Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 533

ตอนที่ 533 ไม่แน่ว่าไม่รู้ เป็นราษฎรไร้มลทิน

“เหลวไหลสิ้นดี เรื่องราวใต้หล้าล้วนถูกพวกเลอะเลือนพวกนี้ทำลายพังสิ้น!”

ในห้องหนังสือหวังทง ทหารติดตามต่างยืนตัวตรงมองไปด้านหน้า ไม่กล้าหันมามอง พวกเขาไม่ค่อยได้เห็นหวังทงโมโหเช่นนี้ แต่ละคนก็ย่อมตื่นตระหนก

“ท่านหยาง กล่าวอันใดกันว่าพวกมองโกลแตกกระสานซ่านเซ็นแล้วจะรบสังหารกันเอง จะมาก่อกวนชายแดนหมิง จนไร้ความสงบสุข เลอะเลือนถึงขั้นใดจึงกล่าวออกมาเช่นนี้ได้!”

หวังทงสะบัดกระดาษจดหมายในมือส่งเสียงดัง กล่าวกับหยางซือเฉินด้วยสีหน้าถมึงทึง หยางซือเฉินสีหน้ายิ้มเฝื่อน ส่ายหน้าไม่หยุด

ข่าวที่มาจากเมืองหลวง ซานซีถวายฎีกาว่า ข่านอันต๋าสิ้นแล้ว บุตรชายคนโตอย่างเซิงเก๋อตูกู่เหลิ่งจะสืบทอดตำแหน่งต่อ และจะรับมเหสีสามเป็นภรรยา มเหสีสามไม่ยินยอม ยังเตรียมการจะจู่โจมอีกฝ่าย กล่าวว่าบนท้องทุ่งหญ้านี้หากรวมตัวกันย่อมสงบสุข หากแตกแยกกันก็ย่อมจลาจลล้มตาย ไม่มีประโยชน์อันใดต่อแผ่นดินหมิง มเหสีสามแต่ไรมาก็ชอบระบบชาวฮั่นเรา ขอให้ราชสำนักส่งขุนนางไปช่วยเหลือ จะต้องส่งผลดีเป็นแน่

ฎีกาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนัก ถวายขุนนางทั้งหลายกลับเห็นชอบบอกว่าตั้งแต่รัชสมัยหลงชิ่งมาถึงบัดนี้ก็สงบสุขดี สองฝ่ายต่างสงบสุข ก็เพราะว่ามีเผ่าของข่านอันต๋าเป็นผู้นำ หากแตกกระสานซ่านเซ็นกันไป ย่อมเกิดจลาจลเป็นภัยใหญ่ ชายแดนหมิงก็ย่อมต้องเกิดไฟสงครามปะทุไปด้วย

ราชสำนักส่งขุนนางไปช่วยให้มเหสีสามแต่งกับเซิงเก๋อตูกู่เหลิ่ง ตามวาจาขุนนางบัณฑิตในราชสำนักล้วนกล่าวว่าชัยชนะที่ด่านกู่เป่ยโข่วของชีจี้กวงทำลายความสงบสุข ดีที่การรบครั้งนั้นได้รับความเห็นชอบจากท่านจางอย่างไม่เป็นทางการ ทุกคนไม่กล้ากล่าวอันใดมาก

ข่าวที่แพร่มากล่าวว่า ไทเฮาเห็นว่าฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ สงบสุขย่อมเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง จึงเห็นควรว่าให้มเหสีสามและเซิงเก๋อตูกู่เหลิ่งแต่งงานกัน เพื่อรักษาการปกครองของเผ่าอันต๋าเดิมเอาไว้

ตอนจดหมายมาถึงเทียนจิน ขุนนางที่จะส่งไปทุ่งหญ้าก็ออกเดินทางไปแล้ว ข่าวนี้มาถึงมือหวังทงยังไม่ทันอ่านจบก็โมโหยกใหญ่

