Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 622

ตอนที่ 622 ยอมอ่อนข้อ หากต่างวาระ

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสออกไป ทั้งตำหนักฉือหนิงกงก็เงียบกริบ

ทุกที่ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสมา ตั้งแต่รัชสมัยว่านลี่มา ไม่เคยมีผู้ใดไม่ทำตาม อย่างน้อยก็เป็นข้อห้ามในวังหลวงแห่งนี้ที่ห้ามค้าน

นางกำนัลสองข้างพระวรกายไทเฮาฉือเซิ่งก้มหน้าลงหมด พวกนางชำนาญการสังเกตสีหน้า ผ่านหางตาเหลือบมองเห็นสีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งที่แย้มสรวลน้อยๆ ค้างเติ่ง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นเฉย

ไทเฮาฉือเซิ่งมองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่นั่งอยู่ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ดำคล้ำ มองมาอีกที สบตาจ้องกันแม่ลูก ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจทนรับได้ ต้องก้มหน้าลงก่อน ไทเฮาฉือเซิ่งมองไปยังเฝิงเป่าและจางเฉิง จางเฉิงเหมือนถอนหายใจ ก้มหน้าลง

“เฝิงเป่า เจ้าทางนั้นดูแลสถานการณ์ขุนนางทั้งมวล ในราชสำนักมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร?”

เฝิงเป่ามองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่หลบตา ค่อยๆ ทูลอย่างลังเลว่า

“ทูลไทเฮา ตามรายงานสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพร บรรดาขุนนางต่างเห็นว่าจางซื่อเหวยมีความสามารถและสติปัญญา เหมาะกับตำแหน่งมหาอำมาตย์!”

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงบึ้งตึงหนัก เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองเฝิงเป่า เฝิงเป่าย่อมไม่มีสถานะพอจะสบตาฮ่องเต้ว่านลี่ ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม

ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มหน้าลง ไทเฮาฉือเซิ่งมองฮ่องเต้ว่านลี่ที่เงียบลงอย่างแปลกพระทัย ในห้องตกอยู่ในสภาวะเงียบงัน

แต่เป็นความเงียบที่ไม่ทำให้รู้สึกสบาย บรรยากาศเริ่มตึงเครียด

จางเฉิงขยับสองสามก้าวที่ไม่มีใครทันสังเกตไปยังข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ยกมือดึงด้านหลัง ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกตัวหันไปมอง ตรัสน้ำเสียงแหบพร่าว่า

“เสด็จแม่ทรงพระปรีชา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ลูกก็ไม่มีอันใดคัดค้าน ก็รอราชสำนักเสนอ ดูว่าบรรดาขุนนางจะเสนอผู้ใดก็แล้วกันพะยะค่ะ”

ไทเฮาฉือเซิ่งพยักพระพักตร์ สีพระพักตร์ไร้รอยแย้มสรวล

ที่นี่ตัดสินตัวเลือก ผลของราชสำนักก็ย่อมเป็นเช่นนี้แล้ว แม้ว่าทุกคนร่วมกันเสนอ แต่หากเสนอคนที่ไม่ตรงตามความเห็นชอบไทเฮา ทุกคนก็ย่อมคิดได้ว่าจะถูกกริ้วมากเพียงใด

ยามนี้บรรยากาศเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่อาจมีบรรยากาศแห่งแม่ลูก เรื่องในครอบครัวก็ย่อมแห้งแล้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสตอบจบ ก็เอาแต้ก้มพระพักตร์ไม่ตรัสอันใดต่อ ในห้องเงียบลง เฝิงเป่าสบตากับจางเฉิง มองไปยังนางกำนัลข้างพระวรกายไทเฮาฉือเซิ่ง หากยังปล่อยให้เงียบอึดอัดเช่นนี้ต่อไป ก็จำเป็นต้องเป็นหน้าที่ของคนให้รับใช้ในห้องคนใดคนหนึ่งหาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องทำลายความเงียบนี้

