ตอนที่ 729 คนอ๋องไต้แล้วอย่างไร
โอรสฮ่องเต้นอกจากรัชทายาทที่จะได้สืบทอดบังลังก์ โอรสองค์อื่นก็จะได้ตำแหน่งที่เรียกว่า ชินอ๋อง ย่อๆ ว่า อ๋อง เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่สุดในแผ่นดินหมิง สายลำดับต่อไปก็จะเป็น ‘ซื่อจื่อ’ มารับตำแหน่งอ๋องต่อ บุตรชายคนอื่นก็เป็นได้แค่ จวิ้นอ๋อง
อ๋องไต้เป็นชินอ๋องแผ่นดินหมิงประจำเมืองต้าถง รุ่นแรกเป็นโอรสปฐมฮ่องเต้จูหยวนจาง (หมิงไท่จู่) สืบทอดมาถึงตอนนี้ อ๋องไต้ซื่อจื่อผู้นี้ก็ย่อมเป็นบุตรชายคนโตของอ๋องไต้ วันหน้าได้รับตำแหน่งนี้ต่อจากบิดา
สถานะอ๋องเรียกได้ว่าสูงไม่ธรรมดา ขุนนางทั้งหลายไม่ว่าใหญ่น้อยล้วนต้องคำนับ ธรรมเนียมมารยาทคำนับก็เป็นรองระดับแค่ฮ่องเต้เท่านั้น แม้ว่าเชื้อพระวงศ์ถูกกักบริเวณในเมืองไม่ให้ออกไปไหน แต่ชีวิตอ๋องระดับนี้ไม่เหมือนพวกเชื้อพระวงศ์ทั่วไป พวกเขาได้รับที่นาพระราชทานจากราชสำนัก พร้อมเงินค่าเช่าที่นาก้อนโตเข้าบัญชี
ขอเพียงอ๋องระดับนี้วางพระองค์ในระเบียบ ขุนนางท้องที่ไม่อาจทำอันใดได้ เขาเปิดร้าน บังคับซื้อขายก็ไม่มีผู้ใดสนใจมาจัดการ แน่นอนไม่ต้องจ่ายภาษี ผลปรากฏว่าพ่อค้ามากมาย หรือแม้กระทั่งกิจการขุนนางท้องที่ล้วนมาขอความคุ้มครองไปด้วย
แผ่นดินหมิงทั่วหล้า เชื้อพระวงศ์ยากจนลำบาก แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีอ๋องหรือจวิ้นอ๋องใดที่เป็นเช่นนี้ มีแต่คนบอกว่าใช้ชีวิตหรูหรา ไม่รู้จักทะนุถนอมวาสนา
จือวั่นชางที่คุกเข่าที่พื้นได้ยินว่าซื่อจื่อมาก็รีบมีท่าทีดิ้นรนแข็งขืนขึ้นมา หวังทงออกคำสั่งคำเดียว ทหารหวังทงฟังแค่คำสั่ง พอจือวั่นชางเงยหน้าขึ้น ทหารก็ถีบใส่ทีหนึ่งให้หมอบลงดังเดิม
“เจ้าตัวบัดซบ นายท่านเรามาถึง เจ้ายังกล้าลงมือกับข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่น……”
กล่าวไม่ทันจบก็ถูกกระทืบไปอีกทีอย่างแรง คนบนท้องถนนที่มามุงดูกันพากันเปิดทางเพื่อให้พวกซื่อจื่อเดินเข้ามา
ทหารในสังกัดอ๋องถูกทางการยึดคืนแล้ว ตอนนี้มีแต่ผู้คุ้มกันจวนอ๋อง คนพวกนี้หากออกนอกเมืองก็ไม่เท่าไร แต่หากอยู่ในเมืองแล้วล่ะก็ คนร่วมหลายร้อยพร้อมอาวุธเรียกได้ว่ากำลังไม่ธรรมดา ดูจากสภาพการณ์ยามนี้แล้ว พวกเขาน่าจะเหิมเกริมไม่เกรงกลัวทางการ
ชาวบ้านขยับหลบเปิดทางให้ช้าไปสักหน่อย ทั้งไม้กระบองทั้งแส้ก็ฟาดเข้าใส่ มีคนถูกฟาดล้มลง ผู้คุ้มกันจวนบนหลังม้าก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ขี่ม้าแหวกข้ามไปทันที
ดีที่ม้าวิ่งไม่เร็วนัก คนยังพอกลิ้งตัวหลบไปข้างทางได้ทัน ทำเอาผู้คุ้มกันวางอำนาจบาตรใหญ่บนหลังม้าพากันหัวเราะดังลั่น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดแต่งกายแบบพ่อบ้าน วิ่งเหยาะๆ มาถึง พอเห็นทหารติดตามหวังทงยกเท้าถีบ ก็โมโหอย่างมาก ชี้หน้าทหารหวังทงตะโกนด่าว่า
“เจ้าบัดซบเอ๊ย ผู้ใดหนุนหลังพวกเจ้าให้กล้าทำเช่นนี้ เจ้ารู้ไหม……”
“เจ้าตัวบัดซบ เจ้ากล้าดีมาจากไหน กล้ามาตะโกนใส่คนของข้า!?”
