Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 722

ตอนที่ 722 ที่หวังทงทำ ขุนนางไม่เข้าใจ

พักอยู่ที่ทำการกรมปกครองมณฑลซานซีได้สองสามวัน หวังทงก็พบเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงเรื่องอื่น ทุกคนก็พากันเก็บท่าทีสงวนคำพูด แต่พอพูดถึงเรื่องเบี้ยหวัดพระราชทานแก่เชื้อพระวงศ์ ทุกคนก็จะออกมาแสดงความเห็นล้นหลาม

หวังทงเป็นผู้แทนพระองค์ มาตรวจสอบมณฑลซานซีเรื่องค้างเบี้ยหวัดพระราชทานแก่เชื้อพระวงศ์ ทำให้เชื้อพระวงศ์ไปล้อมที่ทำการ ว่ากันว่าการค้างเบี้ยหวัดเชื้อพระวงศ์ ตามหลักขุนนางท้องถิ่นผิด แต่ขุนนางท้องถิ่นซานซีกลับไม่คิดเช่นนี้

“……ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจริงๆ ……”

นี่เป็นวาจาจากใจหวังทง ไม่คาดหวังเรื่องขุนนางมือสะอาดแล้ว พวกเขาอาจเข้าไปพัวพันกับเบี้ยหวัดเชื้อพระวงศ์ แต่อย่างไรก็ควรมีขอบเขตบ้าง ราชสำนักจ่ายเงินมา ท้องที่ก็ย่อมต้องหักค่าผ่านทางไว้ แต่ไม่ใช่หักไว้หมด การฮุบกินเช่นนี้น่าเกลียดไม่ว่า แต่ยังถูกจับได้ได้ง่ายมาก

เรื่องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขุนนางท้องถิ่นจะโง่เพียงใด ก็ไม่ควรโง่ถึงขั้นหักมาเป็นหลายสิบปี และไม่ให้สักแดงเดียว เหตุใดหลายสิบปีมานี้ เปลี่ยนขุนนางไปมากมาย ก็ยังเหมือนเดิมเช่นนี้ไม่เปลี่ยน

“ใต้เท้าหวังหลายวันนี้ได้อ่านเรื่องพวกนี้มา คิดว่าคงได้เห็นตัวเลขทางการแล้ว ไม่พูดถึงที่อื่น เอาแค่เมืองต้าถงเมื่อ 60 ปีก่อน ทุกปีเบี้ยหวัดเชื้อพระวงศ์มีถึงเจ็ดหมื่นหกพันตำลึง 60 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตัวเลขไม่เปลี่ยน แต่เชื้อพระวงศ์มากขึ้นหากยังคงแจกจ่ายเบี้ยมาแบบเดิม เกรงว่าคงต้องแสนเก้าหมื่นสี่พันจึงจะพอ ไม่ปิดบังใต้เท้าเลย ข้าน้อยกัดฟันไปดึงเอาจากส่วนเมืองต้าถงออกมาหลายส่วน แต่หากเบี้ยเจ้าหน้าที่ไม่ออก งานซ่อมแซมเมืองต้องใช้ไหม ที่ทำการต้องใช้เงินไหม เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ตอนนี้เบี้ยหวัดของคนทำงานที่ทำการเราเองก็จ่ายเบี้ยหวัดเพียงแปดส่วนเท่านั้น เจ้าหน้าที่ไม่มีเงินให้แบ่งแล้ว จะไปมีเงินเหลือให้พวกเบี้ยหวัดเชื้อพระวงศ์ได้อย่างไร”

ที่เรียกว่าแจกจ่ายเบี้ยแค่แปดส่วน เจ้าหน้าที่ไม่มีเงินให้ ก็ย่อมไม่ได้ต้องการบอกว่าเจ้าหน้าที่ทางการลำบาก แต่ต้องการบอกว่าเงินหลวงนั้นไม่พอจริงๆ

แม้ว่าพวกเจ้าหน้าที่ทางการไปขูดรีดเงินมาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความเงินที่ขูดรีดมาได้จะแบ่งให้พวกเชื้อพระวงศ์ เมืองต้าถงเป็นเมืองใหญ่ เงินจากการขนถ่ายสินค้าก็ย่อมไม่น้อย

วาจานี้ฟังแล้วไม่น่าฟังยิ่ง แต่นับประสาอันใดกับหวังทงเองก็รู้ดี นายอำเภอเมืองต้าถงพูดความจริง นายอำเภอเมืองไท่หยวนข้างๆ กระแอมไอ ลุกขึ้นกล่าวว่า

