Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 546

ตอนที่ 546 แรงกระเพื่อมน่าแปลก คดีใหญ่เมืองหลวง

พอได้รับเทียบเบิกทางมาจากสำนักส่วนพระองค์ หลี่ว์วั่นไฉก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไรกังวล รีบเคลื่อนไหวทันที เรื่องการสืบคดี มีสำนักส่วนพระองค์ออกหน้า และยังปฏิบัติงานนอกเมืองหลวง ศาลซุ่นเทียนก็ย่อมออกเอกสารให้ได้ในทันที รวบรวมกำลังมือปราบได้ร้อยกว่านายอย่างรวดเร็ว

ทางนี้ร้อยกว่าคน ยังมีทหารจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรถนนทักษิณอีก 50 กว่านาย รวมแล้วคนพร้อมอาวุธ 150 กว่า จะไปกลัวอันใด

นับประสาอันใดกับในจำนวนนี้ยังมีทหารม้าอย่างทหารจากสำนักองครักษ์เสื้อแพร รับมือโจรด้วยการกระโจนม้าใส่ หากไม่ไหวยังขี่ไปตามกองกำลังมาช่วยได้ อย่างไรก็ต้องปราบได้

สองมือปราบศาลซุ่นเทียนอย่างหวังซื่อและหลี่กุ้ยเป็นแกนนำ เดินไปยังศาลเจ้าแม่จิ่วเสียนอย่างองอาจกล้าหาญ

จากการรวบรวมพยานหลักฐาน รู้ว่านอกเมืองไปทางใต้ที่ศาลเจ้าแม่จิ่วเสียน เป็นที่รวมตัวของพวกนิรนาม คนพวกนี้นอกจากที่รกร้างไร้ผู้คนแล้ว ก็ไม่มีที่ให้อยู่อีก ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะหนีไปไหน

ออกจากเมืองมา ไปถึงที่นั่นด้วยการนำทางของเจ้าหน้าที่อำเภอต้าซิง มาถึงต้นทางของศาลเจ้าแม่จิ่วเสียนอย่างรวดเร็ว หวังซื่อขี่อยู่บนหลังม้า เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มกล่าวว่า

“แม้ว่าอยู่เขตเมืองหลวง แต่ก็นับได้ว่ารกร้างยิ่ง หญ้าขึ้นสูงเช่นนี้ มิน่าจึงเกิดคดีเหล่านั้นได้!”

“พวกมาจากต่างถิ่นมักคิดว่าพื้นที่เมืองหลวงย่อมสงบสุข จึงไม่ระมัดระวัง คิดไม่ถึงว่าจะอันตรายเพียงนี้ เข้าไปก็ประสบเหตุเอาเลย!”

หลี่กุ้ยรับคำ หันกลับไปตะโกนว่า

“รวมกำลังบุกเข้าไป ระวังหน่อย พวกนิรนามมีอาวุธทวนยาวในมือ ยังไม่รู้ว่ามีธนูหรือไม่ อย่าได้ยังไม่ทันจับโจรก็บาดเจ็บเองไปก่อน!”

ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง สำนักองครักษ์เสื้อแพรอย่างไรก็เป็นทหาร ถือโล่ยืนอยู่ด้านนอกสุด ทุกคนก้มตัวลงหลบอยู่ด้านหลัง เดินไปได้สิบกว่าก้าว อยู่ๆ ก็มีคนโผล่ออกมา ทำเอาทุกคนตกใจผงะไปหนึ่งก้าว คว้าดาบออกมาเตรียมรับมือ ยังไม่ทันได้สติตอบโต้ ก็ได้ยินเสียงด้านหน้าตะโกนด่าดังว่า

“วันนี้ฟู่กงกงในวังมาบริจาคโจ๊ก พวกเจ้าเป็นใครกัน!”

เสียงแหลมเล็กดังขึ้น เป็นขันทีน้อยอายุสิบกว่า พวกชายไม่ชายในวังมักจะชอบวางอำนาจอย่างที่สุด บอกเอาแต่พร่ำกล่าวว่า ตนเองเองเป็นคนของฮ่องเต้ไทเฮา เจ้าขันทีน้อยนี่ต่อหน้าคน 150 กลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย

“กงกงท่านนี้ ศาลซุ่นเทียนปฏิบัติหน้าที่ ขอโปรดอำนวยทาง!”

