิงก้มตัวเหลือบมองไปด้านหลัง เงียบไปครู่หนึ่ง ว่านลี่ก็ถอนปัสสาสะ ตรัสว่า

“ยังต้องรออีก ยังไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไร!”

จางเฉิงไม่ได้รับคำ ได้แต่หันไปโบกมือให้ขันทีที่ติดตามมาถอยออกไปไกลอีกหน่อย ก่อนจะยิ้มกราบทูลว่า

“ฝ่าบาท การเดินทางไปซานตงของหวังทงส่งมาให้ทอดพระเนตรแล้วพะยะค่ะ การเดินทางนี้มีเรื่องราวสนุกมาก”

“สนุกมากจริง เราแอบอ่านซ้องกั๋ง[1]มา มักคิดว่าโจรภูเขาเป็นผู้มีความสามารถอะไรนักหนา คิดไม่ถึงว่าต่อหน้ำทางการ ก็เป็นแค่สุกรสุนัขเท่านั้น ไร้ค่าที่จะเอ่ยถึง”

กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็มีสุรเสียงอ่อนลงไม่น้อย จางเฉิงย่อมรู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่อารมณ์ดีแล้ว เดินเข้าไปใกล้กระซิบทูลว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมโยกย้ายบ่าวติดตามส่วนพระองค์แล้ว ล้วนเป็นคนที่เรารู้ที่มาที่ไป มีถิ่นฐานในเมืองหลวง เช่นนนี้จะได้วางใจได้ แต่ต่อจากนี้ขอให้พระองค์ทรงอดทนสักหน่อย บ่าวรับใช้ก็ย่อมมีขัดหูขัดตาบ้าง”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ตรัสว่า

“บางเรื่องเจ้าและหวังทงก็คิดมากไป เราไปหาพระสนมเจิ้งก็ต้องมีองครักษ์ติดตาม ในพื้นที่ป้องกันแน่นหนานี้ ไหนเลยจะมีอันใดไม่ปลอดภัยได้”

จางเฉิงยิ้มตอบว่า

“ฝ่าบาททรงมีพระวรกายดังทองคำ ระวังไว้อย่างไรก็ไม่ผิดพลาด กระหม่อมก็ต้องเตือนให้ราชองครักษ์ระแวดระวังเพิ่ม อย่าได้เผอเรอละเลย แต่การโยกย้ายราชองครักษ์ส่วนหน้าก็ต้องให้พระองค์ทรงมีราชโองการ ถึงตอนนั้นกระหม่อมกราบทูล ขอให้ทรงมีราชานุญาติด้วยพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ราชองครักษ์ส่วนหน้าก็คือราชองครักษ์ที่พกดาบได้ รับหน้าที่คุ้มครองเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในวังหลวง ภารกิจสำคัญยิ่ง การโยกย้ายก็มีขั้นตอนว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากไทเฮาและฮ่องเต้ ดังนั้นจางเฉิงจึงได้ทูลเช่นนี้

“เห็นๆ ว่าตอนนี้ใต้หล้าสงบสุข เจ้ากับหวังทงกังวลอันใดกัน……”

ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดรอประทับเกี้ยวก่อนจะตรัสลอยๆ ขึ้น จางเฉิงได้แต่ยิ้มถวายคำนับ หากไม่พยายามอธิบายอันใดต่อ

************

“ชายแดนและราชสำนักใช่ว่าใจเดียวกัน เรื่องนี้ในวังเราก็เคยได้ยินคนรุ่นก่อนเล่าต่อๆ กันมา บางคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มีจิตใจเอนเอียงไปก็ยากจะป้องกันได้”

ไช่หนานอธิบายเสียงเข้ม หวังทงขมวดคิ้วฟังอย่างเคร่งเครียด เรื่องตระกูลอวี๋ เขาสามารถคุยกับไช่หนานได้คนเดียว แต่ไช่หนานก็ออกความคิดเห็นได้ไม่มากนัก

ถานปิง ถานเจี้ยนเป็นสายลับจากสองหน่วยงาน ครั้งนี้คิดหาวิธีทำให้ทั้งสองไม่อาจคิดเป็นอื่น แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ที่จะหารือได้ คนอื่นๆ ก็มีสถานะเป็นเพียงผู้ติดตาม แม้ว่าตั้งใจทำงาน แต่บางคนก็ให้ความเห็นไม่ได้มากนัก บางคนก็ไม่อาจเก็บเป็นความลับได้

คิดไปคิดมาก็ได้แต่มาหารือกับไช่หนาน ไช่หนานก็เหมือนพวกที่ตกขอบมาอยู่เทียนจินด้วยกัน ตกต่ำและรุ่งเรืองมาด้วยกัน หวังทงมีเรื่อง เขาเองก็สลัดไม่พ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า หวังทงรุ่งเรือง ไช่หนานก็ย่อมมีสถานะดังเรือลอยขึ้นตามน้ำ หากกลับกันก็ให้ผลกลับกันเช่นกัน คนเช่นนี้ก็ย่อมวางใจหารือได้สนิทใจ

“ไช่กงกง ตระกูลอวี๋ไม่อาจทำการใหญ่ได้ ข้ามีความคิดหนึ่ง แต่คิดให้ถี่ถ้วนแล้วก็รู้สึกขนลุกไปหมด ตั้งแต่เริ่มเปิดหอเลิศรสที่ถนนทักษิณ ก็มักมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น หากร้อยเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน เบื้องหลังคืออันใดกัน คิดแล้วก็ไม่กล้าคิดต่อ!”

