Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 52

ตอนที่ 52 หลี่เหวินหย่วน

วันที่ 29 เดือนสิบสอง ในวันนี้บ้านเรือนที่อยู่โดยรอบเหล่านั้นก็เริ่มรื้อถอนกันแล้ว แม้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาดีในการย้ายบ้าน แต่กลับไม่มีผู้ใดมีคำกล่าวโกรธเคือง

เงินชดเชยแต่ละครอบครัวก็คือเงินค่าบ้านและบวกกับค่าโยกย้ายรวมกันได้สามเท่า และยังไม่หักอะไรแม้แต่น้อย เงินก้อนนี้สามารถหาบ้านเช่าและฉลองปีใหม่ที่ดีได้ จากนั้นนำเงินออกมาทำการค้าเล็กน้อยอะไรเหล่านั้นไป

ยิ่งไม่ต้องพูดเลยถึงว่านี่เป็นเรื่องของราชสำนัก เงินทองให้พอแล้ว มีเบื้องหลังใหญ่โตเช่นนี้ ใครยังจะไม่ยินยอมอะไร ล้วนย้ายกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

ผู้ที่มาจัดการเรื่องราวเหล่านี้ก็คือโจวอี้ ตอนเช้าที่เขามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกล่าวกับหวังทงว่า เพราะตนจัดการเรื่องโยกย้ายรื้อถอนนี้ได้เหมาะสม ไร้ความยุ่งยาก ไม่มีความวุ่นวายอันใด จนได้รับคำชมเชยจากมหาขันทีเฝิงเป่าสำนักส่วนพระองค์ว่าเป็นผู้จงรักภักดีและมีความสามารถ เป็นผู้ให้การส่งเสริมได้

การได้รับคำชมเช่นนี้ในวัง ได้เข้าสู่สำนักส่วนพระองค์เป็นขันทีในห้องทรงงาน หรือเป็นหัวหน้าขันทีในหน่วยงานอื่น อย่างน้อยที่สุดก็ถือว่ามีอนาคตแล้ว

สามารถได้ประโยชน์เช่นนี้ล้วนเป็นเพราะคำแนะนำอย่างรอบคอบและจริงใจในวันนั้นของหวังทง โจวอี้ยิ่งไม่กล้าดูเบาหวังทงผู้นี้ ยามพูดคุยกันก็ไม่กล้ามีท่าทีสอนสั่งอันใด หากคบกันแบบสหายรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างจริงใจ

“หากไม่มีคำพูดของน้องหวัง เกรงว่าพอลงมือรื้อถอน กลับวังไปก็คงต้องโดนลงโทษ หากโทษโบยก็ยังนับว่าโชคดีเลย จากนี้ไปทุกเรื่อง ขอให้น้องหวังชี้แนะให้มาก!”

ตอนอยู่ในห้องไม่มีผู้คน โจวอี้ก็ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะพร้อมกล่าวอย่างจริงใจ หวังทงยิ้มตอบว่า

“เราพี่น้องกันเกรงใจเช่นนี้ก็ห่างเหินไปแล้ว จากนี้ไปพี่ท่านยังต้องมาคุมงานที่นี่ ต้องขอให้พี่โจวดูแลข้าให้มากถึงจะถูก”

โจวอี้กำลังจะกล่าวต่อ เสียงก็ดังขึ้นมาจากทางประตูหน้า มีคนตะโกนโหวกเหวกอยู่ด้านนอก

“ใต้เท้าหวัง ของเตรียมเสร็จแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”

หวังทงรีบยิ้มกล่าวอำลาว่าตนมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ วันนี้ก็ขอเสียมารยาทแล้ว โจวอี้แน่นอนย่อมไม่อาจกล่าวอันใด สองคนออกจากห้องมาด้วยกัน เห็นหวังทงกับคนงานสองคน ยังมีรถม้าที่บรรทุกของเต็มคันวิ่งลงไปทางทิศใต้

โจวอี้อดสงสัยไม่ได้ ปีใหม่อย่างนี้และมีงานสร้างลานฝึกด้วย แต่พาคนขนของออกไปทำอะไรกัน?

