Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 596

ตอนที่ 596 ลมฝนนอกห้องกระหน่ำ ในห้องร้อนใจ

พอฟ้ามืด ฮ่องเต้ว่านลี่จะประทับที่ใด ขันทีและนางกำนัลในวังล้วนให้คำตอบได้ ก็ตำหนักพระสนมเอกเจิ้งนั่นอย่างไร

ตั้งแต่เรื่องตระกูลอวี๋จัดการเรียบร้อย นอกจากตอนไปถวายคำนับเช่นปกติแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ค่อยได้เสด็จตำหนักฉือหนิงกง แทบจะไม่ได้ใกล้ชิดกับไทเฮาฉือเซิ่งอีกเลย แม้ว่าคดีเมืองต้าถงเป็นไทเฮาฉือเซิ่งอนุมัติแล้วก็ตาม

นอกจากฮ่องเต้เจียจิ้งซ่อมแซมอุทยานปัจจิมแล้ว ที่พอเกิดเพลิงไหม้แล้วซ่อมใหญ่ ในวังก็ไม่ได้มีการสร้างตำหนักใหม่อันใด ตำหนักพระสนมเจิ้งเองก็เป็นตำหนักเก่าของนางสนมเอกในสมัยก่อนท่านหนึ่งเท่านั้นึ

ส่วนในตำหนักของฮ่องเต้ทำอันใดกับสนมนั้น ไม่มีบันทึกให้คนภายนอกได้รู้ หากเป็นเรื่องเล่ากันว่าหรูฟุ่มเฟือยอย่างยิ่ง หากก็เป็นปกติเช่นคหบดีชั้นสูงทั่วไป สามีภรรยานั่งสนทนากันเท่านั้น

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงมีพระอุปนิสัยหลังพระกระยาหารค่ำจะไปอยู่ที่ห้องหนังสือพระสนมเจิ้ง เพื่ออ่านหนังสือทั่วไป สนุกสนานหัวเราะกับพระสนมเจิ้ง เรื่องนอกวังที่เงียบไปสำหรับฮ่องเต้แล้ว นับเป็นเรื่องที่ดีที่ได้ผ่อนคลายเสียบ้าง

วันที่ 16 เดือนห้า คืนนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้อยู่ที่ห้องหนังสืออ่านหนังสือพวกนั้น หากในพระหัตถ์มีฎีกาหนึ่ง ทรงทอดพระเนตรอย่างตั้งใจ ค่ำคืนในต้นฤดูร้อนในเมืองหลวงก็เริ่มร้อนบ้างแล้ว

ในพระตำหนักบรรทมเปิดหน้าต่างอยู่ ใช้มุ้งบางปิดไว้ ในห้องจุดกำยานตามมุมห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ หากขับไล่ยุงได้ผลดี เป็นกำยานที่ปรุงสำหรับทรงใช้โดยเฉพาะ

ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรฎีกำอยู่ พระสนมเจิ้งรับชามของหวานจากด้านนอก โบกมือให้คนรับใช้ออกไป จากนั้นก็นำชามของหวานไปวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะปิดคลุมด้วยผ้าบาง นั่งรออย่างเงียบๆ

พระสนมเอกเจิ้งสามารถเรียกได้ว่างาม แต่ในวังนี้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่างามอันดับหนึ่ง ห่างไกลกับคำว่านางงามล่มเมืองมากนัก

หากที่สามารถมีที่ยืนในวังได้ ได้รับพระเมตตา ล้วนเพราะสติปัญญาและความฉลาดเฉลียวคล่องแคล่ว เชี่ยวชาญการดูสีหน้าวาจา รู้จักรุกรู้จักถอย ต่างจากนางสนมที่ชอบแต่บทกลอนพวกนั้น พระสนมเอกเจิ้งชอบอ่านหนังสือหลากหลาย ชอบรู้เรื่องราวในโลก ดังนั้นในวังหลัง พระนางจึงเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ว่านลี่และยังเป็นเพื่อนคุยอีกด้วย

ฮ่องเต้ พระสนมเอก สองคำนี้ฟังแล้วน่ำตกใจ แต่จริงๆ แล้วก็แค่เด็กหนุ่มอายุ 18 สาวอายุ 16 เท่านั้น

ว่านลี่ที่กำลังทอดพระเนตรฎีกำอยู่รู้สึกในห้องเงียบลง ก็หันไปมอง สบตากับพระสนม พระสนมหลุดยิ้มออกมา ฮ่องเต้ว่านลี่โยนฎีกาลงบนโต๊ะ ใช้พระหัตถ์ปัดไปมุมโต๊ะก่อนจะนวดขมับ พระสนมเจิ้งก็รู้หน้าที่เดินเข้าไปนวดให้อย่างเอาใจ

