Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 605

ตอนที่ 605 เร่งด่วน

“ห้องเครื่อง ห้องเครื่องอยู่ไหน?”

หลี่เฉวียนพึมพำเบาๆ ไม่หยุด เดินไปยังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวังหลวง ที่ที่เขาปฏิบัติงานนั้นห่างจากห้องเครื่องมาก จะไปที่นั่นย่อมไม่สะดวก

เช้าวันที่ 19 เดือนหก จัดการงานในความดูแลตนให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นก็รีบไปยังห้องเครื่อง พอเขาออกจากห้องทำงาน ก็มีขันทีน้อยสะกดรอยตามไป

ตั้งแต่หลี่เฉวียนเข้าวังมา สามสี่วันก็ต้องไปที่ห้องเครื่อง และยังเป็นตอนที่ปรุงอาหาร แม้ว่าไม่พบผู้ใด หากเอาแต่ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นเอาอย่างนั้น

นี่เป็นเรื่องตลกหนึ่งของสำนักในวัง หลี่เฉวียนเข้าวังมาวันๆ ก็เอาแต่ไปดมกลิ่นอาหารที่ห้องเครื่องน้ำลายสอ คนนอกเข้าวังมา มักจะมีนิสัยประหลาด บางคนมักไปด้อมมองที่ฮ่องเต้และพระสนมอยู่กัน บางคนไปอุทยานดอกไม้ ไม่ก็อุทยานปัจจิม บางคนชอบไปดูนางกำนัล แม้ว่าพวกขันทีไร้สิ่งเป็นชายไม่อาจทำได้แล้ว แต่การได้มองก็เหมือนจะทำให้พอใจแล้ว

ขันทีน้อยที่สะกดรอยหลี่เฉวียนไปเห็นเขาไปหยุดอยู่ทางด้านซ้ายของห้องเครื่อง อดยิ้มไม่ได้ ในใจก็คิดว่า จะไปดูนางกำนัลที่ถูกใจกับตนหน่อยดีไหม รอให้เจ้าสิ่งเป็นชายงอกออกมา ก็จะได้สุขสมกับนาง

หลี่เฉวียนกระทืบเท้า เหมือนว่ารองเท้าไม่พอดี ก้มๆ เงยๆ จัดการ มองไปยังห้องเครื่องทำจมูกฟุดฟิด ถอนหายใจก่อนจะหันหน้าจากไป

ขันทีที่สะกดรอยมาเห็นหลี่เฉวียนเดินกลับ ก็รีบหันหลังวิ่งกลับออกไปทางอื่น จะได้ไม่ให้ผู้ใดพบเห็น

เมื่อครู่ห่างกันไกล เห็นไม่ชัดว่าหลี่เฉวียนเอาของสิ่งหนึ่งยัดไว้ในช่องกำแพง เหมือนว่าโยนของทิ้งไว้ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

รอจนหลี่เฉวียนจากไปพักหนึ่ง ก็มีขันทีประสานมือเดินออกมา มองซ้ายมองขวา ก่อนจะเดินไปยังมุมกำแพงที่หลี่เฉวียนมองอยู่ กำลังจะออกไป ก็จ้องมองนิ่งรีบย่อตัวลงเก็บกระดาษขึ้นมา

*************

เจ้าจินเลี่ยงผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่เดิมติดตามเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่ไปทุกที่ หากวันที่ 17 เดือนหกนี้ เจ้าจินเลี่ยงจะอยู่ประจำที่ตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง

อาจเป็นรับสั่งฮ่องเต้ ก็ไม่รู้เหมือนกัน เช้าวันที่ 19 เดือนหก ขันทีตำแหน่งต่ำคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมายังหน้าตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง ขอให้ทหารหน้าตำหนักเชิญเจ้าจินเลี่ยงออกมาแอบคุยกันสักพัก

คนวังที่มากประสบการณ์เห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า แม้เจ้าจินเลี่ยงโตเร็วแต่ก็ยังไม่มั่นคง การลอบพบคนนอกเช่นนี้ พูดออกไปอย่างไรก็ไม่ดี

“คืนนี้ ไตรสุริยัน ในวัง ก่อการ!”

