ตอนที่ 488 เจ้าทุกข์ฟ้องหวังทงถึงที่
“มารดาบิดามันสิ..เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว มาร้องเอะอะไรที่นี่!”
“นายท่านซุน ข้าน้อยมีกี่หัวกันจึงกล้ามากล่าววาจาเหลวไหล มีคนฟ้องใต้เท้าหวังจริงๆ !”
หวังทงได้ยินรายงาน ไม่ทันได้คิดอันใดก็ได้ยินเสียงซุนต้าไห่คำรามดัง คนที่มารายงานรีบแก้ตัวพัลวัน
“ต้าไห่ ให้เขาเข้ามา!”
หวังทงตะโกนออกไป เอาคดีมายัดเยียดนั้นเป็นเรื่องที่ใช้กับหวังทงได้ตอนที่เพิ่งมาเทียนจินเท่านั้น ด้วยสถานะและอิทธิพลเขาในตอนนี้ หากยังเล่นลูกไม้เช่นนี้อีกก็นับว่ารนหาที่ตายโดยแท้
ได้ยินน้ำเสียงคนมารายงาน ก็มีความเคารพนบนอบอยู่มาก เห็นว่ามาแจ้งข่าว ขณะที่พูดอยู่นั้น พลทหารก็เปิดประตู มีชายสวมชุดสีดำหมวกทรงเหลี่ยมยืนอยู่หน้าประตู
สถานะเจ้าหน้าที่ศาลเช่นนี้ แม้แต่ประตูจวนของหวังทงก็ไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ เจ้าหน้าที่ผู้นี้รู้ดี จึงคุกเข่านอบน้อมที่หน้าประตู โขกศีรษะก่อน จากนั้นก็รายงานด้วยท่าทีเกรงใจว่า
“นายท่านหวัง ใต้เท้าเกาของเราวันนี้ตอนเช้าได้รับเรื่องร้องทุกข์ ใต้เท้าเกากล่าวว่า เดิมไม่ควรจะมารบกวนท่าน แต่คนผู้นั้นเอาแต่ตีกลองอยู่หน้าประตู คนเห็นกันมากมายเช่นนั้น ไม่รับเรื่องก็จะดูไม่ดี”
ที่เรียกว่าตีกลองร้องทุกข์ หน้าประตูศาลหามีเสียงกลองดังขึ้น คนมุงก็ย่อมไม่น้อย เทียนจินมีคนว่างงานที่มีเงินและมีอิทธิพลอยู่มาก เมื่อตีกลอง คนมุ่งเริ่มเยอะ การไม่รับเรื่อง เจ้าหน้าที่ศาลก็เกรงว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากอันใดตามมา
เรื่องนี้หวังทงย่อมเข้าใจ แต่เทียนจินนี่ หรือแม้กระทั่งที่เมืองเหอเจียนหรือเมืองซุ่นเทียนนี้จะมีผู้ใดเสี่ยงตายกล้ามาฟ้องร้องตนกัน
เขากำลังคิดอยู่นั้นก็เห็นสีหน้าเจ้าหน้าที่ที่คุกเข่าอยู่นั้นแปลกๆ เห็นชัดว่ากลั้นยิ้มอยู่ หวังทงตอนนี้ไม่ได้โมโห หากพลอยแปลกใจตามไปด้วย ถามขึ้นว่า
“ผู้ใดมาฟ้องร้องข้า เห็นท่าทางเจ้ากลั้นยิ้มเช่นนี้ เล่ามาให้ข้าได้ฟังสนุกๆ ดูก่อน”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะกึก หลุดออกมาก็รู้สึกว่าไม่ดีนัก บารมีหวังทงเขาเองก็เคยได้ยินมา จึงรู้สึกหวาดกลัวจนหน้าซีด รีบโขกศีรษะ หวังทงก็ยิ่งรู้สึกสนใจ ยิ้มกล่าวว่า
“ไม่ต้องหวาดกลัวไป มีอันใดก็เล่ามา ข้าไม่เอาผิดเจ้า!”