เบื้องบนสั่งการมา ยังมีเอกสารจากสำนักส่วนพระองค์ หลี่กุ้ยก็ไม่กลัว อยู่บนหลังม้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ สถานที่รวมตัวกันของพวกนิรนามนั้นไม่อาจเทียบได้แม้แต่ที่พักคนยากจนทั่วไป ขันทีในวังย่อมไม่อยากย่ำกรายไปเหยียบ ขันทีที่มาจากที่นั่นก็ไม่อยากกลับไปเยือน แต่เมื่อเกิดเหตุทำร้ายพวกเดียวกัน อย่างไรก็ก็ย่อมใจอ่อนกลับไปช่วยสักครา

การมาของฟู่กงกงวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่งานนั้นสำคัญ หวังซื่อลังเลครู่หนึ่ง ก็หันไปโดดลงจากหลังม้ามากล่าวว่า

“ขอกงกงน้อยหลีกทางด้วย!”

เติมคำว่า น้อย น้ำเสียงแข็งกร้าว ขันทีน้อยก็ยิ่งเดือดดาล แทบเหมือนจะโดดออกไปชี้หน้าด่า

“พวกเจ้ามันตัวอันใด ถึงกับกล้าเรียกเราเช่นนี้ ระวังข้าจะทูลฟ้องฮ่องเต้!”

เสียงข่มกันถึงเพียงนี้ ยังบอกจะไปฟ้องฮ่องเต้ ขันทีน้อยจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือไม่พูดยาก หวังซื่อสีหน้าไร้อารมณ์ ถามขึ้น

“ไม่ทราบว่าฟู่กงกงปฏิบัติงานหน่วยงานใด?”

“ฟู่กงกงเรารับหน้าที่ดูแลสุราอาหารในวัง หากรู้งานก็รีบไสหัวไป……”

ขันทีน้อยผู้นั้นยังพูดไม่จบ หวังซื่อก็ควักเทียบเบิกทางออกมาจากอกเสื้อ กล่าวว่

“นี่เป็นเทียบเบิกทางจากจางกงกงแห่งสำนักส่วนพระองค์ โปรดอำนวยทางด้วย กงกงน้อยต้องการดูหรือไม่!”

รายงานชื่อไป ขันทีน้อยสีหน้าซีดเผือด พึมพัมสองสามคำ ไม่มีวาจาใดเล็ดลอดออกมาอีก หันหลังวิ่งเข้าด้านใน เห็นชัดว่ากลัวอย่างมาก

พวกคนศาลซุ่นเทียนเห็นขันทีน้อยเช่นนี้ ก็รู้สึกสะใจยิ่ง พากันหัวเราะเยาะเสียงดัง หวังซื่อรีบขึ้นม้าตะโกนดังไปว่า

“ทุกท่าน ระวังข้างหน้า ไปจับคนร้ายกัน!”

เสียงตอบรับพร้อมเรียง เดินไปได้สองก้าว ก็มีทหารอายุมากราว 40 กว่าจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรกล่าวว่า

“มือปราบหวัง เหมือนไม่ปกติ ตอนขันทีน้อยนั่นวิ่งกลับเข้าไป ด้านในมีกางเกงสีดำโผล่แวบๆ กางแกงนี้เป็นพวกสำนักอาชาหลวงใส่กัน พวกหน่วยงานสุราอาหารสีขาว……”

ลูกน้องหลี่เหวินหย่วนแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรถนนทักษิณคบหาสมาคมกับขันทีในวังที่หอเลิศรสมานานปี ความรู้ทั่วไปในวังก็ย่อมมากกว่าคนจากศาลซุ่นเทียน เรื่องเล็กน้อยเมื่อครู่ก็พบด้วยความบังเอิญ

พอกล่าวออกไป หวังซื่อกับหลี่กุ้ยก็สบตากัน ตะโกนดังขึ้นทันทีว่า

“ไม่ได้การแล้ว!”

ไม่กล่าวมากความ ไม่สนใจว่าด้านในมีกับดักอันใด ควบม้าวิ่งเข้าไปทันที ทุกคนได้สติ พวกที่มีม้าก็ขี่ม้าตามเข้าไปกันหมด คนด้านหลังก็ตะโกนดังก่อนจะเฮโลกันเข้าไป น่าแปลกที่ขันทีน้อยเมื่อครู่มาจากหน่วยงานสุราอาหารในวัง บนโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ที่ไหนกัน