หวังทงขมวดคิ้วอ่านกระดาษในมือ คนรอบๆ เขาล้วนอยู่ในชุดพร้อมต่อสู้กำลังตั้งใจฟัง หวังทงขยี้กระดาษเป็นก้อนกลมก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า

“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าได้ยินที่ข้าอ่านเมื่อครู่ไหม”

เจ้าจินเลี่ยงพยักหน้าอย่างแรง หวังทงกล่าวว่า

“ไปหอเหวินเหยียนเก๋อแจ้งแก่จางกงกง ให้เขาเริ่มจับกุมและป้องกันได้ตอนนี้เลย ที่นี่มีข้าดูแล เจ้าไปตอนนี้เลย!”

เจ้าจินเลี่ยงรับคำ หันหน้าวิ่งออกไปยังหอเหวินเหยียนเก๋อ พอเจ้าจินเลี่ยงออกไป หลี่หู่โถวก็เข้ามากระซิบว่า

“พี่หวัง เสี่ยวเลี่ยงไปบอกฮ่องเต้ ในวังจับคน ก็ไม่ต้องให้พวกเราอยู่ที่นี่แล้วสิ!”

หวังทงสบถกล่าวว่า

“ทำไม? เจ้าเบื่อที่จะขลุกอยู่ที่นี่หรือ!?”

หลี่หู่โถวหัวเราะแหะๆ ยิ้มกล่าวว่า

“แต่งตัวแบบนี้ขลุกอยู่แต่ในห้อง ก็อึดอัดสิ ไม่รู้ว่าจะสู้ไม่สู้ ไม่สะใจเลย!”

“หากทูลบอกฝ่าบาท เกรงว่าคงไร้ประโยชน์ พวกหัวหน้าลัทธิไตรสุริยันในวัง 6-7 คน ในวังยังกว้างใหญ่ ตอนนี้หลี่เฉวียนก็ยังไม่รู้ว่าหัวหน้าทำงานอยู่ที่ไหน แม้ว่าจับได้ 6 แล้วเอามาสอบปากคำ เช่นนี้ก็คงถามมาได้แค่สิบกว่าคนเท่านั้น ตอนกลางคืนก็ย่อมเกิดเหตุอยู่ดี แต่ทำได้อย่างเดียวก็คือ ให้องครักษ์ในวังเตรียมตัวให้พร้อม!”

หวังทงวิเคราะห์ แต่ก็ยังส่ายหน้ำตามมาติดๆ ว่า

“หากมีคนอาศัยจังหวะชุลมุนอ้างเหตุอารักขาฮ่องเต้เข้าวังมา เกรงว่าคงยุ่งยาก!!”

คนรอบๆ ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หวังทงกล่าวจบก็ถอนหายใจกล่าวต่อว่า

“เข้าวังมาแล้ว หากยังไม่อาจลงมือเปิดเผยได้ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ก็ได้แต่เข้าวังมาเพื่ออารักขาฝ่าบาทนี่แหละ ไปเอาชนวนมาจุ่มน้ำมัน บรรจุดินปืนเตรียมไว้ละกัน!”

ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง เริ่มทำงานกัน

ราวช่วงเวลาอาหารกลางวัน เจ้าจินเลี่ยงกลับมาจากหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ กล่าวว่า

“จางกงกงแจ้งไปยังแต่ละหน่วยให้เพิ่มกำลังอารักขา เขาเองไปยังตำหนักฉือหนิงกงเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยเรื่องนี้แล้ว แต่จางกงกงบอกว่า ทางหลี่เฉวียนอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว หนึ่ง จับได้คนสองคนไร้ประโยชน์ สอง จะแหวกหญ้าให้งูตื่นเปล่าๆ”

นี่ไม่ต่างจากที่หวังทงวิเคราะห์ รอจนเวลาอาหารกลางวัน จางเฉิงติดตามฮ่องเต้ว่านลี่มายังตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสว่า