“นายท่านใจกว้างยิ่ง ข้าน้อยขอกล่าวล่วงเกินแล้ว วันนี้ตอนเช้ามีคนตีกลอง ข้าน้อยให้คนออกไปดู เป็นชายต่างชาติตาสีฟ้าจมูกโด่งกำลังตีกลองอยู่ ยังพูดภาษาหมิงเราได้ด้วย ได้ยินเหมือนว่ามาจากทางใต้ มีเรื่องร้องทุกข์ให้ใต้เท้าเกาให้ความเป็นธรรม ใต้เท้าเกาก็แปลกใจ ได้ยินตอนถามในโถงศาล คิดไม่ถึงว่าชายต่างชาติผู้นั้นจะฟ้องร้องใต้เท้าหวัง ฟ้องว่าท่านแย่งชิงทรัพย์ราษฎร”
ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น ทหารอารักขาด้านนอกและเจ้าหน้าที่ที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูล้วนหัวเราะไปตามๆ กัน
เสียงหัวเราะย่อมไม่ใช่ด้วยยินดี แต่หากเป็นเพราะเรื่องนี้น่าสนุกยิ่ง หวังทงอยู่เทียนจินแม้ว่าขึ้นชื่อว่านักเลงวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็ได้ชื่อเสียงเรื่องมือสะอาด ใต้เท้ามีเหตุผล แต่ไรมาไม่เคยเรียกร้องเงินใต้โต๊ะ แต่ไรมาไม่เคยแย่งชิงเงินทองจากราษฎร และยังเข้มงวดกับทหารในสังกัด ตอนทหารหน่วยรักษาความปลอดภัยฝึกอยู่นอกเมือง เคยมีทหารหิวน้ำ เด็ดเอาผลไม้ในสวนผลไม้ข้างทาง ผลก็คือถูกโบยไป 30 และยังให้ชดใช้อีกด้วย
เรื่องพวกนี้มีมากมาย และหวังทงยังจัดการจนเทียนจินรุ่งเรืองเช่นนี้ เงินทองราวภูเขาทองทะเลเงิน เขาเองนั้นก็ร่ำรวยมหาศาล จะไปแย่งชิงทรัพย์สินราษฎรได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องตลกใหญ่หรอกหรือ กอปรกับคนฟ้องร้องครั้งนี้ยังเป็นชาวต่างชาติ ก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้เหลวไหลอย่างที่สุด
ก็ไม่แปลกที่เจ้าหน้าที่มาแจ้งข่าวจะอดมีท่าทีแปลกๆ ไม่ได้ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หวังทงก็อดหัวเราะไม่ได้ เหลวไหลสิ้นดี
เสียงหัวเราะหยุดลง หวังทงลุกขึ้นโบกมือกล่าวว่า
“หลายวันนี้ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด เรื่องที่เจ้าว่ามานี้ทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายลงมาก เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะรีบตามไป ดูว่าเป็นผู้ใดกันที่มาร้องทุกข์ ต้าไห่ มอบเงินไปห้าตำลึง!”
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้มาส่งข่าววันนี้ก็เพราะบรรดาเพื่อนพนันเดากำปั้นกัน เขาเดาพลาดเลยต้องมา คิดไม่ถึงว่าจะถูกรางวัลใหญ่เช่นนี้ ห้าตำลึงก็นับว่าก้อนโตไม่น้อยแล้ว
เห็นเจ้าหน้าที่ขอบคุณอย่างดีใจออกไปแล้ว ถานเจียงก็หันไปเรียกคนให้มาเปลี่ยนชุดให้หวังทง หากไม่รีบร้อนเตรียมม้า เพียงแต่ออกคำสั่งให้ทหารอารักขาเดินทางไปศาลชิงจวินตรวจดูทางนั้นก่อน
“นายท่านอย่าได้ตำหนิ เรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมาย ไม่แน่ว่าเป็นการล่อให้ออกไป อย่างไรก็เตรียมพร้อมให้ดีก่อนเป็นการดี”
หวังทงพยักหน้า เรื่องราวเกิดมามาย ระวังไว้หน่อยไม่ผิด