“ท้องทุ่งหญ้าแตกแยกเป็นหลายเผ่า เมืองจี้โจว เซวียนฝู่และเหลียวโจวกำลังทหารเข้มแข็ง กองกำลังหู่เวยก็ออกแรงสนับสนุนได้ สามารถอาศัยจังหวะนี้โจมตีแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้ากำจัดภัยร้ายได้ การไปช่วยให้มองโกลรวมตัวกัน ใช่ว่าเป็นการเหลือภัยร้ายคุกคามให้คงอยู่ต่อหรอกหรือ ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรกัน ไม่รู้ว่าเลอะเลือนกันเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”

หวังทงอ่านจบ ก็โยนจดหมายลงบนโต๊ะ หยางซือเฉินยิ้มเฝื่อนๆ ปลอบใจว่า

“ใต้เท้าอย่าได้โมโหไป ข้าหากว่าไม่ใช่ติดตามใต้เท้าอยู่เทียนจินนี่ เกรงว่าก็คงเห็นด้วยกับราชสำนักไปแล้ว การเคลื่อนกำลังทหาร ใช้จ่ายเงินราวกับสายน้ำไหล สงบสุขมานานเพียงนี้ ย่อมไม่อยากให้ชายแดนเกิดความวุ่นวาย นับประสาอันใดกับความดีความชอบยังตกอยู่กับพวกขุนนางบู๊อีกด้วยเล่า บรรดาขุนนางในราชสำนักก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดด้วย ยังต้องให้พวกขุนนางบู๊ได้ใจกัน ราชสำนักจะมีผู้ใดอยากให้เป็นกัน”

เห็นหวังทงโมโหไม่คลาย หยางซือเฉินกล่าวขึ้นอีกว่า

“ตั้งแต่ปีรัชสมัยฮ่องเต้ซื่อจงที่ 25 ชายแดนไม่เคยรบชนะ เป็นเพราะชีจี้กวงแห่งจี้โจวและหลี่เฉิงเหลียงแห่งเหลียวโจว จึงค่อยๆ คืนสู่ความสงบสุข ใต้เท้าชนะมาแค่สองครั้งนับว่าน้อยไป บรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักน่าจะยังกังวลกันอยู่”

หวังทงยืนขึ้นถอนหายใจยาว สองมือตบโต๊ะดัง กล่าวอย่างแค้นใจว่า

“ขุนนางจากซานซีนั่นก็ช่างเลอะเลือนสิ้นดี สถานการณ์เช่นนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ?”

กล่าวถึงตรงนี้ หยางซือเฉินก็แค่นยิ้ม กล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“ใต้เท้าคิดผิดแล้ว ขุนนางซานซีผู้นั้นจะเลอะเลือนได้อย่างไร เขาก็แค่คิดมากไปแล้วต่างหาก ชายแดนต้าถงแต่ไรมาก็มีความไม่ชัดเจนกับพวกมองโกลอยู่แล้ว สมัยฮ่องเต้ซื่อจง ข่านอันต๋านำกองทัพตีด่านต้าถงแตกพ่าย แต่ไม่เข้าเมืองต้าถง หากเลี่ยงเส้นทางลงใต้ต่อ แค่เรื่องนี้ก็เพียงพอให้หัวหลุดจากบ่าแล้ว”

ได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็รู้สึกใจนิ่งสงบลง ถอนหายใจกล่าวว่า

“เมืองกุยฮั่วเฉิงอยู่ทางเหนือของต้าถง พวกมองโกลหากเคลื่อนไหว อันดับแรกที่ต้องโชคร้ายก็คือเมืองชายแดนต้าถง หากทางนั้นไม่วุ่นวาย ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ต้าถงก็ย่อมสงบสุข”

หยางซือเฉินยิ้มพยักหน้า หวังทงส่ายหน้า กล่าวเนิบนาบว่า

“ให้พวกที่เมืองหลวงจับตาเรื่องพวกนี้ไว้ อย่าให้ต้องรอมีราชโองการมา พวกเราจึงได้รู้ สวีกว่างกั๋วอยู่เมืองหลวงหาข่าวด้วยไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ต้องได้ข่าวมาบ้าง”