หอเลิศรสตอนเปิดใหม่ ไช่หนานก็เริ่มรู้จักกับหวังทง หวังทงผ่านเรื่องราวอันใดมา ไช่หนาก็พอรู้มาบ้าง อาวุธที่ค้นได้จากหอรวมคุณธรรม พวกสำนักไตรสุริยันแฝงตัวเข้าวัง ยังมีกองกำลังละแวกเมืองหลวง หรือการมีแหล่งเงินทองใหญ่ในเมืองหลวง กอปรกับเรื่องที่เทียนจินแต่ละเรื่อง……

คิดถึงตรงนี้ ไช่หนานก็โบกมือกล่าวว่า

“ข้าคิดว่าใต้เท้าหวังอย่าได้คิดเรื่องนี้มากเกินไปจะดีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ‘บางที’ ล้วนเป็นเพราะตระกูลอวี๋ก่อเรื่อง ไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวอื่นใด ก่อนหน้านี้ ‘บางที’ สำนักไตรสุริยันอาจร่วมมือกับตระกูลอวี๋ ตอนนี้พากันล่มไปหมดแล้ว ใต้เท้าลองคิดดู เรื่องนี้ง่ายมาก ก็แค่เส้นทางสายเดียวเท่านั้น หรือ ‘บางที’ เป็นเพราะเราเกี่ยวพันกับเรื่องราวพวกนี้เอง ดังนั้นจึงได้สับสนอยู่เอง……”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ได้แต่ค่อยๆ สืบไป ระวังตนเองไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน”

ไช่หนานกล่าวเช่นนี้ จะบอกว่าเป็นข้อสรุป ไม่สู้เรียกว่าคาดการณ์ มีแต่คำว่า ‘บางที’ มากมาย ไหนเลยจะแม่นยำ เหมือนกับแค่เปิดทางให้คิดเท่านั้น

“ค่อยๆ สืบไป เตรียมการระวังให้พร้อม” หวังทงตอนนี้ทำได้แค่เพียงเท่านี้

แต่ทว่า หวังทงกังวลก็ส่วนกังวล ก็แค่กังวลเท่านั้น เขาอยู่ที่เทียนจินก็รากฐานแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เมืองหลวงก็รากฐานแน่นดังภูเขาไท่ซาน หากผู้ที่มีใจคิดคดคิดการไม่ซื่อใดจริง ก็คงเหมือนเอาไข่กระทบหินผา คงได้แหลกสลายเป็นผุยผงเท่านั้น

เรื่องวุ่นวายถึงเพียงนี้ พวกคิดคดที่มีความคิดชั่วร้ายก็คงได้แต่แอบซ่อนไปก่อน หากจะออกมาหาเรื่องต่อในตอนนี้ก็คงสมองพิการไปแล้วเป็นแน่ เห็นการทำงานของคนพวกนี้แล้วก็นับว่ามีความระมัดระวังอยู่ หลังจากเจอตอไปหลายตอ เกรงว่าตอนนี้คนเก็บตัวสักระยะหนึ่ง

สิ่งที่หวังทงกลัดกลุ้มก็คือพวกเขาเก็บตัว หากคนพวกนี้ออกมาหาเรื่อง กลับเป็นสิ่งที่หวังทงอยากให้เป็น ถึงตอนนั้นจะได้สืบให้กระจ่างให้หมด ทอดแหเก็บกวาดทีเดียวสะใจกว่า

************

“นายท่าน ทหารท่านฝึกเดี่ยวๆ ไม่มีอันใดต้องปรับปรุง”

พอกลับถึงเทียนจิน พวกฮั่นซือก็ทำตามที่กำหนดไว้ก่อนหน้า ไปฝึกร่วมกับกองกำลังหู่เวย ไปดูว่าจะมีข้อเสนอปรับปรุงอันใดหรือไม่

พวกฮั่นซือก่อนไปซานตงก็อยู่เทียนจินมาได้ระยะเวลานานพอสมควรแล้ว เข้าใจกองกำลังของหวังทงไม่น้อย การไปดูครานี้ ก็เพียงแต่ไปสัมผัสให้มากอีกหน่อยเท่านั้น

ฮั่นซือกล่าวอยู่นั้น พวกทหารต่างชาติข้างๆ ก็พากันมีสีหน้าเห็นด้วย การยอมรับกองกำลังหู่เวยเช่นนี้ย่อมทำให้หวังทงรู้สึกยินดี แต่เขาไม่อยากได้ผลลัพธ์เช่นนี้ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดดีงามไปหมด ขอเพียงปรับปรุงไม่หยุด ก็จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ในเมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ เช่นนั้นพวกฮั่นซือก็ตามฝึกไปกับกองกำลังก็แล้วกัน อาศัยความพยายามและความชอบแสวงหาทางก้าวหน้าเองก็แล้วกัน หวังทงกำลังจะเอ่ย ฮั่นซือก็กลับเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“นายท่านตามท่านจางมาได้ไหม? เรื่องที่จะพูดต่อไป ข้าน้อยเกรงว่าภาษาจีนข้าน้อยจะพูดผิด”

