ตอนที่ 67 ของกลาง? ของในวัง?
หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นายกองพันโจวหลินปิ่งแห่งองครักษ์เสื้อแพรเป็นอีกโลกที่หวังทงไม่อาจพานพบ แต่ตอนนี้ นายกองพันผู้นี้ไม่นับว่ายิ่งใหญ่อันใด
หวังทงก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เหอจินอิ๋นมีที่พึ่งพิงใดกันจึงเสียงแข็งเช่นนี้ได้ แต่หวังทงก็ไม่สนใจ ขันทีโจวอี้กล่าวได้ถูกต้อง มีความสามารถแสดงแสนยานุภาพไยจะไม่นำมาใช้ ให้ผู้อื่นรู้ความสามารถและที่พึ่งพิงของเราบ้าง จะได้รู้สึกหวั่นเกรงบ้าง การงานจะได้จัดการง่ายขึ้น การตีฝีปากของเหอจินอิ๋นและการต่อสู้เมื่อครู่ทำให้ไฟโทสะของหวังทงลุกโพลงขึ้นมา ประกอบกับเจ้าจินเลี่ยงก็ยังจำคนผู้นี้ได้อีกด้วย
“ให้เกียรติเจ้าแต่กลับไม่รับไมตรี ก่อนเถ้าแก่เจ้าสองสามีภรรยาจะเสียชีวิต เจ้าเข้าออกบ้านนั้นหลายครา ยังกล้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน การต่อต้านขัดขืนเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่ากินปูนร้อนท้องรึ!!”
คิดไม่ถึงว่าเอ่ยอ้างนายกองพันโจวหลินปิ่งแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดแม้แต่น้อย เหอจินอิ๋นสีหน้าสับสน น้ำเสียงอ่อนลง กล่าวเสียงเบาว่า
“ใต้เท้า ข้าน้อยเปิดบ่อนพนัน ปีใหม่เช่นนี้ ใต้เท้าพาคนมาบุกรุก ลูกน้องข้ายังคิดว่าคนถิ่นอื่นมาหาเรื่อง ถึงได้เข้าใจผิดไป เข้าใจผิดไปแล้วจริงๆ”
หวังทงไม่สนคำอธิบายของเขา หันหน้ากลับไปออกคำสั่งทันทีว่า
“เข้าไปค้น ใครคิดขวาง ก็จัดการได้เลย หากเกิดเรื่องฟ้าผ่าลงมาอันใดข้าจะรับเอาไว้เอง!”
คนชุดดำที่ยืนอยู่ตอนนี้ไม่ได้มากเท่ากับคนของหวังทงแล้ว ท่าทางเอาเรื่องดุดันของหม่าซานเปียว ฝีมือเก่งกาจของ หลี่เหวินหย่วน ยังมีการร่วมมือกันของบรรดาคนของซุนต้าไห่ ทุกคนทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว พอหวังทงพูดจบ ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวาง หากหลบช้าไปก้าวเดียว ไม้พลองของหม่าซานเปียวที่อยู่ด้านหน้าก็จะฟาดใส่ทันที
หลี่หูโถวรีบจูงมือเจ้าจินเลี่ยงตามไป พลางบ่นงึมงัมต่อว่าซานเปียวไม่หยุดว่า
“พี่หม่าไม่ยุติธรรม ทิ้งเสี่ยวเลี่ยงให้ข้า ออกไปแสดงฝีมือคนเดียว”