หยางซือเฉินรับคำ กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า

“ใต้เท้า ยังมีอีกเรื่อง เรื่องนี้ท่านจางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร แต่ก็เห็นชอบให้ไกล่เกลี่ยรวมกันเช่นกัน เกรงว่าน่าจะเกี่ยวข้องกันระบบภาษีใหม่ที่กำลังดำเนินการตอนนี้ การเคลื่อนกำลังของพวกมองโกลน่าจะส่งผลกระทบ อันตรายย่อมไม่ต้องพูดถึง หากกังวลเรื่องทางนั้นอีก เกรงว่าระบบภาษีใหม่นี้คงไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง!”

“เห็นว่าใต้เท้าชีจัดการไม่ได้แล้ว จึงต้องให้ข้าออกจัดการแทน!”

หวังทงอยู่ๆ ก็กล่าวขึ้นมา กำลังคุยกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากนอกหน้าต่าง หวังทงยกมือตบหน้าผาก กล่าวว่า

“เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย เป็นเพราะพวกเลอะเลือนที่เมืองหลวงทำให้ข้าโมโหแท้ๆ !”

หยางซือเฉินลุกขึ้นยืนยิ้มกล่าวว่า

“ใต้เท้าไปเปลี่ยนชุดเตรียมตัวก่อน ข้าน้อยจะไปเขียนจดหมายถึงคนที่เมืองหลวงและสวีกว่างกั๋ว รอให้ใต้เท้ากลับมาอ่านแล้วก็จะได้ส่งไป”

หวังทงพยักหน้า กำลังจะส่งเสียงเรียกก็ได้ยินคนรายงานดังเข้ามาว่าไช่หนานมา ตอนเชิญเข้ามา เห็นไช่หนานในชุดยาวแบบทหารสีดำซึ่งยากจะได้เห็น แต่งตัวเต็มยศ เห็นหวังทงแต่งตัวไม่เป็นทางการ ก็อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า

“ใต้เท้ายังไม่เตรียมตัวอีกหรือ ทางนั้นเตรียมตัวพร้อมแล้ว!”

หวังทงยิ้มเฝื่อนๆ รีบวิ่งออกไป หยางซือเฉินหันไปยิ้มทักทายกับไช่หนาน จัดเครื่องเขียนเสร็จก็เขียนไปกล่าวไปว่า

“นาวาสุคนธ์ได้รับการปลดสถานะนักโทษที่มี ย่อมดีใจอย่างมาก ตีฆ้องร้องประกาศกันยกใหญ่ ติดโคมประดับตกแต่ง แม้ว่าเพิ่งเดือนสี่ แต่ก็มีบรรยากาศแห่งเทศกาลแล้ว ทุกคนดีใจกันมาก”

เทียนจินมีกิจการใหญ่ แต่พวกหวังทงอายุยังน้อย ในใจอย่างไรก็ย่อมต้องมีนิสัยชอบความสนุกสนานเฮฮา ไช่หนานก็เช่นกัน เขาเองก็ยิ้มกล่าวว่า

“จัดให้ใหญ่หน่อยก็ดี ให้ทั่วเทียนจินได้รู้กันทั่ว ภักดีต่อราชสำนัก ผลดีที่ปฏิบัติงานเพื่อฮ่องเต้ เพื่อใต้เท้าหวัง”

“พ่อค้าหลายวันนี้เหยียบธรณีจวนเราแทบพังแล้ว ทุกคนจับตาดูพวกนาวาสุคนธ์ คนพวกนี้รู้ธรรมเนียมดี ทำงานมามาก มีความชำนาญในพื้นที่ แต่ละแห่งก็ล้วนต้องการใช้งาน!”