หวังทงย่อมอนุญาต เขาเองก็เริ่มสนใจแล้ว ส่งคนไปตามนักแปลจางอวี่เป่ยมา ดูท่าแล้วต่างชาติพวกนี้มองอันใดออกบ้างแล้ว

“……กองกำลังหู่เวยฝึกทหารได้ดีเยี่ยม ความฮึกเหิมมีมาก หัวหน้าหน่วยรับคำสั่งรู้จักปรับใช้ สามารถปรับเปลี่ยนรับมือไปตามสถานการณ์ได้ ทว่า กองกำลังนี้ไม่ใช่ไว้เพื่อการรบ หากเพื่อการรักษาความสงบ เพราะแต่ละหน่วยมีขนาดเล็ก เดินบนท้องถนนก็สะดวก แต่หากไปเดินบนสนามรบ ก็เบาบางไป……”

จางอวี่เป่ยมาถึงด้วยความรวดเร็ว พวกฮั่นซือพูดกันคนละคำสองคำ หวังทงฟังแล้วก็ยิ่งเข้าใจรายละเอียดมากขึ้น คนนอกมองมาย่อมกระจ่าง พวกฮั่นซือมาจากต่างถิ่นก็ย่อมเห็นได้ชัดเจน

ทหารหวังทงตอนนี้ปฏิบัติงานรักษาความสงบเป็นหลัก เทียบกับโลกก่อนแล้ว ไม่เหมือนกับกองทหาร หากเหมือนกับตำรวจมากกว่า กองหนึ่งไม่เกินสองร้อยนาย เดินตรวจตราไปตามท้องถนน เดินอยู่แค่ถนนในเมืองนอกเมือง ก็เหมาะสมดี

แต่กองกำลังหู่เวยเป็นกองทหาร ใช้เพื่อการรบ ตอนหวังทงออกรบบนทุ่งหญ้าก็รู้สึกว่าไม่สะดวกนัก ไม่ว่าการจะตั้งค่ายป้องกันหรือรับคำสั่งปฏิบัติการ หัวหน้าสิบกว่าค่ายรับหน้าที่ก็ต้องขานชื่อทีละคน ยุ่งยากยิ่ง นี่แค่ 2,000 หากมากกว่านี้ ใช่ว่าจะยิ่งวุ่นวายหรอกหรือ

แต่ในระยะเวลาอันสั้นนี้ หวังทงไม่อยากจะใช้ระบบนำยกองร้อยหรือนายกองพัน ตอนนี้กองกำลังหู่เวยยังไม่แน่นอน ต้องไม่เหมือนกองกำลังอื่นจึงจะดี หากมีระบบดังกองกำลังอื่น ก็จะถูกกลืนกินโดยง่าย กองกำลังที่ตั้งขึ้นมาอย่างยากลำบากนี้ ไม่จำเป็นต้องการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นกระมัง ตนเองไม่ได้ใช้งาน

สีหน้าหวังทงแปรเปลี่ยน ฮั่นซือเห็นอยู่ สีหน้าส่วนใหญ่ตกตะลึง ฮั่นซือเริ่มมั่นใจพูดต่อว่า

“……200 คนเป็นหนึ่งค่าย นายท่านต้องสั่งการหลายตำแหน่ง คำสั่งก็จะยุ่งยาก และ 200 ก็น้อยไป ออกปฏิบัติการเดี่ยวก็จะถูกโอบล้อมโจมตีได้ง่าย ไม่เหมาะกับการรบเดี่ยวบนสนามรบ แนะนำให้นายท่านตั้งกองกำลังขนาดใหญ่กว่านี้……นอกจากนี้ ข้าน้อยเห็นนายท่านมีความตั้งใจเตรียมใช้อาวุธปืนไฟ เช่นนี้ การตั้งเป็นกองกำลังใหญ่นั้นเป็นสิ่งจำเป็น……พวกชาวฟะรังคี หน่วยรบพื้นฐานบนสนามรบก็ต้องราว 1,500 นาย มีพวกพลทวนยาวและพลปืนไฟเป็นหลัก……”

การจัดระบบเช่นนี้ กองกำลังหู่เวยก็น่าจัดได้สองกอง หลังจากจัดระบบเช่นนี้ กองกำลังหู่เวยก็จะมีความเป็นกองกำลังทหารแล้ว หวังทงยิ่งฟังก็ยิ่งยินดี ยิ้มกล่าวว่า

“อย่าได้มัวแต่ยืน นั่งลงพูดๆ !!”

…………………

[1] หนึ่งในสี่ยอดวรรณกรรมจีน เป็นเรื่องราววีรบุรุษต่อต้านทางการจึงขึ้นเขาเหลียงซานไปเป็นโจร เป็นหนังสือต้องห้ามในสมัยหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!