Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 612

ตอนที่ 612 ยามเช้า

“ต้าเหอ ช่วยถอดเกราะให้ข้าที!”

หลี่หู่โถวที่นั่งอยู่บนพื้นส่งเสียงดัง ปากตะโกนไป มือก็ไม่หยุด คว้าปืนมาทำความสะอาดกระบอก จากนั้นก็ใช้ปากฉีกห่อกระดาษออก เทดินปืนเข้าไปในปากกระบอก ใช้ไม้อัดไปสองสามที ก่อนจะยัดกระสุนลงไป ใช้กระดาษปิดทับไว้ จากนั้นหยิบดินปืนจากถ้วยตะไลออกมาหยอดในช่องจุด จากนั้นก็ปิดกล่อง

ไหล่เฉินต้าเหอเผยธนูปักอยู่ ส่วนอื่นๆ ดึงออกหมดแล้ว กัดฟันยกดาบสั้นขึ้นแกะเกราะเหล็กบนตัวหลี่หู่โถวออก

เกราะเหล็กร่วงลงพื้นเป็นแผ่นๆ หลี่หู่โถวไม่สนใจ เอาแต่บรรจุกระสุนอย่างเคร่งเครียด คนที่เหลือก็เช่นกัน เฉินต้าเหอเดินไปหน้าเพื่อนร่วมรบ ใช้ดาบตัดเชือกหนังที่รัดไว้ออก

ปืนหลายสิบในห้องบรรจุกระสุนเสร็จก่อนฟ้ามืด แต่สิบคนยิง หากโจรมีจำนวนมาก อาจต้านทานไม่อยู่

ไม่ต้องพูดถึงว่าปืนไฟและกระสุนที่เอาเข้าวังมาก็มีจำกัด ปืนไฟยิงติดๆ กัน ก็ต้องใช้เวลาเติม ช่องว่างตรงนี้อาจปล่อยให้ศัตรูบุกเข้ามาได้

หากใช้ปืนไฟแต่แรก พวกโจรก็ยังหลบได้ ต้องหาทางสู้ติดพัน นำพวกมันเข้าสู่ระยะยิง ไม่เช่นนั้นคงไม่สู้ไปถอยไปเช่นนี้หรอก

สำหรับพวกหวังทงแล้ว ปืนไฟเป็นด่านสุดท้าย หากยังไม่ถึงยามคับขัน ก็ไม่ใช้อาวุธร้ายแรงนี้ ไม่เช่นนั้นหากไม่มีความได้เปรียบนี้ไว้ ผลลัพธ์ย่อมไม่กล้าคาดคิด

ตอนนี้คนรอบกายหวังทงตายหนึ่งเจ็บสี่ แต่ศัตรูด้านนอกลดลงเหลือแค่ไม่ถึงร้อย แม้ว่าไม่ถึงร้อยหากเป็นกำลังหลักของพวกโจร จำนวนคนพวกนี้ไม่ครณาปืนไฟที่เตรียมไว้ พวกหวังทงใช้เวลาต่อสู้เพื่อประวิงเวลาเตรียมตัวพอควรแล้ว ในวังรอบด้านเงียบกริบ ความวุ่นวายแรกสุดได้ผ่านแล้ว ตอนนี้ควรเป็นเวลาที่ในวังตอบโต้พวกโจรแล้ว

หวังทง ลี่เทา ซุนซิง สามคนไม่ได้รับบาดเจ็บจากการรบเมื่อครู่ เขาสามคนแรงดียิ่ง ยังฝึกยิงปืนมามากพอ การยิงย่อมให้พวกเขาลงมือ

ประตูห้องไม่กว้าง สามคนเข้าออกเบียดไปสักหน่อย สามคนบุกออกไปยิง ด้านหลังบรรจุดินปืนให้ทัน

อย่าเห็นว่าสามคนเดี๋ยวก็ปืนสั้น เดี๋ยวก็ปืนยาว ยิงกระหน่ำไม่หยุด แต่พวกโจรที่กรูกันเข้ามาก็ราวกับอยู่ในความฝันร้าย พวกองครักษ์อย่างมากสุดก็เกราะอ่อน ไหนเลยจะต้านทานปืนไฟกองกำลังหู่เวยได้