“ท่านจางป่วยอยู่จวน รู้สึกเรื่องราวใต้หล้าช่างเยอะแยะมากมายขึ้นมาทันที หังโจวเกิดเรื่อง หนิงเซี่ยก็มีเรื่อง หรือว่ามีเพียงท่านจางจะเอาอยู่ผู้เดียว ข้าไม่ได้”

“ฝ่าบาท ท่านจางลาพักเมื่อหกวันก่อน จากเจ้อเจียงและหนิงเซี่ยมีจดหมายมา อย่างไรก็ต้องครึ่งเดือนกว่าจะมาถึง ฝ่าบาททรงคิดมากไปแล้วเพคะ”

ได้ยินพระสนมเจิ้งวิเคราะห์เช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หลุดแย้มสรวลส่ายพระพักตร์ถอนหายใจพิงพนักที่ประทับตรัสขึ้นเบาๆ ว่า

“เมื่อก่อนเราคิดหวังให้ท่านจางไม่อยู่ จะได้จัดการงานแผ่นดินเอง แต่พอท่านจางป่วย เรากลับรู้สึกเอาแต่กังวลใจ ช่างเหลวไหลเสียจริง”

พระดำรัสนี้ไม่ใช่เรื่องพระสนมเอกเจิ้งจะรับคำได้ พระสนมเอกเจิ้งจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามขึ้นว่า

“ฝ่าบาท อาการท่านจางเป็นอย่างไรบ้าง หนักหนาหรือไม่?”

ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เป็นกังวล ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“หมอหลวงว่าอาการไม่ดีนัก เกรงว่า……”

กล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไป ประทับตั้งพระวรกายตรง ตรัสว่า

“เสด็จแม่ส่งคนไปถามอาการแล้ว เฝิงต้าปั้นกับจางปั้นปั้นก็ล้วนกล่าวว่า เราควรจะไปเยี่ยมด้วยตนเอง อีกสองสามวันเราก็จะไปเยี่ยมที่จวนท่านจางเอง”

“ฝ่าบาทมีความเคารพอาจารย์ ใต้หล้าย่อมสรรเสริญ……”

**************

“……ท่านจางสุขภาพแข็งแรงมาก พอจะป่วยก็ล้มป่วยหนักเช่นนี้เลยหรือ?”

ในห้องหนึ่งในสำนักส่วนพระองค์ มีเพียงจางเฉิงกับโจวอี้สองคน ได้ยินจางเฉิงถามเช่นนี้ โจวอี้ก็คำนับกล่าวว่า

“บ่ายวันนี้ลูกส่งคนไปสอบถามหมอหลวงอวี๋มา บอกว่าท่านจางปกติเหน็ดเหนื่อยกับงานแผ่นดิน พอกลับถึงจวนก็ไม่รู้จักพักผ่อน ยังมักจะกินโอสถพยัคฆ์จิ้งจอกช่วยบำรุง หลายเรื่องผสมกัน พิษร้อนก็ย่อมสะสมในกาย ตอนป่วยครั้งแรกยังไม่ใส่ใจดูแล ลากมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว”

ได้ยินโจวอี้กล่าวเช่นนี้ จางเฉิงพยักหน้า กล่าวว่า

“ฮ่องเต้ซื่อจงตอนปรุงยาอยู่อุทยานปัจจิม ยาในนั้นล้วนมีพิษร้าย ไม่รู้ว่าท่านจางกินอันใดไปกัน หมอหลวงบอกว่าอยู่ได้อีกกี่วันหรือไม่?”

“อย่างมากก็สองเดือนเท่านั้น ครั้งนี้ปะทุรุนแรง เกรงว่าไม่อาจต้านทานอยู่……”

โจวอี้กล่าวจบ จางเฉิงก็เงียบไปครู่หนึ่ง เคาะโต๊ะน้ำชาข้างๆ สองสามทีก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักเคลื่อนไหวอันใด สำนักบูรพาต้องจับตาดูรายงานไปทางเฝิงเป่าสำนักองครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่กล่าวความจริง ย่อมมีเรื่องปิดบัง สำนักรักษาความสงบมีข่าวอันใดบ้างไหม?”

