Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 713

ตอนที่ 713 นอกย่อหย่อน ในเข้มงวด วันวานวันนี้

เดือนแปด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 เมืองหลวงช้าเร็วก็ต้องเริ่มหนาว งานขององครักษ์เสื้อแพรเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เรื่องยุ่งๆ ของหวังทงก็เริ่มน้อยลง ตั้งแต่ปลายเดือนเจ็ดมา หวังทงส่งจดหมายไปเทียนจิน มีรายงานจากเทียนจินกลับมาอยู่เสมอ

การฝึกของทหารราบและทหารปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยเทียนจินก็เริ่มเข้มแข็งมากขึ้น กำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยก็เข้มแข็งมากขึ้น ร้านสามธาราก็เริ่มเตรียมเสบียงให้ทหารกองกำลังหู่เวย กองกำลังหู่เวยก็เริ่มเตรียมยุทโธปกรณ์

โรงช่างสามธาราเริ่มเพิ่มเวลาทำงาน ผลิตอาวุธต่างๆ โกดังตุนเสบียง โรงบ้านก็เริ่มกักตุนเสบียง ทุกอย่างเตรียมการขนานใหญ่

หลังมาเมืองหลวง แม้ว่าการงานจะยุ่ง แต่หวังทงก็ยังไม่ลดเวลาการฝึกทุกวันลง ตอนครึ่งหลังเดือนเจ็ดมา หวังทงกับทหารส่วนตัวก็เพิ่มเวลาการฝึก ดีที่ร่างกายยังหนุ่มจึงแข็งแรง ทานทนไหว

ตอนนี้หยางซือเฉินก็มีงานประจำ ทุกวันต้องนั่งรถม้าออกไปโรงบ้านที่อยู่ทางประตูตะวันตกของเมืองหลวง ไปดูแลเรื่องการเก็บสะสมเสบียงของโรงบ้าน จากนั้นก็นั่งรถม้ากลับ

หวังทงตอนนี้ทรงอิทธิพลในเมืองหลวง ย่อมมีคนจับตาดู แม้หยางซือเฉินจะเป็นบัณฑิตจวี่เหริน แต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นที่ปรึกษาของหวังทง นับได้ว่าเป็นคนมีนาย คนเช่นนี้ ไปโรงบ้านจัดการเรื่องเช่นนี้ นับว่าแปลกมาก แต่ก็มองไม่ออกว่าแปลกที่ใด จึงไม่สนใจต่อ

ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ร้านสามธาราและทางหวังทงส่งคนไปมณฑลซานซี กลับมารายงานเมืองหลวง มาพักค้างคืนก่อนที่โรงบ้าน ก่อนจะได้พบหยางซือเฉินในวันรุ่งขึ้น

มีพลส่งจดหมายจากเทียนจินมาทุกวัน พวกที่กลับมาจากมณฑลซานซีก็มีมา ตอนนี้เป็นเช่นนี้ทุกวัน……

ทุกวันหลังรายงานเสร็จ หยางซือเฉินยังมีภารกิจอื่นอีก ก็คือนำเรื่องธรรมเนียมขุนนางแผ่นดินหมิงมาเล่าให้หวังทงฟัง ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรมานาน หวังทงพบว่าตนเองต้องเรียนรู้อะไรอีกมา อย่างไรก็เป็นหน่วยงานใหญ่ที่เกี่ยวพันทั่วหล้า มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รายละเอียดอยู่มาก จะต้องเข้าใจให้มากจึงจะดี

“สวีเจี้ยหลังจากออกจากคณะเสนาบดีใหญ่ไปดูแลกิจการตระกูล ว่าไปแล้วก็น่าสนใจ ตอนนั้นกาวก่งกุมอำนาจ ใต้หล้าบอกว่าขุนนางชั่ว สวีเจี้ยกลับได้รับการสรรเสริญ แต่ดูกิจการตระกูลกาวก่งสุดท้ายแล้วสู้กิจการของสวีเจี้ยไม่ได้ เรียกได้ว่าไม่ถึงหนึ่งในสี่ของสวีเจี้ยด้วยซ้ำ……ตอนนั้น ฮ่องเต้ซื่อจงทรงซ่อมพระตำหนัก กาวก่งยื่นฎีกาคัดค้าน จึงไม่ทรงโปรดอีกต่อไป แต่สวีเจี้ยกลับให้สวีพานบุตรชายที่เป็นนายกองกรมโยธาจัดการงานนี้ หลังซ่อมเสร็จ สวีพานจึงได้กลับเมืองซงเจียง มีคนบอกว่า ตระกูลสวีร่ำรวยใหญ่จากงานซ่อมแซมตำหนักครั้งนี้”