องครักษ์เมืองหลวงนับว่าเป็นนักสู้เก่งกาจ พอมีความรู้เรื่องอาวุธปืน แต่ก็รู้ว่าเป็นของเล่นใช้การไม่ได้ ถูกศัตรูบุกมาถึงตรงหน้า ก็คือตาย เห็นแล้วยังต้องธนูและดาบทวนจะดีกว่า แต่วันนี้ในลานนี้กลับผิดแผกตาลปัตรไปจากสิ่งที่พวกเขาเคยรู้มา ปืนไฟดังขึ้น กลิ่นควันคละคลุ้ง แม้ว่าไม่ได้ยิงโดนจุดสำคัญแค่ก็ทำลายความฮึกเหิมลงทันที

ในลานนั้นเองก็แคบเบียดเสียดกัน พวกหวังทงถือปืน คาดว่าไม่มีที่ใดในลานนี้ที่ยิงไม่โดน เสียงปืนไฟกับเสียงร้องโหยหวนของพวกโจรในลานดังขึ้นต่อเนื่อง

ปืนไฟยิงไปสองรอบ กระบอกเริ่มร้อนเล็กน้อย หากระยะห่างยังได้อยู่ หวังทงเปลี่ยนเชือกชนวน ในการรบเช่นนี้ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือเชือกชนวน วางไว้บนไกสับ ไฟดับมอด ปืนก็ยิงไม่ได้ ดีที่ยิงไม่ออกไม่กี่ครั้ง ไม่ได้สร้างความยุ่งยากอันใด

องครักษ์ในลานถูกสกัดไว้ได้แล้ว ความสำเร็จอยู่ตรงหน้า ผู้ใดจะคิดว่าอยู่ๆ จะเกิดยุทธวิธีเช่นนี้ได้ นี่มันอาวุธปืนอันใดกัน ในห้องวิ่งกลับไปก็ออกมายิงได้อีกรอบ ถึงกับยิงไม่หยุด

มีคนเข้าที่ท้อง มีคนเข้าที่ขา ไม่ตายทันที เสียงร้องดังโหยหวนน่ารันทดไปทั่วลาน ยังมีคนในยามนี้ที่คิดได้ว่าตนเองก่อการร้ายคิดสังหารฮ่องเต้ ตอนนี้หนีไม่ได้แล้ว ต่อไปคงถูกดาบหั่นเป็นหมื่นชิ้น ทำคนในครอบครัวเดือดร้อน ส่งเสียงร่ำไห้อย่างรู้สึกผิดที่ได้ทำลงไป

เจ้าสิ่งพวกนี้ยิ่งทำให้ทุกคนหมดความกล้าหาญ มีคนโยนอาวุธในมือทิ้ง วิ่งหนีกระจัดกระจาย ในวังยามนี้คิดว่าน่าจะเริ่มกวาดล้างแล้ว แต่อย่างไรก็ดีกว่าสนามรบมารร้ายเช่นเบื้องหน้านี้ หนีไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี

รอบทิศในวังกำแพงล้อมสูง ไม่มีลมพัด ยามนี้ในลานรอบด้านมีกำแพงบัง ควันปืนไฟจึงยังคงคละคลุ้งเช่นเดิม

ในลานรอบทิศเลือนลาง กอปรกับฟ้ามืด เปลวไฟที่เหลือในกระถางไฟ ก็ยังคงส่องแสงประกายแดง หากไม่ได้ผลมากนัก ในลานนอกจากเสียงร้องเสียงตะโกนแล้ว ก็ไม่มีเสียงคำสั่งเคลื่อนไหวใดอีก เงียบไปแล้ว

“ท่านสี่ ท่านสี่ ทัพองครักษ์เราบุกมาแล้ว พี่น้องเราทางตะวันตกก็ถูกสังหารไปหมดแล้ว ต้านไม่อยู่แล้ว ท่านสี่ ท่านหนีไปเถอะ!!”

องครักษ์นายหนึ่งเปื้อนไปด้วยเลือดปีนข้ามกำแพงมา ตะโกนบอกซวงสี่ ซวงสี่ยืนอยู่ตรงระเบียงโดดเดี่ยวคนเดียว แม้ว่าเป็นขันที แต่ในมือถือทวนยาว ร่างสวมเกราะขดลวดเหมือนขุนพลนายหนึ่ง เขาสบตาองครักษ์เบื้องหน้า ก่อนจะกล่าวว่า

“เจ้าหนีไปก่อน ข้าค่อยตามไป!!”