“เรื่องเบี้ยหวัดเชื้อพระวงศ์ แต่บรรพชนมาก็ให้ราชสำนักเป็นผู้ส่งมอบมา หรือไม่ก็ให้ท้องถิ่นเก็บเอาจากภาษีมาให้ แต่ตั้งแต่ปีรัชสมัยเจิ้งถ่ง(ฮ่องเต้อิงจง) มาถึงตอนนี้ ราชสำนักไม่เคยจ่ายสักแดงมาให้ซานซีเลย ล้วนเป็นท้องที่ต้องหากันเอง ภาษีแต่ละรายการก็น้อยมาก ยังต้องเอาไปใช้ที่จำเป็นอีก ไม่อาจนำมาใช้ดูแลทั่วถึง ขอท่านผู้แทนพระองค์เข้าใจเรื่องนี้ด้วย”

“นายอำเภอเมืองไท่หยวน เบี้ยพระราชทานของบรรดาเชื้อพระวงศ์เป็นระเบียบที่ตั้งมาแต่บรรพชน ไยเจ้าจึงกล่าววาจาไร้เหตุผลเช่นนี้ แม้ว่าชาวมณฑลซานซีหิวตาย ทางการไม่จ่ายเบี้ยมา ไม่ซ่อมแซมเมือง ไม่แจกเบี้ยทหาร ก็ต้องจัดการเรื่องพวกนี้ให้ดี ท่านกล่าวเช่นนี้ จะให้ผู้แทนพระองค์ทำเช่นไร ยังไม่ถอยไปอีก!!”

หวังทงไม่ทันได้พูด เจ้ากรมปกครองมณฑลซานซีก็ตำหนิเสียงเยียบเย็น นายอำเภอเมืองไท่หยวนรีบขอโทษอย่างรู้งานก่อนจะถอยกลับไปนั่งที่เดิม

“ใต้เท้าเฉินไยต้องโมโหด้วย นายอำเภอเถาก็พูดความจริง”

สีหน้าหวังทงเรียบเฉยเอ่ยเตือน ในใจเขากระจ่างยิ่ง เจ้ากรมปกครองไม่ได้ตำหนิ แต่เจตนาเดียวกับนายอำเภอเมืองไท่หยวนและเมืองต้าถง

เรื่องเช่นนี้ เขาได้อ่านมาพอรู้บ้าง แต่พวกขุนนางพวกนี้คิดว่าหวังทงอายุยังน้อยคงไม่รู้ จึงได้มาอธิบายรายละเอียดให้ฟังไม่หยุด

พ่อลูกพี่น้องยังกลายเป็นคู่แค้นเดินคนละเส้นทางได้ นับประสาอันใดกับเชื้อพระวงศ์ที่สายสัมพันธ์ห่างกันไกล แม้แต่ฮ่องเต้ปัจจุบันยังไม่ทรงสนพระทัยเท่าไร เหตุใดต้องให้ขุนนางท้องที่มาสนใจด้วย

ความจริง ชาวมณฑลซานซีคิดว่าการที่หวังทงระดับนี้มาจัดการเบี้ยพระราชทานของบรรดาเชื้อพระวงศ์ ก็แปลกใจแล้ว เรื่องนี้ต้องให้คนสนิทฮ่องเต้มาจัดการด้วยหรือ ใช่ว่าเป็นการใช้มีดสังหารไก่มาสังหารโคหรอกหรือ ทุกคนถึงกับเกรงว่า ฮ่องเต้อาจต้องการจัดการวงการขุนนางซานซี จึงได้ส่งหวังทงมาก็เป็นได้

แต่หลายวันมานี้สัมผัสดูแล้ว ใต้เท้าหวังอายุน้อยแต่รู้งานผู้นี้เหมือนว่ามาเพื่อเรื่องนี้อย่างเดียว ทุกวันอ่านแต่เอกสารด้านนี้ หาคนมาสอบถาม ทุกคนจึงเริ่มวางใจ เรื่องเบี้ยพระราชทานของบรรดาเชื้อพระวงศ์ เชื้อพระวงศ์เอาแต่ออกลูกออกหลานไม่หยุด ทุกปีเบี้ยก็ต้องเพิ่ม แต่แผ่นดินหมิงหลายปีมานี้ ส่วนกลางกับท้องถิ่นเคยมีเงินมากมายเสียที่ไหน การรักษาการไหลเวียนของงบประมาณให้คงต่อไปได้ยังยาก ผู้ใดจะมีเงินเหลือมาให้เป็นเบี้ยพระราชทานของบรรดาเชื้อพระวงศ์อีกเล่า

ในห้องเงียบไป หวังทงกล่าวว่า

“เบี้ยพระราชทานเป็นข้าวสารของบรรดาเชื้อพระวงศ์แจกจ่ายไม่ได้ บรรดาเชื้อพระวงศ์คงโกรธแค้นมาก โดยเฉพาะอ๋องและจวิ้นอ๋องที่ร่ำรวย ในใจย่อมรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก อย่างไรก็เป็นลูกหลานราชวงศ์ พวกเราเป็นข้าในพระองค์ ก็ไม่อาจนั่งทนนิ่งดูดายให้พวกเขาเหล่านั้นหิวตายไปเช่นนี้ได้……”