กล่าวถึงตรงนี้ สองคนยิ้มขึ้นพร้อมกัน หวังทงก็เปลี่ยนชุดรองหัวหน้าสำนักองครักษ์เสื้อแพรเดินออกมา ออกไปพร้อมกับไช่หนาน

*************

ตอนนี้เส้นทางทะเลและเส้นทางคลองส่งน้ำเปิดเดินเรือได้แล้ว เทียนจินก็เริ่มคึกคัก พวกนาวาสุคนธ์ตอนนี้ทำงานปรับพื้นที่ให้กับเขตการกค้าริมแม่น้ำทะเลทางตอนเหนืออยู่ ทางนั้นต้องสร้างอาคารการค้าขนานใหญ่ งานฉลองครั้งนี้ก็จะจัดที่นั่น ซ้ายขวายังมีพื้นที่ว่างอีกมาก สินค้าหลากหลายสามารถขนส่งผ่านมาทางคลองส่งน้ำได้สะดวก

พวกนาวาสุคนธ์รับภาระใช้แรงงานให้กับแต่ละแห่งในเทียนจิน และยังได้เข้าเสริมกำลังกองทัพหู่เวย แม้ว่ามีสถานะเป็นนักโทษ แต่แต่ละแห่งในเทียนจินก็ให้ความสำคัญมาก

ครั้งนี้ปลดสถานะนักโทษทิ้งแล้ว การจัดงานฉลองไม่มีเงินทองอันใด พานหมิงที่เป็นหัวหน้าดูแลได้รายงานหวังทง หวังทงส่งคนไปแจกเงิน และส่งคนไปจัดงานให้

และยังให้คำสัญญาชัดเจนว่า วันหน้าแรงงานนาวาสุคนธ์ย่อมได้ค่าแรงงานตามท้องตลาด ทุกอย่างให้เหมือนกับราษฎรเทียนจิน แม้ว่าเหมือนกัน แต่ในใจทุกคนรู้ดี ดีไม่ดีจะมากกว่าอีกส่วน เพราะไม่ว่าอย่างไร ชาวนาวาสุคนธ์หลายคนเข้าเป็นทหารที่กองกำลังหู่เวย สายสัมพันธ์ใกล้ชิด

พวกนาวาสุคนธ์ ไม่ผู้ชายผู้หญิง เด็กหรือคนชรา ก็ล้วนออกมารื่นเริงสนุกสนานกัน ปกติมีสถานะนักโทษ มีสถานะต่ำกว่าชาวบ้านทั่วไป ตอนนี้นับได้ว่าทนมาจนพ้นแล้ว จะต้องให้ชาวเทียนจินทุกคนได้รับรู้ทั่วถ้วน

หวังทงและหัวหน้าแต่ละหน่วยงานล้วนไปร่วมยินดี ยิ่งเป็นการให้เกียรติชาวนาวาสุคนธ์

พอมาถึง กลิ่นประทัดคละคลุ้งไปทั่ว กลิ่นสุราอาหารอบอวล หมอกควันหนาแน่น ทุกคนมีความสุขสนุกกันอย่างมาก เด็กๆ ส่งเสียงร้องดีใจ เสียงกลองเสียงฆ้องตีดังผสานกัน ล้วนเป็นบรรยากาศแบบการฉลองปีใหม่

พ่อบ้านผู้ดูแลชาวนาวาสุคนธ์อย่างพานหมิงก็มีสีหน้ายินดีออกมาทักทายไปทั่ว เขาย่อมดีใจ ตอนนั้นที่คิดสละทางสายโจรเข้าสวามิภักดิ์ทางการได้ทัน ทุกคนเป็นนักโทษ หากตนได้เป็นหัวหน้าดูแลมาได้ ตอนนี้ทุกคนสลัดสถานะนักโทษแล้ว ตนเองก็อาจจะไปได้สถานะเป็นขุนนางเจ้าหน้าที่บ้าง ให้คนได้เรียกขานว่า ‘ใต้เท้า’ บ้าง

แต่พานหมิงก็ได้ยินข่าวเล็ดลอดมาว่า หวังทงเตรียมตั้งหน่วยงานหนึ่ง ให้รับหน้าที่ดูแลงานก่อสร้าง หัวหน้าหน่วยอาจไม่ใช่ตน แต่รองหัวหน้าอย่างไรก็ย่อมไม่ใช่ผู้อื่นไปได้ ซึ่งเขาเองรู้สึกพึงพอใจแล้ว