องครักษ์พยักหน้า หันหลังคิดหนี ทวนยาวในมือซวงสี่แทงออกไป แทงทะลุร่างองครักษ์ผู้นั้น องครักษ์ผู้นั้นสิ้นใจทันที

“หนีบ้าหนีบออันใด ยามนี้แล้ว จะหนีไปไหน……”

ซวงสี่กระชับทวนยาวเดินไปยังระเบียงคด วางท่าทางใหญ่โต กล่าวพึมพำว่า

“นายท่าน บ่าวไม่อาจอยู่รับใช้แล้ว!!”

เสียงคำรามจบลง ทวนยาวก็แทงทะลุหน้าอก ระเบียงทางเดินและลานหน้าตอนนี้ตลบไปด้วยควันคละคลุ้ง เห็นแสงไฟวับแวมนอกประตูห้อง ซวงสี่มองไม่ชัด เขาเดินไปทางนั้น

แสงตะเกียงหน้าห้องวับแวม ตามมาด้วยเสียง ปัง ปัง ปัง ดังขึ้นสามเสียง ซวงสี่รู้สึกว่าหูก้องไปหมด แขนขวาและหน้าอกเหมือนมีค้อนใหญ่ทุบใส่อย่างแรง เขาผงะถอยหลัง ใช้ทวนยาวยันกายไว้ ตะกายดิ้นรนเดินไปเบื้องหน้าสองก้าว

เดินได้เพียงสองก้าว ร่างกายก็ยันไม่อยู่ ล้มลงกับพื้นทันที ดิ้นรนไปสักครู่ก็นิ่งไป

“เหมือนว่ามีคนบุกเข้ามา?”

“ก็ไม่รู้ว่ายิงโดนไหม หรือว่าออกไปดู?”

“ป้องกันห้องนี้ให้แน่นหนา อย่าชะล่าใจ!!”

ทุกคนบนขั้นบันไดหน้าประตูถอยกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนปืน

************

หลังจากลานด้านหน้าเงียบไปชั่วคราว ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาจากที่ไกลๆ เหมือนมีเสียงม้าวิ่งมาด้วย ล้วนมุ่งมาทางนี้

พวกหวังทงเริ่มรู้สึกเครียด จากเสียงฝีเท้าและเสียงม้าบอกได้ว่าศัตรูมีจำนวนเท่าไร เสียงด้านนอกวิ่งมาไม่ต่ำกว่า 500 และยังวิ่งเรียงหน้ากระดานมา เห็นชัดว่าฝึกมา หากเป็นพวกศัตรู คงต้านทานไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ

“น่าจะเป็นเป็นพวกในวังมาคุมสถานการณ์!”

ไม่รู้ว่าจางเฉิงออกมาจากห้องด้านในตอนไหน เดินมาสองก้าว มีอันตรายว่าจะถูกอาวุธชุดเกราะที่พื้นขัดขาล้ม ควันคลุ้งในห้องและกลิ่นคาวเลือดผสมผสานกัน เสียงฝีเท้าที่กำลังไกลเข้ามากับเสียงร้องโหยหวนในลานด้านหน้า ล้วนทำให้สีหน้าจางเฉิงที่เคยสงบนิ่งเสมอเริ่มซีดอยู่บ้าง เมื่อครู่เสียงล่าสังหารและสุดท้ายเสียงยิงระดมยิงปืน เขาเองก็ได้ยินเต็มสองหู

พอออกมา ก็เห็นทั้งตัวหวังทงเต็มไปด้วยเลือด ยิ่งทำให้จางเฉิงหวาดกลัว หากพวกหวังทงไม่มา ตอนนี้สถานการณ์จะเป็นเช่นไร……

“จางกงกง ไม่ว่าผู้ที่มาเป็นผู้ใด ก็อย่าได้วางใจไป!”

หวังทงหันไปตะโกนดัง

“อย่าได้ผ่อนการป้องกัน!! จัดเตรียมปืนให้พร้อม ที่ไม่บาดเจ็บให้สวมเกราะให้ดี ยังไม่ถึงเวลาพัก!”