หวังทงเงียบไป ก่อนกล่าวว่า

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การปล้นชิงคลังเสบียงหลวง การด่าลบหลู่ขุนนาง การล้อมที่ทำการก็ย่อมเกิดขึ้นอีก ถึงตอนนั้นทุกท่านคงไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้ แต่ข้ามาคิดดู การกล้ากระทำการเสี่ยงเช่นนี้มีน้อยอยู่ พวกที่มีคุณธรรมยังมีอีกมาก ราชสำนักกับท้องที่แก้ปัญหาเรื่องเสบียงให้ไม่ได้ หรือพวกเขาไม่คิดหากินเอาเองบ้าง?”

ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็เงียบไป ทุกคนไม่เข้าใจว่าใต้เท้าอายุน้อยผู้นี้คิดอันใดอยู่กันแน่ คิดทำการใด นายอำเภอเมืองต้าถงกระแอมไอ ก่อนแทรกขึ้นว่า

“อ๋องและจวิ้นอ๋องย่อมร่ำรวย ไม่ต้องพูดถึง ระดับเชื้อพระวงศ์ ชอบมารวมตัวกัน วันๆ ว่างงาน แต่ไม่ใช่ทุกคนล้วนทำเช่นนี้ได้ แต่ละรุ่นต่อมาก็เริ่มยากจนลง แม้คิดทำการค้าก็ไม่เงินทุน ใต้เท้าคงไม่รู้ว่า แรงงานในร้านค้าเมืองต้าถงส่วนใหญ่เป็นเชื้อพระวงศ์พวกนี้ แต่ได้เงินน้อยกว่าคนอื่นสามส่วน เหตุใดเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าเชื้อพระวงศ์ห้ามออกนอกเมือง ไม่อาจออกไปทำงานนอกเมือง แม้ต้องการจ้างก็ย่อมไม่จ้างคนพวกนี้”

ตั้งแต่ฮ่องเต้จูตี้แย่งชิงราชบังลังก์มาได้ การวางกฎบังคับอ๋องและเชื้อพระวงศ์ก็เริ่มเข้มงวดมากขึ้น ไม่ให้เชื้อพระวงศ์ออกจากพื้นที่บรรดาศักดิ์ นี่เป็นกฏห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาด ขุนนางท้องที่ต้องจับตาดูให้ดี หากออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องถูก ‘จองจำเขต’ ลงโทษหนักมาก

“นายอำเภอเมืองต้าถงกล่าวได้ถูกต้อง!”

หวังทงพยักหน้า จากนั้นก็เสียงดังขึ้นว่า

“เชิญขุนพลทหารทุกท่านเข้ามา”

ขุนพลทหารระดับฝู่กั๋ว ระดับเฟิงกั๋ว ระดับรองเจิ้นกั๋ว ระดับรองฝู่กั๋ว และระดับรองเฟิงกั๋ว ล้วนเป็นตำแหน่งพระราชทานแก่เชื้อพระวงศ์ พอได้ยินเช่นนี้ทุกคนในห้องก็สบตากัน เจ้ากรมปกครองมณฑลซานซี ผู้ตรวจการมณฑลซานซีเข้าไปกระซิบกันว่า

“วันนี้ใต้เท้าหวังเรียกหาเชื้อพระวงศ์ในเมืองรวม 10 คน มารออยู่ข้างนอกแล้ว”

ไม่นาน เชื้อพระวงศ์ 10 พระองค์ก็เดินเข้ามา เชื้อพระวงศ์พบขุนนาง ขุนนางในห้องต้องลุกขึ้นรับ แต่ตั้งแต่หวังทงลงไป ไม่มีผู้ใดขยับตัว

กลับเป็นบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ดูตื่นตกใจ เกือบลงคุกเข่าแทน พวกเขาหากคุกเข่าจริง มีคนเอาไปฟ้อง เกรงว่าคงยุ่งยาก

“ยกเก้าอี้มาให้ขุนพลทุกท่านนั่ง ยกน้ำชามา!”