“ทางเสด็จแม่มีพระบัญชาไปยังหน่วยองครักษ์แล้ว หากเห็นความผิดปกติก็ให้ลงมือสังหารได้ทันที มีความชอบไร้ความผิด องครักษ์จากโรงฝึกเหนือก็ให้เตรียมให้พร้อม จางปั้นปั้นตามตัวพวกเติ้งจิ้นมาแล้ว ถึงเวลาให้คุมสถานการณ์ให้ได้”

ขณะฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสนั้น ท่าทางผ่อนคลายยิ่ง ตรัสจบ ก็ยังแย้มสรวลว่า

“เดิมคิดว่าเรื่องใหญ่ยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะแก้ไขง่ายเช่นนี้ ในวังนอกวังทหารนับหมื่น เคลื่อนทัพมา พวกคิดการใหญ่จะสร้างกระแสคลื่นลมพลิกฟ้าได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไร หวังทงเจ้าก็จงรักภักดีเช่นนี้ เราก็จะมีรางวัลให้เจ้า พวกเจ้าด้วย”

ขณะตรัสที่ชี้ไปยังหลี่หู่โถวและพวกลี่เทา แย้มสรวลตรัสว่า

“รอให้แต่งตั้งมหาอำมาตย์ ก็จะให้พวกเจ้ากลับเข้าเมืองหลวง เราจะให้ต้องการคนสนิทข้างกายที่ไว้ใจได้”

สีหน้าทุกคนมีแววยินดี โอรสสวรรค์ตรัสเช่นนี้ อนาคตสดใสของทุกคนอยู่แค่เอื้อมแล้ว หากสีหน้าหวังทงกับจางเฉิงมิได้คลายความกังวล สบตากัน ไม่กล่าวอันใด การตรวจสอบในวังและการกวาดล้างคงเริ่มในไม่กี่วันนี้ ปัญหาคือทันการหรือไม่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หวังทงก็ประสานมือทูลว่า

“รอให้แต่งตั้งมหาอำมาตย์ก่อน พวกโจรชั่วที่คิดการใหญ่ก็คงเก็บความคิดชั่วลง ถึงตอนนั้นพวกกระหม่อมก็วางใจออกจากวังได้พะยะค่ะ!”

ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักหน้า กำลังจะตรัสชม ก็คิดได้ว่าแค่นี้ไม่พอ จึงเข้าไปตบบ่าหวังทง นี่เป็นสิ่งที่ทรงเรียนรู้จากลานฝึกหู่เวย พอตบบ่าหวังทงก็รู้สึกได้ถึงแผ่นเหล็ก รู้สึกเจ็บพระหัตถ์มาก ตะลึงงัน หวังทงเอียงตัวกระซิบว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมสวมเกราะแล้ว”

“มิน่าเสื้อเจ้าจึงพองเช่นนี้……”

**************

หลินซูลู่แห่งสำนักอาชาหลวงสีหน้าแย่กว่าวันก่อนมาก ทุกคนเห็นอยู่ แต่ไม่กล้าพูดออกมา นี่เป็นเรื่องที่หลินกงกงถือมาก ปกติหลินกงกงอารมณ์ดี หากมีคนพูดถึงสุขภาพไม่ดี ย่อมทำหน้าบึ้งสั่งสอนใส่ ผู้ใดก็ไม่อยากจะโชคร้าย

กลางวันวันที่ 19 เดือนหก เดิมทุกคนต้องกินข้าวกันแล้ว หากกลับมีเรื่องทำให้หลินกงกงตกใจ รีบส่งไปยังห้องทำงานทันที

“หลินกงกง ข้าน้อยเป็นคนดูแลม้าที่สำนักอาชาหลวงเข้าวังมาเมื่อครึ่งปีก่อน เมื่อก่อนตอนอยู่นอกวังเลอะเลือนไป ถูกคนชักชวนให้นับถือลัทธิไตรสุริยัน ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นลัทธิมาร พอเข้าวังมา เดิมคิดจะตัดสัมพันธ์ หากคิดไม่ถึงว่าในวังมีพวกโจรอีกมาก หลายวันนี้บอกว่าพุทธะจะมาจุติ ให้ทุกคนเตรียมพร้อม บอกว่าคืนนี้จะก่อการ ข้าน้อยเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง จึงได้มาแจ้งข่าวแก่หลินกงกง……”

เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น หลินซูลู่ตบโต๊ะเสียงดัง ตวาดอย่างโมโหว่า

“บัดซบจริงๆ แผ่นดินสงบสุข ยังอยู่ในวัง ถึงกับมีคนเชื่อลัทธิมารเช่นนี้ได้ จะก่อการในพื้นที่ใกล้ฝ่าบาทเช่นนี้อีก ซวงสี่!! เจ้ารีบนำคนไปจับกุม รีบไปเตรียมเกี้ยว ข้าจะไปตำหนักฉือหนิงกงทูลไทเฮาเรื่องนี้!!”

ในวังตอนบ่าย อยู่ๆ ก็มีเหตุการณ์เคร่งเครียด แรกสุดก็มีคนสำนักอาชาหลวงเข้าจับกุม จับได้ 7 คน ในนั้นสองคนถูกตัดหัวทันที เพิ่มกำลังอารักขาอีกหนึ่งเท่า และคืนนี้หลังฟ้ามืดลง ก็ไม่ให้ผู้ใดออกไปไหน เท่ากับว่าจำกัดบริเวณไปโดยปริยาย

การจำกัดบริเวณที่ผ่านมา มีเพียงฮ่องเต้สวรรคตเท่านั้นจึงจะทำ การทำในยามนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่น ในวังเริ่มเคร่งเครียดแล้ว

หลินซูลู่ไปเข้าเฝ้าทูลรายงานยังตำหนักฉือหนิงกงเสร็จก็กลับมาที่พักตน มีกำลังทหารสำนักอาชาหลวงในมือ การจับกุมก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย ซวงสี่รออยู่ในที่พักแล้ว

“นายท่าน ทางนั้นที่มีรายงานมา ก็สั่งคนไปจับกุมแล้ว ตอนนี้ในวังมีคนถูกจับ 60 กว่าคน ล้วนส่งเข้าคุกไปแล้ว นายท่าน ล้วนเป็นความผิดข้าน้อย เรื่องใหญ่อยู่ตรงหน้ากลับเกิดเรื่องเช่นนี้ได้……แต่ทว่า ที่คุกหลวงก็มีคนของเรา ปิดปากง่ายมาก”

“60 กว่าคนถูกฆ่าปิดปาก เป็นเรื่องใหญ่ไป ไม่จำเป็น พวกเขาไม่รู้จักกัน ระหว่างหัวหน้าก็ไม่คุ้นเคยกัน ไม่อาจเปิดโปงเรื่องราวใดได้”

หลินซูลู่มีสติแจ่มใส ยิ้มไปกล่าวไป เห็นซวงสี่จะกล่าวอันใดอีก หลินซูลู่ก็ยกมือขึ้นโบกกล่าวว่า

“เข้าวังมาได้ พอได้ใช้ชีวิตในวัง บางคนรั้งใจไว้ไม่ได้ เปิดโปงออกมาก็ดี ในวังมีธรรมเนียมไม่ว่าคนเปิดโปงหรือคนเกี่ยวข้องล้วนประหารสิ้น ผู้ใดให้พวกมันเป็นบ่าวชั้นต่ำเล่า…………รู้ผลเช่นนี้ คิดจะขยับไม่กล้า ได้แต่ทำไปตามคำสั่ง”

ได้ยินเช่นนี้ ซวงสี่ก็สีหน้าดีขึ้น หลินซูลู่อดยิ้มไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า

“ในวังตอนนี้ทุกคนหวาดหวั่น คิดจะจับคนก็ไม่รู้จับผู้ใด สถานการณ์วุ่นวายขอเพียงก่อการขึ้น ก็ย่อมต้องเกิดเหตุใหญ่ ล้วนไม่อาจเอาอยู่……”

“นายท่าน สุขภาพนายท่านตอนนี้ คืนนี้จะทนไหวหรือ?”

“หลายวันนี้สุขภาพดีขึ้น ร่างกายรู้สึกเบาขึ้นมาก แม้แต่สวรรค์ก็ยังคุ้มครองข้า!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!