แต่ทุกคนก็ย่อมให้ความเกรงใจคนในวัง มิเช่นนั้นก็ไม่อาจนำเอาเทียบเบิกทางจากสำนักส่วนพระองค์มาได้ ดังนั้นแม้ว่าขันทีน้อยจะวางท่าใหญ่โตไร้อำนาจแท้จริง แต่ก็ยังสามารถข่มทุกคนได้

จากบนหลังม้ามองไปยังศาลเจ้าแม่จิ่วเสียน ในพุ่มหญ้าราวสองสามร้อยก้าวมีทางอยู่ ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรก แต่วิ่งไปถึงตรงกลางทาง หวังซื่อก็ยกมือขึ้นหยุดม้าไว้

พวกเขาไม่ใช่ทหารม้า พอยกมือ ด้านหลังที่ขี่ม้าตามกันมาก็เริ่มอลหม่าน แต่ก็ชนกันน้อย เพราะทุกคนพอได้สติที่จะรั้งบังเหียนม้าไว้

ด้านหน้ามีกลิ่นคาวเลือดหนักมากทำให้คนต่างต้องหยุดม้าโดยสัญชาตญาณ เมืองหลวงเงียบสงบมาหลายสิบปี ทหารไม่เคยได้พบกลิ่นคาวเลือดนัก กลับเป็นคนศาลซุ่นเทียนที่สัมผัสศพบ่อยกว่า ได้กลิ่นคาวเลือด ผ่านโลกมามาก็ย่อมรู้ว่ากลิ่นอันใด

“จัดแถวๆ พวกเจ้าสองคนกลับไปรายงาน พวกเจ้าสองคนไปตามทหารละแวกนี้มา ทุกคนระวังบุกเข้าไป!”

หลี่กุ้ยเร่งสั่งการให้ทุกคนไปดำเนินการ รอให้ทหารราบเดินตามมาถึง ก็ล้อมเป็นวงล้อม ค่อยๆ บุกขึ้นหน้าอย่างระมัดระวัง

ขันทีน้อยผู้นั้นวิ่งไป กับม้าไล่ตามา ระยะทางสั้นๆ แต่พอขี่ม้ามา ก็ไม่เห็นขันทีน้อยนั่น ทำให้คนที่ตามมาต่างยิ่งตกใจหวาดกลัว

ค่อยๆ มาถึงหน้าศาลเจ้าแม่จิ่วเสียน กลิ่นคาวเลือดทำให้ม้าเริ่มไม่นิ่ง รอบด้านเงียบผิดปกติ ทุกคนผ่อนลมหายใจยาว เดาว่าไม่มีอันตรายใดแล้ว ทุกคนเห็นซากศพเกลื่อน ยังมีร่องรอยเลือดไหลเป็นทาง ฃ

************

“ศาลเจ้าแม่จิ่วเสียนทางนั้นตายไป 80 กว่า!”

ได้ยินเจ้าหน้าที่ม้าเร็วมารายงาน พัดจีบของหลี่ว์วั่นไฉก็ร่วงลงพื้น ยืนขึ้นถามอย่างตกใจ เห็นเจ้าหน้าที่พยักหน้า หลี่ว์วั่นไฉก็กระทืบเท้าอย่างแรง ปากบ่นพึมพัม รีบก้าวเดินออกไป

ตายไปมาเพียงนั้น เขาต้องส่งข่าวเข้าวังด่วน และก็ต้องรายงานเจ้ากรมและรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน รายงานขึ้นไปเป็นลำดับตามระเบียบ

วันที่ 26 เดือนห้า เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนและเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพก็ไปยังศาลเจ้าแม่จิ่วเสียน สำนักองครักษ์เสื้อแพรและสำนักบูรพาก็ต้องส่งคนไปดูด้วย

ศาลเจ้าแม่จิ่วเสียนและบริเวณโดยรอบกว้างมาก นิรนามนับพันอยู่กันที่นี่ แต่ตัวศาลเจ้าแม่จิ่วเสียนที่กำบังลมฝนได้ ก็มีแต่หัวหน้านิรนามที่แข็งแกร่งที่สุดพักอยู่ คนอื่นไม่อาจเข้าไปได้

หลังจับตัวมาสอบ เล่ากันว่าคนพวกนี้ยึดครองศาลเจ้าแม่ไว้ ระยะนี้ไม่รู้ว่าไม่เอาอาวุธมาจากไหน มักจะมีเนื้อมีสุรากินกัน วันๆ มีความสุขสำราญมาก แต่อยู่ ๆ ก็ทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน ยังเอาอาวุธมาสู้กัน ผู้ใดก็ไม่กล้าเข้าใกล้