โจวอี้คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า

“ขุนนางแต่ละหน่วย พวกขุนนางบัณฑิตทั้งหลายก็เริ่มวุ่นวายกันแล้ว ว่ากันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ได้ข่าวอันใดมากนัก พวกในคณะเสนาบดีใหญ่กับขุนนางใหญ่หกกรมกองพวกนั้น ก็ล้วนปิดประตูจวนไม่ออกไปไหน เกรงว่าจะถูกคนกล่าวว่าอันใดได้”

“หลี่โย่วจือก็ลาออกเร็วจริง คนอื่นก็นิ่งอยู่แต่ในจวนไม่เคลื่อนไหวได้ อันนี้ข้าไม่อยากเชื่อ”

“ท่านพ่อบุญธรรมฉลาดล้ำยิ่ง เสนาบดีกรมพิธีการเซินสือหังส่งคนไปเทียนจิน ท่านพ่อก็รู้ ก็บัณฑิตที่ชื่อหยางซือเฉินที่อยู่กับหวังทง แต่ไรมาก็มีจดหมายไปมา ใช่แล้ว ก่อนเข้าวัง หลี่ว์วั่นไฉส่งข่าวมา บอกว่าเสนาบดีกรมทหารจางซื่อเหวยเมื่อวานเหมือนว่าไปจวนอู่ชิงโหว”

ได้ยินเรื่องสุดท้าย จางเฉิงก็หรี่ตา ขมวดคิ้วกล่าวว่า

“ไปหรือไม่ไป ทำไมใช้คำว่า เหมือนว่า”

โจวอี้ยิ้มเฝื่อนตอบว่า

“ท่านพ่อบุญธรรม เมื่อวานจวนจางซื่อเหวยแบกเกี้ยวออกไปสามหลัง ไปในเมืองนอกเมืองสามแห่ง รอจนหลังที่สามไปได้ครึ่งชั่วยาม ก็มีคนงานในชุดครามนำของขวัญไปมอบให้อู่ชิงโหว ไร้เหตุไร้ผลเช่นนี้ หากเป็นเรื่องที่หลี่ว์วั่นไฉคาดเดา”

จางเฉิงเคาะโต๊ะเบาๆ เงียบไปนาน โจวอี้ก็ยืนรอเงียบๆ จางเฉิงหยุดเคาะโต๊ะกล่าวน้ำเสียงจริงจังว่า

“จากนี้ไป ทุกวันข่าวที่สำนักรักษาความสงบได้มาก ไม่ว่าเรื่องอันใด ก็ต้องคัดลอกและม้าเร็วไปให้หวังทงที่เทียนจิน”

“เรื่องในวังกับพวกชนชั้นสูงนั่น……”

“ส่งไปให้หมด หวังทงมองการณ์ไกลลึกซึ้ง บางทีในเรื่องเหล่านี้อาจมีอันใดที่ข้าและเจ้ามองไม่ออก ตอนนี้ท่านจางป่วยหนัก นอกวังในวังล้วนระส่ำระสาย พรุ่งนี้เช้าเจ้าออกนอกวังไปบอกหลี่เหวินหย่วนกับหลี่ว์วั่นไฉ คนสำนักรักษาความสงบกับสายทุกหน่วยให้เร่งหาข่าว ไม่ว่าที่ใดต้องจับตาดูให้แน่นหนา”

จางเฉิงกล่าวน้ำเสียงจริงจัง โจวอี้ก็รับคำอย่างจริงจัง จางเฉิงกล่าวต่อว่า

“เจ้าไปจัดการ ให้เติ้งจิ้น หูฉีมาพบข้า เซวียจานเยี่ยด้วย อีกเรื่อง คนที่รับใช้ฝ่าบาทในทุกวัน คนรอบๆ พระวรกายทั้งหมด พวกเราต้องดูรายชื่อให้ดี เดี๋ยวค่อยมาเอารายชื่อไปดู เหล่าเฝิงขันทีที่จัดการงานพวกนี้จะจัดการให้เจ้า”

คำสั่งสั่งการออกไป โจวอี้ล้วนจดไว้ครบ ขันทีจัดการดูแลการจัดการเปลี่ยนเวร เปลี่ยนกะ และยังจัดคนไปรับใช้เจ้านายในตำหนักต่างๆ หมายความว่าทุกคนที่เข้าออกในวัง รับใช้ฮ่องเต้ว่านลี่ หรือเข้าออกติดตามก็ล้วนจัดการโดยขันทีตำแหน่งนี้

สั่งการเสร็จ โจวอี้ก็ขอตัวจากไป ก่อนออกไป จางเฉิงกลับเรียกให้หยุดกล่าวว่า

“ตอนนี้สถานการณ์อันตราย เจ้าเองก็ระวังตัวให้ดี”

โจวอี้คำรับอย่างนอบน้อมที่สุด เงียบไปก่อนจะถอยออกไป

**************

“ทูลไทเฮา กระหม่อมขอเข้าเฝ้าก็มีเรื่องกราบทูลหารือไทเฮา แต่เห็นว่าเวลากระชั้นชิด ไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ หากไม่เหมาะ ขอไทเฮาโปรดทรงอภัย”