ม้าเร็วไปกลับ ก็ไม่ใช่เวลานานนัก หวังทงทางนี้ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรออยู่ไม่นาน ทหารที่รุดไปตรวจสอบพื้นที่ก็กลับมา เข้ามาคำนับรายงานว่า
“……เป็นชายต่างชาติมาร้องทุกข์ที่ศาลจริง ข้าน้อยได้ถามพี่น้องเราที่เฝ้าประจำศาล เขาบอกว่าเป็นเช่นนี้จริง……”
พอได้ข่าวนี้ ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องลวง กองพันองครักษ์ที่เทียนจินส่งทหารไปประจำหน่วยงานต่างๆ ในเทียนจิน เรียกขื่อสวยหรูว่า ‘คุ้มครอง’ แต่แท้จริงก็คือจับตาดู เป็นวิธีการพูดให้ถูกกฏหมายเท่านั้น หวังทงมีอำนาจอย่างที่สุด ทุกหน่วยงานก็ได้แต่ยอมรับโดยดุษฎี
ได้คำรับรองจากคนจับตาดู หวังทงกย่อมไม่สงสัย ระยะนี้งานราษฎ์งานหลวงมีมาก มีอะไรมาแทรกบ้างก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
************
พวกหวังทงขี่ม้ากันไปยังศาลชิงจวินหลายสิบ เห็นตามถนนรอบๆ มีคนมุงไม่น้อย เข้าไปไกลยังเห็นเจ้าหน้าที่คอยจัดระเบียบไม่หยุด
แต่ฝูงชนก็ยังเขย่งชะเง้อมอง ศาลชิงจวินเป็นหน่วยงานดูแลสารทุกข์สุกดิบราษฎรในเทียนจิน เดิมก็อยู่ศูนย์กลางเมือง ตอนนี้เทียนจินมีศูนย์กลางการค้าสองแห่ง แห่งหนึ่งอยู่ริมทะเล อีกแห่งอยู่ริมคลอง ในเมืองมีหน่วยงานทางการมาก คนมีเงินไม่ทำงานก็มาก
หน้าประตูศาลเป็นสถานที่ๆ ข่าวแพร่กระจายไวมาก มีคนตีกลอง ก็มีคนจำนวนมากมามุงรอชมเรื่องสนุก รอจนรู้ว่ามาฟ้องร้องหวังทง ทุกคนก็ยิ่งสนใจ นับประสาอันใดกับการเป็นชาวต่างชาติตาน้ำข้าวจมูกโด่งเช่นนี้
ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ามาถึง ทุกคนก็หันไปมอง เห็นชุดก็รู้ว่าใต้เท้าหวังมา พวกไม่มีงานทำก็พากันล้อมมุงดู แต่อยู่เทียนจินจะถูกจับไปใช้แรงงาน จึงรีบกระจายตัวกันหนี แต่หนีไปไกลสองสามก้าว ดูแล้วไม่มีคนมาไล่จับ ก็หันกลับไปรวมกันใหม่ เรื่องสนุกพวกนี้ช่างดึงดูดใจเสียจริง
หวังทงกำลังอารมณ์ผ่อนคลาย ย่อมไม่อยากเอาเรื่องพวกคนว่างงานพวกนี้ ทหารอารักขาล้อมรอบหวังทงเข้าไปในศาล เจ้าหน้าที่เห็นมาแต่ไกลก็เข้าไปรายงานก่อนแล้ว
ใต้เท้าเกาแห่งศาลชิงจวินน่าจะรออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว พอหวังทงลงจากหลังม้า เขาก็ปรี่เข้ามาต้อนรับ พอพบหน้าก็คำนับก่อน แม้ว่าสองว่าด้วยสถานะและยังมีความต่างระหว่างขุนนางบุ๋นบู๊ ใต้เท้าก็ยังประสานมือคำนับก่อน ตอนนี้ที่เทียนจินเป็นหวังทงใหญ่
ใต้เท้าเกายิ้มแห้งๆ ท่าทางเก้กัง เข้าไปกล่าวก่อนว่า
“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหวังจะมาด้วยตนเองเช่นนี้ เจ้าตาน้ำข้าวนั่นตีกลองเสียงดังไปทั่ว ไม่รับคดีไว้ก็ไม่รู้จะพูดกับคนอื่นได้อย่างไร เดิมคิดจะรอให้คนซาก่อนค่อยไล่เจ้าตาน้ำข้าวนี่ไป”
เขารีบอธิบายละล่ำละลัก หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“ไม่เป็นไรๆ ข้าเองก็คิดมาดูว่าตนเองก่อคดีอันใดไว้ และยังเป็นต่างชาติมาฟ้องร้องด้วย!”