เหอจินอิ๋นเห็นหวังทงเดินตรงไปทางบ่อนพนัน ก็ยังคิดหาทางรับมือไม่ทัน ด้วยความร้อนใจที่เมื่อครู่เสียรังวัดไป ก็รีบรุดแซงหน้าขึ้นมากล่าวว่า
“ใต้เท้า ท่านมีอนาคตไกล ไยต้องจริงจังกับเรื่องนี้ด้วย เสียน้ำใจกันไปก็คงไม่ดีนัก มีอะไรพวกเราปรึกษากันได้ ไม่จำเป็นต้องทำกันเช่นนี้…”
กล่าวได้เพียงครึ่งเดียวก็ไม่อาจกล่าวต่อไปได้ หวังทงชักมีดสั้นจี้ไปที่คอของเขา กล่าวเสียงเยียบเย็นว่า
“แต่ต้นจนจบเจ้าก็ไม่ได้กล่าวว่าตนเองไม่เคยไปบ้านสกุลเจ้า แต่ต้นจนจบความผิดที่ข้ากล่าวหาเจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธ เถ้าแก่เหอ อย่าได้คิดหนี มีดสั้นนี้คมมากนัก”
เหอจินอิ๋นกำลังคิดจะเอ่ยต่อ มีดสั้นในมือหวังทงก็กดลึกลงไปอีก จึงรีบหยุดไม่กล้ากล่าวอะไรมากความต่อ แต่ใบหน้าและแววตาอาฆาตมาดร้ายไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป
วันที่สองหลังปีใหม่นี้ การค้าของหอคุณธรรมดียิ่งนัก ชายชุดดำที่สะบักสะบอมยี่สิบกว่าคนนั้นไม่กล้าขยับ สองคนที่หน้าประตูบ่อนเห็นเถ้าแก่ของตนถูกองครักษ์เสื้อแพรใช้มีดจ่อที่คอ ก็พากันจ้องมองอึ้งไปยืนอยู่ที่ประตูไม่กล้าขยับโดยพลการ
เมื่อเปิดม่านเข้าไป เสียงคนในบ่อนเอะอะวุ่นวาย กลุ่มคนสวมชุดขุนนางเข้ามากลุ่มหนึ่ง นักพนันวงนอกสุดก็เพียงแค่หันมาหรี่ตามอง จากนั้นก็หันไปสนใจโต๊ะพนันกันต่อ
“ปิดประตู ตรวจค้นเสร็จแล้วไล่ออกไปให้หมด จากนั้นพวกเราค่อยค้นทีละห้อง”
หวังทงออกคำสั่งเฉียบขาด คนรอบข้างพากันพยักหน้ารับคำสั่ง ซุนต้าไห่เลียริมฝีปากกล่าวว่า
“ใต้เท้า เงินกองกลางและเงินที่ตรวจค้นได้บนโต๊ะ…”
บ่อนพนันที่นี่เล่นเงินตำลึงกัน เงินทองที่นี่ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ หวังทงหรี่ตามองซุนต้าไห่ ตอบอย่างไม่ยี่หระว่า
“เอากลับไปหอเลิศรส เสร็จเรื่องแล้วข้าจะจัดสรรให้!”
พอกล่าวจบ ซุนต้าไห่และพรรคพวกต่างพากันคึกคักขึ้นมาทันที ทุกคนรู้ว่าใต้เท้าหวังใจกว้างพอ การตรวจสอบบ่อนพนันนี้ ดีไม่ดีประโยชน์ที่ได้ครั้งนี้พอๆ กับเงินเบี้ยหวัดทั้งปีเลยทีเดียว
หม่าซานเปียวกับมือปราบอีกสองคนเฝ้าประตูข้างเอาไว้ เตรียมการทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพ หวังทงตะโกนเสียงดังอยู่ที่ประตูใหญ่ว่า
“องครักษ์เสื้อแพรและศาลซุ่นเทียนสอบคดี!! คนที่ไม่เกี่ยวข้องคุกเข่าลงให้หมด รอตรวจค้น!!”