พวกเขาถูกไล่ให้ออกไปไกล เรื่องอันใดก็ไม่รู้เรื่อง พวกศาลซุ่นเทียนมา พวกเขาจึงได้รู้ความจริง

อาการร้อนมาก ศพไม่อาจทิ้งไว้นานนัก เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพมาดูศพแล้ว ก็รีบเผาฝัง ยังต้องเอาปูนขาวมาสาดไว้รอบๆ กันโรคระบำด

เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพมาดูศพแล้ว ก็มาเทียบกัน บาดแผลบนศพนั้นมีรอยอาวุธที่อยู่ในมือพวกเขาเอง พวกที่ถูกสังหารไปก่อนหน้านี้ก็ด้วยอาวุธพวกนี้

เบื้องหน้านี้มีเงินทองกระจัดกระจาย แม้ว่าไม่ได้เห็นกัน แต่ทุกคนก็เดาไว้ ดังนั้นจึงายงานไปว่า แบ่งของไม่ลงตัวดังนั้นจึงสังหารกันเอง

เจ้ากรมและรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนถูกปรับเบี้ยหวัดไปครึ่งปี ลูกน้องคนละ 3 เดือน ในหนึ่งปีนี้ไม่อาจได้เลื่อนตำแหน่ง ทหารจากศาลอาญาใหญ่ถูกปลดเปลี่ยน ว่ากันว่าผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหลิวโสวโหย่วกับเฝิงโหย่วหนิงแห่งสำนักบูรพาถูกตำหนิรุนแรง ต้องส่งคนไปลาดตระเวนให้เป็นประจำ

ข่าวแพร่ไปทั่ววัง หลินซูลู่แต่ไรที่เป็นคนเข้าใจคนอื่นอย่างแปลกประหลาด หลั่งน้ำตากล่าวว่า

“พวกพิการเช่นนั้นพวกเราไม่ไปดูแล ใต้หล้าใดจะไปดูแลเล่า!”

เขายอมควักเงินเองไปช่วย มีเขาออกหน้า ขันทีอื่นๆ ก็ย่อมต้องควักกระเป๋าไปด้วย ส่งคนนำออกไปช่วยเหลือ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่แอบด่าลับหลัง บอกว่าพวกเขาทำงานรับใช้ฮ่องเต้ พวกชั้นต่ำข้างนอกเกี่ยวข้องอันใดกับตน

แต่ทว่า ขันทีหลินส่งคนไปยังที่พักพวกนิรนามรับปากว่า แม้ในวังไม่ออกเงิน หลินกงกงก็จะออกเงินดูแลให้เอง

***********

ศาลซุ่นเทียนไปทางใต้มีร้านสุราบนถนน โต๊ะสิบกว่าตัวด้านในร้านนั่งกันเต็ม หน้าประตูมีโต๊ะสามตัว เป็นเจ้าหน้าที่ศาลและเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพแห่งศาลซุ่นเทียนกำลังดื่มสุราและกินอาหารกันอย่างสนุกสนาน

“อย่างไรใต้เท้าหลี่ว์ก็มีคุณธรรม โดนปรับเบี้ยสามเดือน ท่านว่าจะชดเชยให้ตอนปลายปี ยังเลี้ยงสุราอาหารพวกเราตอบแทนอีกด้วย!”

มีคนดื่มจนหน้าแดงก่ำ ยืนขึ้นตะโกนดัง คนรอบๆ ก็ล้วนพากันตะโกนเห็นด้วย บนโต๊ะไม่มีเนื้อสัตว์อันใดนอกจากกุ้งปลาและผักผลไม้ สุราไม่น้อย นี่เป็นงานเลี้ยงของเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ พวกเขาตรวจสภาพศพแล้ว ส่วนใหญ่ไม่กินเนื้อสัตว์ พวกเขาล้วนดื่มกันหนัก

“ข้าเป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพมา 30 ปี อะไรก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาข้าไปได้ ในศาลเจ้าแม่จิ่วเสียน รอยแผลบนศพเหล่านั้นหลายแห่ง ถูกแทงด้วยคมอาวุธอื่นก่อน แล้วคนใช้อาวุธในที่เกิดเหตุแทงฟันทับอีกที พวกเจ้าเพิ่งมาทำสายงานนี้ จะดูออกกันได้อย่างไร ยังต้องเรียนรู้กันอีกหลายปี!”

เสียงเขาไม่เบา รอบๆ หลายคนล้วนได้ยินกันชัด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version