กล่าวจบ ไหล่หวังทงก็ลู่ลง เขาเบ้ปาก สู้ดุเดือดไปเมื่อครู่ เขาเองก็โดนไปสอง ตอนกำลังสู้ดุเดือดนั้นย่อมไม่รู้สึก ตอนนี้พอผ่อนคลายลง ก็รู้สึกค่อยๆ ปวดหนึบ หวังทงหันไปมอง เห็นเพื่อนร่วมรบที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้น

เสี่ยวเป้าจื่อเป็นฉายาของหลี่เป้า เขากับซุนซิงล้วนเป็นนายกองร้อย ที่บ้านสถานะไม่ดี มาอยู่ลานฝึกหู่เวยก็เป็นคนเงียบๆ พอตอนปิดลานฝึก ได้ตำแหน่งนายกองพัน กลับติดตามหวังทงไปเทียนจิน หลี่เป้าเป็นคนเงียบๆ หากอดทนลำบากได้ ปกติฝึกซ้อมไม่หยุด เพราะสายตาดีและแรงแขนดี จึงถูกถานกงเลือกไปฝึกยิงธนู หวังทงไม่ค่อยจำอะไรเกี่ยวกับเขาได้มากนัก อย่างไรก็เป็นคนนิ่งเงียบมาก

มาเทียนจินครานี้ คนที่หวังทงนำมาด้วยล้วนเป็นเด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวย ก่อนมาก็คำนึงถึงความปลอดภัยแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาตายที่นี่

แม้ว่าไม่ได้สนิทสนมนัก แต่อย่างไรก็เป็นคนที่อยู่ร่วมกันมานาน ตอนนี้กลายเป็นศพร่างเย็นชืด จากกันตลอดกาลเสียแล้ว

“หวังทง สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง!?”

ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จออกมาจากในห้อง ในมือไม่รู้ไปเก็บดาบสั้นมาจากที่ใด เจ้าจินเลี่ยงก็มีมีดสั้นในมือ มองเหมือนมีดปอกผลไม้ พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ซีดขาว เจ้าจินเลี่ยงกัดฟันแน่น

คิดว่าเมื่อครู่ตอนอยู่ในห้อง กลิ่นดินปืนและกลิ่นคาวเลือดด้านนอกน่าจะโชยเข้าไป พออกมา กลิ่นก็ยิ่งหนักหนา สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งซีดลง

หวังทงมองฮ่องเต้ว่านลี่ คำนับทูลว่า

“ทูลเสด็จฝ่าบาทเข้าในห้องพะยะค่ะ ยามนี้ยังไม่ชัดเจน พระวรกายฝ่าบาทมีค่าดังทองคำควรถนอมพระวรกาย……”

หวังทงเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เสียงฝีเท้าด้านนอกดังมาหนาแน่น ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ เขาไม่มีกระจิตกระใจกล่าวเรื่องอื่นใด ได้แต่ขอให้ฮ่องเต้ว่านลี่กลับเข้าไป

“นี่ไม่ใช่หลี่เป้าหรือ? เราจำได้ว่าเขาชอบเนื้อกวางที่เราเอาไปด้วยที่สุด ทุกครั้งหยิบไปหลายชิ้น เขาสู้จนตัวตาย……เขามีครอบครัวไหม เราจะพระราชทานบำเหน็จรางวัล……”

นอกกำแพงมีคนตกใจร้องดัง คิดว่าน่าจะเห็นศพด้านนอกแล้ว หวังทงหันไป ยามนี้ไม่สนใจว่านายหรือบ่าว หากผลักฮ่องเต้เข้าไปด้านในก่อนค่อยว่ากัน เดี๋ยวสู้กันไม่มีเวลามาใส่ใจ

“ฝ่าบาททรงไม่เป็นไรใช่ไหมพะยะค่ะ!!!?”

เสียงด้านนอกกำแพงตะโกนดังมา

****************

“……ลัทธิไตรสุริยันคืนพลังหยาง น่าขันสิ้นดี หากคืนได้ ข้าคงคืนให้ตัวเองไปแล้ว ข้าไม่อยากให้ใต้หล้านี้ต้องมีขันทีอีก ไม่มีฝ่าบาท ไม่มีวังหลวง ก็จะไม่มีขันที แล้วก็ไม่ต้องมีคนโดนตอน ไม่มีแม้แต่นิรนามที่สู้ไม่ไดแม้สุนัข……”

กลางดึกมืดมิดที่สุด น้ำเสียงหลินซูลู่เริ่มดัง ตามมาด้วยส่ายหน้ากล่าวว่า

“อ๋องลู่ ไม่ต้องทรงแกล้งบรรทมต่อแล้ว”

อ๋องลู่สะดุ้ง ลุกขึ้นนั่งทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!