หยางซือเฉินกำลังนั่งตัดแยกเอกสารพลางใส่เครื่องหมายสังเกตไป พลางเล่าให้หวังทงฟังว่า พอสวีเจี้ยตาย ในวังให้คำยกย่องอย่างดี หวังทงย่อมเข้าใจว่าหลังจากหยางซือเฉินถูกเซินสือหังปฏิเสธมา ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยหวั่นเกรงยามวิจารณ์สิ่งใด พอเล่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่เกรงกลัวที่จะวิพากษ์วิจารณ์วงการขุนนาง จึงค่อนข้างเป็นความจริงอยู่มาก

“จางจวีเจิ้งดำเนินนโยบายเก็บภาษีที่ดินและแรงงาน ก็เพื่อตรวจสอบที่ดินที่ชาวบ้านมาฝากไว้กับพวกตระกูลใหญ่ สวีเจี้ยที่เมืองซงเจียง เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ทั่วเขตปกครองใต้ ผู้ใดกล้าล่วงเกิน ที่ดินมากมาย และเมืองซงเจียงยังเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ที่สุดในใต้หล้านี้ ที่ดินเช่นนี้ ก็เหมาะแก่การทำไร่ทำนาเพาะปลูกหลายอย่าง เป็นแหล่งเงินทองทีเรียกได้ว่ามากมี คนที่มาพึ่งพาก็มาก ตระกูลใดจะร่ำรวยไปกว่าตระกูลสวีได้อีก หลายตระกูลถูกกลืนกินหายไป ว่ากันว่า ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งก็มีที่ดินถึงสี่แสนกว่าหมู่แล้ว……”

แม้ว่าหวังทงจะเห็นภูเขาทองทะเลเงินมาจนชิน แต่พอได้ยินตัวเลขเช่นนี้ก็ยังต้องอ้าปากค้าง ที่ดินสี่แสนกว่าหมู่ในเมืองซงเจียง ในเขตแดนใต้นี้ ที่ใดไม่ใช่ที่ดินที่ดีกัน ที่ดินเหล่านี้ล้วนเป็นที่ดินสร้างเงินทองมหาศาล และด้วยตำแหน่งขุนนางตระกูลสวี ก็ย่อมงดเว้นจ่ายภาษี ก็ยิ่งทำให้ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น

“ไห่รุ่ยปฏิบัติหน้าที่ พอถึงเขตแดนใต้ก็ฟ้องตระกูลสวีว่ายึดครองที่นามากมาย ไห่รุ่ยทำงานตรงไปตรงมา เริ่มแรกก็ให้ตระกูลสวีคายที่นาที่ฮุบไว้มากออกมา หลังจากตระกูลสวีคายออกมาหลายหมื่นหมู่ ไห่รุ่ยก็ยังไม่หยุด ต้องสืบที่มาทั้งหมดให้ได้ ปรากฏว่าตระกูลสวีมอบทองคำสามหมื่นให้เจ้ากรมเฟิ่งเสียงในกรมปกครอง จากนั้นเฟิ่งเสียงก็ยื่นฎีกาไห่รุ่ยว่าเขาสังหารภรรยาน้อยตนเอง ใต้เท้าก็รู้ จางจวีเจิ้งมาถึงตำแหน่งเช่นนั้นได้ ย่อมเกี่ยวพันกับสวีเจี้ยส่งเสริมไม่น้อย ไห่รุ่ยยังไร้พรรคไร้พวก หากปล่อยให้ไห่รุ่ยอยู่ในตำแหน่งต่อ เกรงว่าจางจวีเจิ้งเองก็คงไม่วางใจ จึงอาศัยโอกาสนี้ปลดไห่รุ่ยจากตำแหน่ง ในวงการมีคำพูดหนึ่งว่า สวีเจี้ยขับไล่ไห่รุ่ยออกจากวงการขุนนาง ทำให้ราชสำนักปลอดภัย แต่จางจวีเจิ้งจากไปแล้ว สวีเจี้ยก็จากไปแล้ว ไห่รุ่ยที่ว่างอยู่บ้านเกิดในเมืองหนานจิงก็ควรได้เวลาคืนตำแหน่งแล้ว”

“ที่ดินสี่แสนกว่าหมู่ๆ โอโฮ กิจการตระกูลยิ่งใหญ่จริงๆ !”