เสียงตะโกนดังขึ้นครั้งที่หนึ่ง ไม่มีคนสนใจ ครั้งที่สอง คนในบ่อนเงียบเสียงลงไปไม่น้อย ครั้งที่สาม นักพนันในบ่อนพากันเอ็ดตะโรโวยวาย องครักษ์เสื้อแพรและมือปราบที่เฝ้าอยู่ทั้งประตูหน้าและประตูหลังถือไม้พลองฟาดลงไปโดยไม่สนใจว่าจะฟาดโดนอะไร
นักพนันที่มาเล่นพนันที่นี่โดยไม่สนใจครอบครัวในวันที่ 2 ของปีเช่นนี้ พวกหวังทงไม่ออมมือแม้แต่น้อย ไม้พลองฟาดลงหัวบ้าง ใบหน้าบ้าง ทุกคนก็สงบเสงี่ยมกันมากขึ้น
ทยอยกันออกจากประตูไปทีละคน ตรวจค้นอย่างละเอียดทีละคน ขณะกำลังวุ่นวายเมื่อสักครู่ ผู้ที่มีใจละโมบก็ถือโอกาสช่วงชุลมุนวุ่นวายแอบลักเงินบนโต๊ะพนันไป แต่ก็ถูกตรวจค้นออกมาจนหมด
ซุนต้าไห่คุ้นเคยพวกยากจนเป็นอย่างดี ตอนตรวจค้นหน้าประตูจึงละเอียดมากเป็นพิเศษ นักพนันและเจ้าหน้าที่บ่อนนอกจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่ เงินทองอะไรก็ไม่เหลือให้พวกเขาติดตัวออกไป
“โอ้โหเฮะ เกือบสี่ร้อยตำลึงเงิน รับโชคแล้วเรา”
ซุนต้าไห่รวบเงินบนโต๊ะพนันมากองรวมกันอย่างดีอกดีใจ มือปราบสองคนก็มีสีหน้ายินดี เงินพวกนี้พวกเขาต้องมีส่วนแบ่งแน่นอน
“ห่อเงินรวมกันไว้ อย่าเพิ่งแตะต้อง ไปตรวจค้นแต่ละห้องให้ข้าก่อน”
หวังทงตำหนิเสียงเยียบเย็น เปลี่ยนองครักษ์เสื้อแพรมาคุมตัวเหอจินอิ๋นแทน ใช้ดาบปักวสันต์จ่อไว้ที่คอ เหอจิน อิ๋นเอียงหัวไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย แต่ดวงตาทั้งสองข้างราวกับมีประกายไฟพุ่งออกมา สีหน้าอาฆาตมาดร้ายอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ หวังทงยังจะสนใจความรู้สึกของเหอจินอิ๋นอีกหรือ เขาตามเข้าไปตรวจทุกห้อง นอกจากห้องโถงใหญ่ในบ่อนแล้ว ยังมีเรือนด้านข้างอีกสามห้อง หนึ่งในนั้นมีเงินซุกอยู่อีกสามร้อยกว่าตำลึง แน่นอนว่ารวบเอามาด้วย ห้องที่สองวางเตียงนอนสองสามตัว ห้องที่สามกลับใส่กุญแจไว้
กุญแจมีไว้ป้องกันคนดีไม่ได้มีไว้ป้องกันคนชั่ว หม่าซานเปียวใช้มีดฟันลงไปสองสามทีก็กระแทกหลุดทันที หวังทงจ้องมองของด้านในสักครู่หนึ่ง ก็ออกคำสั่งเสียงเรียบว่า
“พาเสี่ยวเลี่ยงและเหอจินอิ๋นมาที่นี่!”
ในห้องนี้มีสินค้าวางกองระเกะระกะ มากที่สุดก็คือผ้าแพร ผ้าไหมและผ้าฝ้าย หวังทงเห็นของพวกนี้รู้สึกคุ้นตามาก เขาเคยคุยเรื่องร่วมทุนกับเถ้าแก่เจ้า เคยได้ชมคลังสินค้าของร้านสินค้าแดนใต้ราวกับว่าเคยเห็นสิ่งของเบื้องหน้าเหล่านี้ แม้ว่าจะมีร้านขายผ้าและร้านผ้าแพรผ้าไหมอยู่ในเมือง แต่กำไรที่มากที่สุดของร้านสินค้าแดนใต้ก็คือผ้าแพรผ้าไหมและผ้าฝ้าย ไม่ว่าขายส่งหรือขายปลีกก็ล้วนกำไรดี
หวังทงจำได้แม่นยำว่า ตอนแรกที่คุยเรื่องร่วมทุน เถ้าแก่เจ้ายังเอ่ยว่าจะใช้ตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรเพื่อเปิดทางสะดวก ให้เรือขนผ้าแพรผ้าไหมและผ้าฝ้ายพวกนี้มาให้มากหน่อย
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็นำคนที่ต้องการเข้ามาพอดี ท่าทางการแสดงออกของเจ้าจินเลี่ยงที่อายุเพิ่งเจ็ดขวบนั้นสงบนิ่งเกินกว่าผู้ใหญ่หลายคนมากนัก เด็กน้อยยืนอยู่หน้าประตูเรือนข้างเงยหน้าครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ เดินเข้าไป ชี้ไปที่ม้วนผ้าแพรที่มัดรวมกันไว้กล่าวว่า
“นี่เป็นของบ้านข้า ยังมีตราประทับอยู่ตรงนี้?”