เขารู้ว่า คนอื่นก็รู้ วันนี้จัดงานเลี้ยงใหญ่ หัวหน้านาวาสุคนธ์แต่ละแห่งทยอยกันมาคำนับสุรากับเขา ดีที่พานหมิงรู้ว่าหวังทงจะมา จึงได้ไม่กล้าดื่มมากให้พลาดงานใหญ่ พอเห็นหวังทงมา เขาก็รีบเข้าไปรับรอง วิ่งไปวิ่งมาต้อนรับ

ในเมื่อเป็นวันมงคลใหญ่ หวังทงอย่างไรก็ต้องนั่งร่ำสุรารื่นเริงกับชาวบ้านสักชาม ต้องสนทนาเฮฮากับบรรดาหัวหน้าสักสองสามคำ

ผ่านไปไม่นาน พานหมิงก็วิ่งเข้ามา คำนับกล่าวว่า

“นายท่าน ชาวนาวาสุคนธ์ทั้งมวลขอให้นายท่านมอบชื่อให้สักหน่อย ชื่อนาวาสุคนธ์นี้เป้นชื่อต้องห้าม ไม่เป็นมงคล พอผู้คนเรียกเช่นนี้รู้สึกถึงกลิ่นไอแห่งลางร้าย!”

หวังทงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มพยักหน้า พานหมิงรีบคำนับขอบคุณ หวังทงสั่งการลงไป ก็มีคนเข้ามาเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย หวังทงกระโดดขึ้นไป พานหมิงและหัวหน้านาวาสุคนธ์ที่เหลือประกาศต่อๆ กันไปแต่ละโต๊ะ ทั่วบริเวณเริ่มเงียบลง

“เมื่อครู่พานหมิงให้ข้าคิดชื่อใหม่ให้พวกเจ้า บอกว่านาวาสุคนธ์ชื่อนี้ได้ยินแล้วไม่เป็นมงคล กลิ่นอายแห่งลางร้าย เขาพูดได้ถูก ข้าคิดมาหลายชื่อก็ไม่ถูกใจ คิดได้ว่า พวกเจ้าเหตุใดต้องการชื่อ พวกเจ้าตอนนี้ปลดสถานะนักโทษแล้ว เป็นราษฎรหมิงแท้จริงแล้ว ไยต้องการชื่อไว้เฉพาะกลุ่มให้แบ่งแยกด้วย วันนี้ไปหากผู้ใดถามพวกเจ้า พวกเจ้าก็ตบอกตอบไปว่า ข้าเป็นราษฎรทำมาหากินสุจริต เป็นราษฎรแห่งองค์ฮ่องเต้ เป็นราษฎรเทียนจิน!!”

หวังทงกล่าวเสียงดังจบ ทั่วบริเวณเงียบกริบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงจอกแจกจอแจ จากนั้นก็มีคนตะโกนขึ้นว่า

“เป็นคนสุจริต พวกเขาเป็นเป็นราษฎรแห่งองค์ฮ่องเต้ เป็นราษฎรเทียนจิน!!”

ทุกคนตะโกนเห็นด้วยเสียงดังพร้อมกัน ชาวนาวาสุคนธ์วางอำนาจในเทียนจิน ปีหนึ่งก่อนหน้านี้ถูกดูแคลน ตอนนี้ไม่มีชื่อนี้ ได้รับค่าตอบแทนที่ดีที่สุดเหมือนคนรอบข้าง ชาวนาวาสุคนธ์มีคนถึงกับหลั่งน้ำตาร้องให้ออกมา

หวังทงลงจากโต๊ะ กระซิบบอกกับไช่หนานว่า

“ข้าเตรียมตั้งกองทหารช่าง ตั้งกองลำเลียง แล้วจะตั้งโรงช่างก่อสร้างสามธารา ให้พวกนาวาสุคนธ์เข้าทำงาน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!