หวังทงส่ายหน้าสบถอย่างตกใจ หยางซือเฉินหยิบเอกสารฉบับหนึ่งคลี่ออก วางลงบนโต๊ะ ยิ้มตอบว่า

“เมืองต่างๆ ทางใต้ล้วนเป็นตระกูลร่ำรวยเช่นนี้ ล้วนว่ากันว่าไปเป็นขุนนางในเมืองอู่ข้าวอู่น้ำเป็นความสุขยิ่งในโลกมนุษย์นี้ แต่หลายปีนี้หากไม่ใช่พวกตระกูลใหญ่ ผู้ใดกล้าไปเป็นขุนนางทางใต้กัน เดินบนถนน ไม่แน่อาจปะทะเข้ากับคนที่เกี่ยวข้องกับคณะเสนาบดีใหญ่ ล่วงเกินไม่ไหว ขุนนางท้องที่ตามศาลที่ทำการต่างๆ ก็ล้วนเป็นดังบ่าวรับใช้ส่วนตัวของตระกูลใหญ่เหล่านี้ อะไรก็จัดการไม่ได้ ถูกควบคุมไปหมด ตำแหน่งขุนนางเช่นนี้ ย่อมเป็นงานยากลำบาก”

เรื่องพวกนี้ได้ฟังแล้วก็สนุกดี หวังทงฟังไม่เบื่อ ที่ไหนๆ ก็ว่าสวีเจี้ยเป็นขุนนางฉลาดคนดี คิดให้ลึก คิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องลับๆ เช่นนี้อีก ไห่รุ่ยชื่อนี้ ก็ได้ยินมาในชาติก่อนไม่น้อย ได้ยินวาจาพวกนี้แล้วจึงถามขึ้นว่า

“เช่นนี้สามหมื่นนั่นควรเป็นเรื่องลับสุดยอด เหตุใดจึงแพร่งพรายออกมาได้?”

“เขตปกครองใต้ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่เกลียดชังสวีเจี้ยเข้ากระดูกดำ ย่อมต้องไปสืบความมา กอปรกับข้าเคยเป็นคนของใต้เท้าเซินก็ย่อมได้ฟังเรื่องลับพวกนี้มา”

“เรื่องพวกนี้สามารถเอาไปแต่งเป็นบทงิ้วได้ ย่อมมีคนอยากฟัง”

หวังทงกล่าวออกมา หยางซือเฉินยิ้มรับคำกล่าวว่า

“เรื่องเช่นนี้แต่งเป็นบทงิ้ว เกรงว่าในวังคงไม่ให้แสดง พูดถึงเรื่องนี้ บทงิ้วที่พวกนั้นแต่งมาข้าได้อ่านแล้ว เริ่มแรกก็ไม่เลว ตอนนี้กลับยิ่งดูบ้านๆ ลงเรื่อยๆ เรื่องที่อ่านอยู่ตอนนี้เป็นบทใหม่ ตรงนี้ที่ว่า ‘เจ้าลูกอกตัญญู ต้องให้แม่เจ้าตายไปจึงจะพอใจหรือ’ วาจานี้ต่างอันใดกับชีวิตบ้านๆ ทั่วไป”

พอได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็หัวเราะดังลั่น ขัดจังหวะหยางซือเฉินขึ้นกล่าวว่า

“เรื่องพวกนี้เราก็แสดงให้ชาวบ้านดู หากแต่งวาจาสวยหรูไปดูไม่รู้เรื่อง จะไปได้ประโยชน์อันใด ท่านหยางไม่รู้หรอกว่า ทุกครั้งที่ได้บทละครงิ้วมา ข้าก็จะเอาให้คนไปอ่านให้คนงานฟัง อ่านให้แค่พวกไม่รู้หนังสือฟังพวกนั้น หากฟังไม่เข้าใจก็จะเอากลับไปแก้ใหม่ ตอนนี้ได้ยินท่านหยางว่ามาว่าบ้านๆ เกินไป ข้าคิดว่าใช้ได้แล้ว”

ได้ยินหวังทงสัพยอกเช่นนี้ หยางซือเฉินก็มีท่าทีขัดเขิน ยิ้มกล่าวว่า

“ในปีนั้นไป๋จวีอวี้แต่งกลอน ก็ต้องให้คู่ครองอ่าน นางเข้าใจ จึงให้ผู้อื่นได้อ่าน”