เจ้ากรมปกครอง มณฑลซานซีว่องไว รีบสั่งการให้คนงานยกน้ำชามา หวังทงส่งคนไปตามมา แต่หวังทงก็เคยพบครั้งแรก

หวังทงอยู่เมืองหลวงได้พบท่าทางวางตัวของบรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เช่นอู่ชิงโหวที่ร่ำรวยมาก เรื่องนี้หวังทงรู้มา พวกนี้เป็นแค่พระญาติฝ่ายนอก วันนี้ได้พบพระญาติฝ่ายในตระกูลจูตัวจริง กลับดูน่าอนาถยิ่ง

เครื่องแต่งกายก็ไม่เรียบร้อย ดูแล้วไม่พอดีตัว ไม่เห็นมีคนอ้วน ล้วนร่างผอมเกร็ง สีหน้าซีดอิดโรย มาอยู่ในที่ทำการกรมปกครองมณฑลซานซี พวกเขาแต่ละคนล้วนดูย่ำแย่

มีคนขยับตัว หวังทงหันไปเห็นมีคนดึงเสื้อลงปิด กางเกงถึงกับปิดขาไม่มิด เดือนเก้าที่ซานซีเริ่มหนาวมากแล้ว คนร่างกายอ่อนแอก็ต้องสวมเสื้อหนาแล้ว คนผู้นี้แม้แต่เสื้อตัวบางก็ยังไม่คลุมร่างกายทั้งหมด ช่างน่าสงสารอย่างมาก

แต่ไม่นาน น้ำชาขนมก็ยกมาวาง น้ำชายังดี แต่ขนมพอยกมา ก็เหมือนแย่งกันกินจนเกลี้ยง ขุนนางต่างเห็นกันอย่างชัดเจน เชื้อพระวงศ์พวกนี้มีสองคนกำลังกิน ที่เหลือเอายัดใส่อกเสื้อ ดูท่าคงต้องการนำกลับไป

สภาพเช่นนี้ ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก แต่นายอำเภอเมืองไท่หยวนกับเมืองต้าถงก็เริ่มคิด ในใจคิดว่าใต้เท้าหวังทำเช่นนี้ ต้องการอันใดกันแน่ หรือว่าคิดจะให้ทุกคนได้เห็นว่าเชื้อพระวงศ์พวกนี้น่าสงสารเพียงใด ทำให้ทุกคนมีจิตกุศลแจกเบี้ยข้าวสารให้หรือ? เด็กหนุ่มอายุน้อยจริงๆ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ นี่เป็นเรื่องเงินเรื่องทองเชียวนะ จะให้มีจิตกุศลก็เปลี่ยนจุดยืนงั้นหรือ

“พวกเจ้าไปปล้นเสบียงทางการหรือ?”

ในตอนนั้นเอง หวังทงก็ถามขึ้นก่อน ทุกคนตัวแข็งทื่อ มีสองคนที่กำลังกินก็เริ่มติดคอ ก่อนจะรีบดื่มน้ำตาม กระแอมไอในลำคอ ก่อนจะรีบปรับตัวเป็นปกติ

เห็นทุกคนไม่กล้าตอบ หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“ข้ารับพระบัญชามาสอบถามเรื่องนี้ ไม่ได้มาทำคดี พวกเจ้าพูดมาได้ ไม่มีความผิด!”

เห็นหวังทงนุ่มนวลอ่อนโยน ขุนนางคนอื่นทำเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตน บรรดาเชื้อพระวงศ์ก็สบตากัน ก่อนจะยืนขึ้น ตะโกนขึ้นว่า

“ข้าน้อยปล้นจริงๆ ขอใต้เท้าลงโทษ……”

ทุกคนที่นั้นท่าทางหวาดกลัวก่อนยืนขึ้น ตอนแรกคิดว่าจะบอกว่าตนไม่ผิดเสียอีก เรื่องนี้ทำเอาหวังทงอึ้งไป ผู้ตรวจการมณฑลซานซีเห็นเช่นนี้ ก็เอี้ยวตัวไปกระซิบว่า

“ลงโทษแล้วปลดเป็นสามัญชน เชื้อพระวงศ์พวกนี้อยากได้เช่นนี้ อย่างน้อยก็จะได้ออกนอกเมืองไปทำงานได้”

หวังทงยิ้มเฝื่อน โลกนี้มีเรื่องที่เหลวไหลยิ่งกว่าที่ตนคาดคิด เขานิ่งไป ก่อนจะถามขึ้น

“ข้ามาไม่ใช่เพื่อสอบถามความผิด เรื่องนี้ไว้ก่อน พวกเจ้ารีบรับผิด ในใจคิดเช่นไรข้ารู้ดี งั้นข้าถามใหม่ หากไม่มีสถานะนี้ ให้พวกเจ้าไปทำงานในไร่นา พวกเจ้าอยากทำไหม น่าจะลำบากกว่าตอนนี้สิบเท่าร้อยเท่า……”

ยังพูดไม่ทันจบ บรรดาเชื้อพระวงศ์ก็ยืนขึ้นลงคุกเข่า ถึงกับโขกศีรษะ กล่าวอย่างเร่งร้อนมากว่า

“พวกข้ายินดี!!”

ขุนนางในห้องมองไปทางหวังทง อาการงงไม่เข้าใจเขียนอยู่บนสีหน้า ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ผู้นี้ต้องการสิ่งใดกันแน่?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!