สบตากันไปมา นางกำนัลจิ่นซิ่วลังเลครู่หนึ่งกำลังคิดจะกล่าว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงยพระพักตร์ขึ้นตรัสเสียงดังว่า

“เสด็จแม่ โจวอี้แห่งสำนักส่วนพระองค์ไปเป็นรองหัวหน้าสำนักอาชาหลวง ตำแหน่งนี้ว่างลง เจ้าจินเลี่ยงรับใช้ข้ามานาน นิสัยรอบคอบรักการเรียนรู้ ยังจงรักภักดี เหมาะสมที่สุด”

ไทเฮาฉือเซิ่งหรี่พระเนตรมอง ตรัสถามว่า

“เจ้าจินเลี่ยง ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว?”

“ทูลเสด็จแม่ ปีนี้ 13 แล้ว……”

สำนักส่วนพระองค์เป็นหัวหน้าของทุกหน่วยงานในวังหลวง คุมอำนาจในวัง เอกสารทั้งหมดต้องผ่านสำนักส่วนพระองค์ หน่วยงานต่างๆ ได้บำเหน็จหรือลงทัณฑ์ก็ลล้วนรับผิดชอบโดยตำแหน่งเดิมของโจวอี้นี้ อำนาจมาก แต่ไรมาก็เป็นคนนสนิทของมหาขันทีแห่งสำนักส่วนพระองค์ดูแล หรือไม่ก็ควบตำแหน่งเอง

ฮ่องเต้ว่านลี่ให้เด็กน้อยอายุ 13 มาดูแลงานนี้ ฟังแล้วเหลวไหลยิ่ง เจ้าจินเลี่ยงรู้หนังสือ แต่อ่านหนังสือมากี่เล่มก็พูดยาก

ข้อเสนอนี้เหลวไหลยิ่ง ไทเฮาฉือเซิ่งก้มพระพักตร์ลงครุ่นคิด ไม่นานก็เงยพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า

“เจ้าจินเลี่ยงนี่แม้รู้จัก นิสัยหนักแน่น รู้กาลเทศะ ตำแหน่งนี้ก็ได้”

ไทเฮาฉือเซิ่งหรี่ตามองเฝิงเป่าที่ก้มคำนับไม่กล่าวอันใด ไทเฮาฉือเซิ่งพยักพระพักตร์แย้มสรวลตรัสว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ฝ่าบาทก็มีราชโองการไป จางเฉิง เสี่ยวเลี่ยงอายุไม่มาก ผ่านเรื่องราวมาไม่มาก เจ้ายังต้องดูแลสั่งสอนให้มากจึงจะได้!”

จางเฉิงรีบรับคำ พอตรัสจบ ก็ไม่มีอันใดสนทนาต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ลุกขึ้นทูลลา จางเฉิงตามออกไป เฝิงเป่ากลับยืนนิ่ง

“ฝ่าบาทโตแล้ว……พอมีตำแหน่งว่างก็รู้ว่าควรจัดคนสนิทของพระองค์เข้าแทนที่ ให้เจ้าจินเลี่ยงแทนตำแหน่งโจวอี้ ก็คิดออกมาได้”

สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งไร้รอยยิ้ม ตรัสสุรเสียงนิ่ง หากเฝิงเป่ากลับมองทิศทางที่ฮ่องเต้ว่านลี่จากไปอย่างกังวล นางกำนัลจิ่นซิ่วมองออก รีบส่งสายตาให้นางกำนัลรอบๆ จากนั้นก้มคำนับรายงานว่า

“ทูลไทเฮา พวกหม่อมฉันออกไปดูการจัดการงานข้างนอก ดูว่ามีอันใดต้องซ่อมแซมอีกหรือไม่”