เป็นปกติที่แต่ละร้านค้ามักจะมีตราประทับของตนเอง เมื่อมีตราแยกแยะได้ก็สะดวก หวังทงเหลือบมองไปทางเหอจินอิ๋นแวบหนึ่ง แต่กลับหันไปถามหวังซื่อกับหลี่กุ้ยที่อยู่ข้างๆ ว่า
“ของกลางพร้อม เช่นนี้ต้องโทษอย่างไร”
“สังหารผู้อื่น มุ่งทรัพย์สิน มีโทษหนักโบย 100 ที ประหารทันที ริบทรัพย์สินทั้งหมดที่มี…”
หลี่กุ้ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เหอจินอิ๋นที่อยู่ด้านหลังถึงกับทนต่อไปไม่ไหว ส่งเสียงคำรามดังว่า
“ใต้เท้า นี่ล้วนเป็นของที่ตระกูลเจ้านำมาใช้หนี้”
หวังทงหันกลับไปด้วยท่าทีเย็นชา ถามเสียงดุดันว่า
“เถ้าแก่เจ้าจะไปมาหาสู่อะไรกับเจ้า เขาเป็นคนดี จะไปติดเงินเจ้าได้อย่างไร?”
“ใต้เท้า…ใต้เท้า เจ้าโหย่วไฉมาเล่นที่หอรวมคุณธรรมเสียไปสองหมื่นตำลึง…”
หวังทงเดินตรงเข้ามาตบหน้าไปฉาดหนึ่ง ครั้งนี้ลงมือไม่เบา องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ด้านข้างรีบขยับดาบออกเล็กน้อย แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่คมดาบก็ยังบาดคอเป็นแผล ใบหน้าครึ่งหนึ่งเขียวช้ำ หวังทงถามเสียงนิ่งเรียบว่า
“การค้าวันนี้ของเจ้าดีมาก บนโต๊ะใต้โต๊ะเก็บมาได้ทั้งหมด 700 กว่าตำลึง อย่างไรกัน ถึงกับมีการแพ้ชนะได้ถึงสองหมื่นตำลึง กินคำโตจริงนะ วาจาบัดซบเช่นนี้ไปพูดที่ศาลซุ่นเทียนละกัน หวังซื่อ สวมเครื่องจองจำ ต้าไห่ ซานเปียว นำคนกับของไปได้!!”
การกระทำที่ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อยเช่นนี้ทำให้เหอจินอิ๋นรู้สึกลนลานขึ้นมาในที่สุด อีกฝ่ายไม่กลัวเกรงสิ่งใด ไม่กังวลกับสิ่งใด เรื่องราวยิ่งถึงขั้นไม่อาจประสานรอยร้าวได้อีก เห็นมือปราบนำเครื่องจองจำปรี่เข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในที่สุดก็ทนไม่ไหว กัดฟันตะโกนเสียงดังว่า
“ใต้เท้าหวัง ของเหล่านี้และหนี้ที่ติดค้างนั้นล้วนเป็นของกงกงในวัง ข้าน้อยเพียงแค่ทำตามคำสั่ง ใต้เท้าทำเช่นนี้ ข้าน้อยลำบากใจ!!”