หอเลิศรสมีรถคันใหญ่ งานดูแลรถม้าล้วนเป็นงานของหม่าซานเปียว คนงานสองคนในครั้งนี้ก็มีเขาคนหนึ่ง ความสัมพันธ์ของหม่าซานเปียวกับหวังทงสนิมกันมากกว่าเจ้านายลูกน้อง ส่วนหนึ่งเพราะความหยาบกระด้างของหม่าซานเปียวที่วันนี้พูดไม่หยุดตลอดทาง

“ใต้เท้าหวัง เมื่อก่อนซานเปียวปลายปีถึงได้กินเนื้อแกล้มสุรา แต่ตั้งแต่กลับมาติดตามท่าน ทุกวันก็ได้กินอย่างเต็มที่ ชีวิตสุขสบายอย่างมาก”

คนงานข้างๆ ที่มีชื่อเรียกว่าเสี่ยวสือโถว ได้ฟังแล้วก็หัวเราะออกมาทันที

“นายท่าน พี่ซานเปียวกินเนื้อไปไม่น้อย สามชั้นน้ำแดงมื้อหนึ่งกินสี่ชาม เมื่อวานยังให้ทำยำใจผัก เห็นว่ากินแล้วเลี่ยน จะขูดไขมัน!”

“เจ้านี่พูดมาก เจ้ากินน้อยหรือ ครั้งไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้มาแย่งกับข้า!”

ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครง หลังวันที่ 26 เดือนสิบสองไปคนงานในร้านก็เริ่มกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ ที่อยู่ต่อที่ร้าน หวังทงก็ดูแลอย่างดี วัตถุดิบมากมายก็เอาออกมาใช้ให้หมด ให้พ่อครัวคนงานกินกันตามสบาย

หม่าซานเปียวกระตุกเชือกในมือ หุบยิ้มลงท่าทางเก้กังกล่าวว่า

“หากไม่ใช่น้องหวัง จะมีวันที่ดีอย่างนี้ได้อย่างไร แม่ข้าลำบากมาทั้งชีวิต หลังจากข้ากลับมา รอยยิ้มในทุกวันนี้มากกว่าหลังพ่อข้าตายไปหลายปีมาก อ้วนขึ้นหน่อยแล้วด้วย ซานเปียวเป็นคนหยาบกระด้าง อะไรก็ไม่รู้เรื่อง แต่น้องหวัง…ไม่…ใต้เท้าหวังดีกับบ้านเราเช่นนี้ ให้ซานเปียวตายแทนก็ยังได้!”

หวังทงยิ้ม นางหม่าและลูกชายล้วนเป็นพวกใช้แรงงาน ความเมตตาที่ให้พวกเขาแม้ว่าสำหรับตนจะไม่มีอะไร แต่สำหรับพวกเราแล้วเป็นบุญคุณยิ่งใหญ่ แน่นอนย่อมซาบซึ้งอย่างมาก ในใจคิดเช่นนี้ แต่กลับกล่าวออกไปว่า

“ซานเปียว ไม่ต้องขอบคุณข้า กตัญญูกับน้าหม่าให้มาก สำคัญที่สุด”

เสียงกล่าวยังไม่ทันจบก็ถึงที่หมายแล้ว บ้านผุพังหลังหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทางใต้ของวังหลวงก็คือสถานที่พักอาศัยของชาวบ้านทั่วไป

ในหมู่ชาวบ้านทั่วไปครอบครัวชนชั้นกลางนับว่าเป็นส่วนน้อย ถนนทักษิณจัดว่าเป็นสถานที่ที่หาได้ยาก มีร้านค้าหลายสิบร้านช่วยเชิดหน้าชูตา แต่พอออกจากถนนทักษิณ ก็จะเห็นความผุพังเก่าทรุดโทรมของสิ่งก่อสร้างบนถนนได้อย่างชัดเจน

เมื่อสั่งให้รถม้าหยุด หวังทงลงเดินเข้าไปตบประตูหน้าบ้านหลังนั้น ไม่นานก็มีคนออกมา เป็นเด็กผู้ชายอายุแปดเก้าขวบ ตัวดำผอมแห้ง แต่แม้ว่ารูปร่างผอมเล็ก เสื้อผ้าเก่าขาด หากแต่งกายรัดกุม มือถือไม้พลอง จ้องมองหวังทงกล่าวว่า

“พ่อข้าบอกว่า หนี้ปีนี้ไม่มีจ่ายแล้ว ปีหน้าได้เบี้ยหวัดมาจะให้ ตระกูลหลี่เรากล่าววาจาเชื่อถือได้!!”