พอนางกำนัลออกไปหมด เฝิงเป่าก็ทูลขึ้นอย่างลังเลว่า

“ทูลไทเฮา ฝ่าบาทไม่พอพระทัยมาก ตอนนี้ฝ่าบาทค่อยๆ เติบใหญ่แล้ว แม้ว่าไทเฮาทำไปเพื่อแผ่นดินหมิง หากทำเช่นนี้ นานไป เกรงว่า……”

“ข้าทำเพื่อแผ่นดินหมิงเรา เพื่อแผ่นดินที่บรรพชนทิ้งไว้ แม้ว่าฝ่าบาทโกรธแค้นข้า ข้าก็ไม่อาจนำพา”

ไทเฮาฉือเซิ่งกล่าวตัดบทหนักแน่น เฝิงเป่าถอนหายใจ ก้มคำนับไม่กล่าวต่อ

ฮ่องเต้ว่านลี่ออกจากตำหนักฉือหนิงกงอย่างรวดเร็ว เดิมขาไม่ดีนัก การเดินเร็วๆ ย่อมทำให้เห็นได้ชัด แต่เพราะเดินเร็ว จางเฉิงต้องรีบวิ่งเหยาะๆ ตามจึงตามทัน

พอขึ้นเกี้ยว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นยิ่งว่า ‘ห้องทรงอักษร’ ขันทีไม่กล้ารอช้า รีบแบกเกี้ยวออกไปทันที

ตอนนี้ห้องทรงอักษรไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว การรักษาการย่อมแน่นหนากว่าปกติหลายเท่า องครักษ์ที่นี้ล้วนเป็นคนที่เซวียจานเยี่ย เติ้งจิ้นและหูฉีส่งมา อารักขาหลายชั้น ทำให้วางใจได้

ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้าไปหน้าลาน จางเฉิงก็ไล่ขันทีที่ปัดกวาดลานอยู่ออกไป สั่งให้ออกไปให้ไกล แน่นอน เหลือเจ้าจินเลี่ยงเอาไว้คอยรับใช้ผู้เดียว

“จางปั้นปั้น ร่างราชโองการ เราจะแต่งตั้งเซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ จะไปสนในราชสำนักนำเสนอทำไมกัน!!”

พอก้าวเข้าห้อง ฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่ทันประทับนั่ง ก็ตรัสอย่างโกรธแค้นฮึดฮัดขึ้น รับปากที่ตำหนักฉือหนิงกงไปแล้ว แต่พอก้าวเข้าห้องมาตรัสเช่นนี้ จางเฉิงเข้าใจดีกว่าเป็นระบำยโทสะเท่านั้น ยิ้มเฝื่อนในใจ ทูลเตือนไปว่า

“ฝ่าบาท จางซื่อเหวยวางแผนไว้นานแล้ว ตอนนี้ดูแล้ว ดีไม่ดีตั้งแต่เดือนห้าแล้ว ทางไทเฮาและเฝิงเป่าก็คงเปิดทางไว้แล้ว วันนี้หลังเลิกประชุม สำนักรักษาความสงบมีข่าวมา ขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงต่างพากันเขียนบทความสรรเสริญจางซื่อเหวยให้เป็นมหาอำมาตย์ ฝ่าบาท สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงคงยากแล้ว แม้ว่าฝ่าบาททรงมีราชโองการแต่งตั้งเซินสือหัง แต่ไม่ผ่านการนำเสนอจากราชสำนัก บรรดาขุนนางย่อมร้องเรียนไม่เลิกรา เซินสือหังจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนานได้อย่างไร”

ฮ่องเต้ว่านลี่พิงพนักที่ประทับอย่างแรง ตรัสอย่างโกรธแค้นว่า

“บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นโอรสสวรรค์หรือไม่ เดิมคิดว่าท่านจางไปแล้ว ผ่านเหตุการณ์จลาจลนี้ไปแล้ว เสด็จแม่น่าจะทรงรู้สึกผิดบ้าง คิดไม่ถึงว่ายังเป็นเหมือนเดิม เป็นโอรสสวรรค์นี้ช่างไร้ความหมาย เราไม่สู้ไปเทียนจิน ที่นั่น มีขุนนางซื่อสัตย์ภักดีอย่างหวังทงอยู่”