หลินซูลู่ทูล เขาเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่กลับดูมีมารยาทไม่ขาดตก คนรอบข้างเห็นแล้วรู้สึกว่าเขาตั้งใจจริง ไม่รู้สึกว่าสุขภาพร่างกายไม่ดี

ตอนเช้า เฝิงเป่ากับจางเฉิงล้วนอยู่ในที่ประชุมเหวินเหยียนเก๋อกับฮ่องเต้ว่านลี่ จางจวีเจิ้งป่วยหนัก เฝิงเป่าอยู่ในห้องทำงานที่สำนักส่วนพระองค์มากขึ้น เวลาไปมายังหาสู่กับเจ้านายตำหนักต่างๆ ก็ลดลงมาก หลินซูลู่ตอนเช้าอยู่ตำหนักฉือหนิงกง ขันทีสำนักส่วนพระองค์ก็ไม่อยู่กัน

สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งไม่สู้ดีนัก ไดยินวาจาหลินซูลู่ก็ขมวดพระขนงตรัสว่า

“เจ้าเป็นคนจวนอ๋องอวี้เรามาก่อน รู้ว่าข้าไม่ชอบอ้อมค้อม มีอันใดก็กล่าวมาได้ตามสบาย”

“กระหม่อมขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเมตตา มหาอำมาตย์จางป่วยหนัก ในวังนอกวังระส่ำระสาย ในวังนอกวังแม้มีบรรพชนปกป้อง แต่ท่านจางอย่างไรก็เป็นเสาหลักแห่งราชวงศ์หมิง ตอนนี้ล้มป่วยหนัก ไม่อาจห้าให้พวกคิดการไม่ซื่อไม่คิดการเกินตัว องครักษ์ในวังและกำลังนอกวัง แต่ละแห่งล้วนลาดตระเวนเข้มงวด แม้ว่ามีระเบียบปฏิบัติเข้ม แต่ก็มีเหตุอยู่มาก ไม่รู้ว่าเกิดจากข้อบกพร่องใด ปกติยังดี แต่ยามวิกฤต เกรงว่ารับมือไม่ไหว”

หลินซูลู่ทูลช้าๆ ได้ยินข่าวจางจวีเจิ้งล้มป่วยทุกแห่งระส่ำระสาย พระขนงไทเฮาฉือเซิ่งขมวดขึงสีพระพักตร์กริ้วหนัก แต่ฟังถึงช่วงหลังก็เริ่มนิ่งฟังอย่างตั้งใจ หลินซูลู่คุกเข่าทูลต่อ

“ที่กระหม่อมต้องการกราบทูลก็คือ หน่วยทหารองครักษ์ในวังและกองกำลังเมืองหลวงล้วนเป็นพวกมีอาวุธ ให้ล้วนฟังรับสั่งไทเฮา พอสถานการณ์นิ่งแล้ว ค่อยจัดการตามปกติก็ได้”

กองกำลังในวังล้วนอยู่ในอำนาจสั่งการของคนสองสามคน เพื่อป้องกันการครองอำนาจใหญ่เพียงผู้เดียว หากกล่าวว่าผู้ใดมีอำนาจสั่งการ นั่นก็ย่อมเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ผู้เดียว แต่ตอนนี้ผู้ใดล้วนรู้ว่าไทเฮาฉือเซิ่งใหญ่กว่าฮ่องเต้ กล่าวเช่นนี้ก็เหมาะสมดี

ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย ตรัสเห็นด้วยว่า

“อย่างไรก็เป็นคนจากจวนอ๋องอวี้เรามาก่อน คิดการใดก็ล้วนคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก”

**********

หอรุ่งเรืองบนถนนทักษิณทางใต้ของวังหลวง จางเฉิงกับเติ้งจิ้น หูฉีและเซวียจานเยี่ยกำลังร่วมหารือกันอยู่ จางเฉิงกล่าวน้ำเสียงขึงขังว่า

“ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกตินัก ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก พวกเจ้าแต่ละหน่วยให้จับตาดูให้ดี อีกเรื่อง เจ้าสามคนให้รายชื่อมา ต้องการคนที่ไว้ใช้ได้ องครักษ์ใกล้ชิดฝ่าบาทต้องเปลี่ยนอีกรอบ”

เติ้งจิ้นและหูรับคำสั่งขึงขังเช่นกัน จางเฉิงกันไปกล่าวกับเซวียจานเยี่ยว่า

“ไม่ว่าเฝิงเป่าออกคำสั่งเช่นไร ไม่สนว่าสำนักบูรพาจับตาดูอันใด เซวียจานเยี่ย กองกำลังเมืองหลวงและกองกำลังห้าเมืองรอบๆ ต้องจับตาดูให้ดี มีการเคลื่อนไหวอันใด รีบมารายงานทันที!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!