เด็กน้อยตัวแคระแกร็นเหมือนต้นถั่ว หากวาจากลับขึงขัง ทุกคนที่ได้ยินกลับรู้สึกน่ารักและน่าขำ หม่าซานเปียวกลั้นไม่ไหวปล่อยเสียงหัวเราะดังขึ้น

เด็กน้อยผู้นั้นเมื่อถูกหัวเราะก็โมโหใหญ่ กระโดดออกมาจากประตูทันที เอาไม้พลองในมือชี้ไปที่หม่าซานเปียวตวาดเสียงดังว่า

“หัวเราะอะไร หัวเราะอีกไม้พลองข้าจะตีเจ้าให้คว่ำ!”

ท่าทางของเจ้าถั่วงอกน้อยนี่วางท่าได้ดี แต่หม่าซานเปียวเป็นชายชาตรีหยาบกระด้างจะกลัวที่ไหนกัน กลับรู้สึกสนุก เสียงหัวเราะยิ่งดังขึ้น

ใบหน้าของเจ้าถั่วงอกน้อยแดงก่ำ ตวาดเสียงดังพร้อมกับกระโดดมาด้านหน้า ตามหลักเด็กน้อยต่อยตี มักเป็นเพียงแค่เรื่องคุยกันขำขัน แต่ไม้พลองในมือเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ตีมั่ว กลับใช้แรงตีไปที่ขาของหม่าซานเปียวอย่างจัง แม้ว่าแรงไม่มากเท่าไร แต่โดนจังๆ เจ็บไม่ว่า หากกลัวว่าจะล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

แต่หม่าซานเปียวก็มีสติอยู่ เห็นท่าไม่ดี ก็กระโดดถอยหลังไปทันที พริบเดียวขึ้นไปยืนอยู่บนรถ เด็กน้อยที่ลงมือเอาเรื่อง หม่าซานเปียวมีกำลังแข็งแรง น่าจะเพราะเป็นเองตามธรรมชาติ หรือเป็นเพราะฝึกฝนมาจากตอนเลี้ยงม้า

ไม้พลองในมือเจ้าถั่วงอกน้อยนั่นขยับกำลังจะวาดออกไป ยามนี้ก็พลันได้ยินเสียงคำรามอย่างโมโหดังออกมาจากในบ้าน

“หู่โถว เจ้าเด็กเหลวไหล ไม่ตั้งใจฝึก ออกไปบ้าที่ไหนอีกแล้ว”

เสียงคำรามไม่ดังนัก แต่กลับทำให้การเคลื่อนไหวของเจ้าถั่วงอกนิ่งแข็งไปทันที เมื่อครู่ยังเป็นเด็กที่อารมณ์ร้อน กลับเหมือนหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้น จ้องหน้าหวังทงกับอีกสองคน คำรามเบาๆ ว่า

“รีบไปๆ ไม่งั้นครั้งหน้าข้าจะเอามีดออกมา”

จากนั้นก็รีบกลับเข้าบ้านไปอย่างเร็ว ทั้งสามมองหน้ากัน หัวเราะขำก๊ากออกมา หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“เจ้าเด็กนี้น่าจะเคยฝึกมา ลงมือตีได้มีหลักการ…”

หม่าซานเปียวเบะปาก ขึ้นไปนั่งบนรถทันที กล่าวลอยๆ ตามมาว่า

“เป็นแค่นี้จะไปมีอะไร ต้องร่างกายกำยำแข็งแรงอย่างน้องหวังกับข้าสิ ไม่ต้องกลัวอะไร…”

สำหรับคำพูดนี้ หวังทงไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ยิ้มหันกลับไปที่บ้าน ตะโกนขึ้น

“พี่หลี่เหวินหย่วนอยู่บ้านไหม หวังทงขอเข้าพบ!!”

ในบ้านเงียบลงไปครู่หนึ่ง ก็มีคนรีบเดินมาที่ประตู

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version