*************
เปิดศาลสอบสวน เดิมไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเพียงนี้ แต่วันนี้หวังทงมาแล้ว อย่างไรก็ต้องให้เจ้าหน้าที่เรียงแถวในศาลประกาศเปิดศาล
หวังทงในชุดสีครามดำพร้อมเกราะคลุม นั่งอยู่ข้างใต้เท้าเกา ต่างชาติผู้นั้นคุกเขาอยู่กลางศาล เป็นคนรูปร่างอ้วนท้วนกลมดิก สวมเสื้อตัวบนสีดำขลิบทอง ปกคอกลมแข็งๆ ดูแล้วขัดตายิ่ง ทุกคนมาดูเรื่องแปลกใหม่ หวังทงรู้สึกว่าคุ้นๆ อยู่
หลายปีก่อนไปมาเก๊ามา ที่มาเก๊าเห็นคนแต่งตัวเช่นนี้มากมาย ว่ากันว่าเป็นพวกคหบดีใหญ่ในท้องที่ มีสถานะอยู่ไม่น้อย เห็นชายอ้วนต่างชาติแต่งกายเช่นนี้ ทั้งตัวแต่งกายพิถีพิถัน ไม่เหมือนพวกต้มตุ๋น คนเช่นนี้มาฟ้องร้องตนทำไมกัน? หรือว่าคิดจะหลอกเอาเงินเพิ่ม
ใต้เท้าเกานั่งลง ต่างชาติอ้วนผู้นั้นก็โขกศีรษะราวกับตบกระเทียม ร้องไห้เสียงดังกล่าวว่า
“ใต้เท้าผู้ผดุงคุณธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อย ข้าน้อยทำการค้าอยู่ที่กวางตุ้ง คิดไม่ถึงว่าจะมีหายนะร่วงจากฟ้า มีคนแย่งชิงเรือข้าน้อยไป……”
ขณะที่พูดด้วยสำเนียงแปร่งๆ ยังพูดแบบเหมือนสะกดทีละคำติดอยู่ปลายลิ้น เจ้าหน้าที่ศาลสองแถวก็อดไม่หัวเราะกึกออกมาไม่ได้ หากไม่กล้าส่งเสียง พากันกุมปากจนสองแก้มสั่น ในศาลกำลังอยู่ในความไม่สงบ
ชายอ้วนต่างชาติเห็นพวกที่เข้ามาพร้อมกับหวังทงแล้วไม่มีปฏิกิริยาอันใด เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักหวังทง ใต้เท้าตอนนี้ก็พอรู้ความในใจแล้ว ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าต่างชาตินี้ต้องการทำอะไรกัน แย่งชิงเรืออันใดกัน ดีไม่ดีเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ยังดีที่วันนี้ใต้เท้าหวังอารมณ์ดี ไม่อย่างนั้นหากเป็นยากปกติคงเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนแล้ว
เห็นเจ้าหน้าที่ไม่อยู่ในระเบียบ ใต้เท้าก็ขมวดคิ้วหยิบไม้บนโต๊ตบลงไปอย่างแรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มว่า
“ผู้ใดแย่งชิงเรือเจ้า เจ้าเป็นต่างชาติ รู้กฎหมายหมิงหรือไม่ หากตรวจพบภายหลังว่าร้องเท็จ จะต้องถูกจำคุกลงทัณฑ์ ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าคิดให้ดีก่อนตอบ เป็นผู้ใดกันแน่ที่แย่งชิงเรือเจ้าไป!?”
“เป็นนายกองพันหวังทงแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพร เป็นเขาที่แย่งชิงเรือข้าน้อยไป”
ต่างชาติไม่รู้จักก็ส่วนไม่รู้จัก หากกล่าวยืนยันหนักแน่นดังเดิม บรรดาคนในโถงศาลต่างมองไปที่หวังทงเป็นตาเดียว ใต้เท้าเกาส่ายหน้าเล็กน้อย ในใจคิดว่าเรื่องนี้มันน่าอึดอัดจริง เห็นสีหน้าหวังทงสนใจฟังอยู่ ใต้เท้าเกาจึงได้ถามอีกครั้งว่า
“เหลวไหลสิ้นดี ต่างชาติไร้สกุลถึงกับฟ้องร้องขุนนางราชสำนัก เจ้ามีหลักฐานใด กฎหมายราวเตาหลอม อย่าได้กล่าววาจาลอยๆ !”
สำนวนนี้ชาวต่างชาติผู้นี้ถึงกับฟังออก คุกเข่าโขกศีรษะดัง เงยหน้าตะโกนว่า
“จะไม่มีหลักฐานได้อย่างไร เรือข้าน้อยจอดอยู่ที่ริมแม่น้ำทะเล ลูกเรือที่ข้าน้อยจ้างมายังอยู่บนเรือ แม้แต่ชื่อเรือที่หัวเรือก็ยังอยู่ นั่นก็คือหลักฐาน!”
เขาเพิ่งกล่าวจบ ใต้เท้าเกายังไม่ได้กล่าวอันใด หวังทงกลับกระแอมไอดังขึ้น ก่อนจะหยุดไอ ครั้งนี้เป็นหวังทงถาม
“เรือเจ้าลำนั้นชื่อว่าอะไร?”
“เรียนใต้เท้า เรือข้าน้อยชื่อว่าเรือกวางบิน”
ในห้องโถงสอบสวนเงียบกริบ ทุกคนจับตามองไปที่หวังทง หวังทงยิ้มแหะๆ หันไปบอกใต้เท้าเกาว่า
“เป็นข้าที่แย่งชิงเรือเขามาจริง……”