“หากเป็นข้าพูด ก็คงใช้คำว่า ภรรยา เรียก คู่ครอง แล้ว ฟังแล้วงงอยู่สักหน่อย”

กล่าวจบ สองคนสบตากัน ก่อนจะหัวเราะขึ้นพร้อมกัน หยางซือเฉินดึงเอกสารหนึ่งออกมา ส่งให้หวังทงกล่าวว่า

“เมื่อวานได้รายงานจากมณฑลซานซีมา ข้าได้จับประเด็นออกมา สินค้าส่วนที่ส่งไปขายตอนเหนือ ก็เป็นแค่เกลือกับผ้า หากมีหลายร้านขายเครื่องเหล็กหรือถึงกับพาตัวช่างไป ว่ากันว่าช่างคนหนึ่งจะแลกม้าได้ 10 ตัว ทางลู่อันมีช่างเหล็กมาก เรียกได้ว่าเป็นการค้าใหญ่”

สีหน้ายิ้มแย้มหวังทงหายไป ค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น ได้ยินหยางซือเฉินกล่าวจบ ก็ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำร้ายคนบริสุทธิ์แล้ว ลงมือได้เลย”

หยางซือเฉินพยักหน้า หยิบไม้ไผ่ขึ้นมาเขียนวันที่ลงไป จากนั้นส่งให้หวังทง หวังทงควักเอาตราประทับออกมาประทับลงไป หยางซือเฉินกล่าวว่า

“บ่ายนี้ข่าวจะแพร่ทั่วเมืองหลวง ม้าเร็วไปกลับ อีกห้าวันทางมณฑลซานซีก็จะรู้”

ป้ายไม้ไผ่ที่ลงวันที่และตราประทับ หลังหยางซือเฉินออกจากเมืองหลวงไปแจ้ง ยังต้องทำลายป้ายนี้ทิ้ง สาเหตุหลักก็คือเป็นหลักฐานยืนยันว่าคำสั่งจริง หวังทงตั้งกฎนี้ขึ้นมาเงียบๆ

ขณะกำลังคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก ทหารหน้าประตูรายงานว่า

“นายท่าน มณฑลซานซีมีเรื่องรายงานมา”

หวังทงสั่งไว้ว่า หากมีรายงานจากองครักษ์เสื้อแพรมณฑลซานซีมา ต้องแจ้งในทันที กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรรับหน้าจัดการเอกสารต่างๆ โหวเจินในตำแหน่งก็ย่อมรีบคัดลอกมาให้ชุดหนึ่ง บางทีก็เอาต้นฉบับมาให้ดูเลย การข่าวรวดเร็วมาก

ด้านในตอบรับ ด้านนอกจึงกล้าเปิดประตูออก หยางซือเฉินเดินไปรับเอกสาร หวังทงหยิบเอกสารมาเปิดออกอ่านทันที สีหน้าผ่อนคลาย อ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียดจริงจัง อ่านจบปิดเอกสารลง สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ลุกขึ้นยืนเดินไปมาด้วยความตื่นเต้น

“กำลังกังวลว่าไม่มีเหตุผลไปมณฑลซานซี ทางนั้นก็ส่งเรื่องมา ฟ้าคุ้มครองเราจริงๆ !!”

พูดไปก็ส่งเอกสารให้หยางซือเฉิน หยางซือเฉินเปิดออกอ่านด้วยท่าทีงงๆ หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“วันนั้นจางเสวียเหยียนกล่าวถึงรายงานงบประมาณการใช้จ่ายของชายแดน กล่าวถึงเบี้ยพระราชทานของบรรดาเชื้อพระวงศ์ บังเอิญจริง พูดถึงเบี้ยพระราชทานของบรรดาเชื้อพระวงศ์ เมืองไท่หยวนกับเมืองต้าถงมีเรื่องแล้ว เรื่องเช่นนี้ ต้องให้ขันทีในวังหรือขุนนางคนสนิทไปจัดการ นอกจากข้าแล้วจะเป็นผู้ใด……”

กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไปก่อนจะกล่าวต่อว่า

“ใต้หล้านี้ล้วนรู้สึกว่าเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ร่ำรวย แต่ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้อาศัยเสบียงอาหารยังชีพเช่นกัน น่าขัน น่าสงสาร!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!