จางเฉิงถอนหายใจทูลว่า

“ฝ่าบาท วาจานี้ต้องระวังพะยะค่ะ วันนี้ในตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาทรงไม่พอพระทัยแล้ว……”

พอพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบไป เหม่อลอยก่อนจะถอนพระปัสสาสะตรัสว่า

“เรารู้สึกยอมไม่ได้ เสด็จแม่กับต้าปั้นบีบเรา เราเดิมก็เสียเปรียบแล้ว ราชสำนักยังมีมหาอำมาตย์จางซื่อเหวยมาเพิ่มอีกคน เรายังมีที่ยืนให้ออกความเห็นอีกไหม คิดถึงว่าจางซื่อเหวยอยากจะเป็นดังจางจวีเจิ้ง มาขี่อยู่เหนือเรา จะให้รับได้อย่างไร ยอมรับไม่ได้จริงๆ !!”

ได้ฟังดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงกลับหัวเราะส่ายหน้าทูลว่า

เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ผ่อนคลายลง จางเฉิงก็ยิ้มกล่าวว่า

“เซินสือหังแม้ว่าเก็บตัว แต่ก็มีลูกศิษย์ในราชสำนักอยู่ มีประวัติการทำงานมานาน ชื่อเสียงบารมีไม่น้อย หากว่าได้ขึ้นเป็นมหาอำมาตย์ตามกระแสปกติ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ควรเป็น ไม่ใช่เป็นเพราะพระเมตตาฝ่าบาท หากจางซื่อเหวยได้เป็น แล้วไปบีบหนักเข้า ฝ่าบาทค่อยแสดงพระเมตตา ยามนั้นเขาย่อมซาบซึ้งยิ่งกว่า”

พอกล่าวจบ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ผ่อนลงมาก ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง ตรัสขึ้นสุรเสียงไม่พอพระทัยว่า

“หากเป็นเช่นนี้ หวังทงได้เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเกรงว่าก็คงยาก เสด็จแม่ต้องมีตัวเลือกอื่นแล้ว จางซื่อเหวยย่อมไม่หันมาทางหวังทง”

ได้ยินเช่นนี้ จางเฉิงเองก็ไม่รู้ทูลเช่นไร สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจยาว

*************

“พวกเฉินต้าเหอสี่คนทิ้งไว้ที่นี่ให้ดูแลอาการบาดเจ็บให้หายก่อน เดินทางไกลไม่เป็นผลดีต่อบาดแผล!”

หวังทงนั่งอยู่บนรถม้ากล่าวกับหลี่ว์วั่นไฉและหลี่เหวินหย่วน หลี่ว์วั่นไฉยิ้มประสานมือกล่าวว่า

“ล้วนเป็นคนกันเอง น้องหวังวางใจได้ สัมภาระทั้งหมดจะส่งกลับไปเอง บรรทุกของเบากลับไปก่อนก็สะดวกกว่า”

หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า

“เมืองหลวงแม้ว่าสงบแล้ว แต่ก็ยังต้องป้องกันภัยแฝงเร้น ทุกท่านต้องระมัดระวังตัว!”

หลี่ว์วั่นไฉและหลี่เหวินหย่วนก้มคำนับพร้อมกัน หลี่กุ้ย หวังซื่อ เถียนหรงหาวและคนอื่นๆ ก็ก้มคำนับตาม หวังทงประสานมือบนรถม้า เร่งม้าจากไป พวกหลี่หู่โถวติดตามไปด้านหลัง พอออกไปนอกถนน ก็มีชายฉกรรจ์ที่นั่งยองๆ อยู่กลางแดดลุกขึ้นยืน

ร้านน้ำชาเยื้องกับปากทาง มีคนสองคนโยนเหรียญทองแดงจ่ายเงิน รีบเดินออกจากร้านน้ำชา……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!