ยังไม่ทันตะโกนจบ ก็มีเสียงขวับมาข้างหูด้วยความเร็ว พ่อบ้านผู้นั้นยังไม่ทันหลบพ้น ก็ถูกแส้ตวัดใส่ใบหน้า ขึ้นรอยแดงเป็นปื้ดยาว ดูท่าแล้วคงใหญ่โตจนเคยตัว พอโดนแส้ฟาด เลือดยังไม่ทันออก ก็กุมหน้าส่งเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวดมาก
“จับตัวไว้ คนผู้นี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับร้านค้าตระกูลหวงนี้!!”
หวังทงบนหลังม้าตวาดดัง ลูกน้องรีบเข้ามาจับกดตัวลงเหมือนพ่อบ้านก่อนหน้า คนผู้นั้นกุมหน้าส่งเสียงร้องเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าจะมีคนหลายคนเข้ามาจับเขากดลง เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ได้แต่ส่งเสียงเอะอะดังบนพื้นว่า
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นคนของใคร”
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวัง ท่านนี้ก็คือพ่อบ้านสามจวนอ๋องไต้ เป็นผู้ดูแลกิจการทั้งหมดของจวนอ๋องเรา”
อยู่ๆ สถานการณ์ปั่นป่วนเป็นเช่นนี้ไปได้ ชายท่าทางเหมือนทหารจวนอ๋องไต้ขี่ม้ามาถึงรีบกล่าวขึ้น เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ก็ได้แต่ขมวดคิ้วเคร่งเครียด สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก พอเขาพูดจบ ก็เห็นหวังทงอยู่ด้านหลังทหารด้านหลัง วาจาก็เกรงใจขึ้นมาก
คนรู้ยุทธ์ย่อมรู้ความร้ายกาจ แม้เป็นทหารในจวนอ๋อง แต่พื้นที่ชายแดนอย่างเมืองต้าถงอย่างไรหากเคยผ่านประสบการณ์มาก็ย่อมรู้ความร้ายกาจ เห็นท่าทางองอาจกล้าหาญของพวกหวังทง ก็รู้ว่าไม่อาจเสียงดังข่มขู่ได้
“ผู้แทนพระองค์ดำเนินคดี เขาก็แค่คนรับใช้นาย ถือสิทธิ์อันใดมาวางตัวใหญ่โต หรือว่าดูแลกิจการจวนอ๋องแล้วก็จะเหิมเกริมกำเริบเสิบสานได้งั้นหรือ?”
เหิมเกริมกำเริบเสิบสานได้จริง แต่ก็แค่ต่อหน้าชาวบ้าน หากมาอยู่ต่อหน้าคนเช่นหวังทง ก็เรียกได้ว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว วันนี้ต้องมาเจอตะปูตำให้โชคร้ายเอาเสียแล้ว
ได้ยินหวังทงถามกลับ นายทหารนั้นก็อึ้งไป ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ นิ่งไปก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ซื่อจื่อเราขอเชิญ เชิญใต้เท้าหวังไปเจรจาสักหน่อย!”
ซื่อจื่อจวนอ๋องเรียกได้ว่าสถานะอันดับต้นๆ หวังทงเป็นแค่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ระดับชั้นห่างกันมาก นับประสาอันใดกับอ๋องไต้ที่เป็นดังเชื้อพระวงศ์ตระกูลจูตัวจริง สถานะย่อมไม่เหมือนกัน หวังทงมาเมืองต้าถงยังต้องมาคารวะอ๋องไต้ เพื่อคำนับตามธรรมเนียมมารยาท
ซื่อจื่อส่งคนมาเชิญ อย่างไรหวังทงก็ต้องไปพบ หวังทงพยักหน้าลงจากหลังม้า เดินตามไป พอเดินได้สองก้าว หวังทงก็หันกลับมาสั่งการว่า
“นำตัวสองคนกลับไป!”
ซื่อจื่อรออยู่ เขาแสดงสถานะตนออกมา ไม่ยอมเข้ามาพบหวังทง กลับต้องการให้หวังทงไปพบ ซื่อจื่อไม่ได้เหนือคาดหมาย ก็แค่ชายหนุ่มร่างท้วมเล็กน้อยพร้อมผิวซีดขาวไปสักหน่อย ใบหน้ากลม เป็นลักษณะของคนตระกูลจูผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ท่าทางคุณชายมาตรฐานทั่วไป
ตอนหวังทงไปคารวะที่จวนอ๋องไต้ ได้พบเพียงแค่อ๋องไต้ ไม่ได้พบซื่อจื่อ มาถึงตรงหน้า อย่างไรก็ต้องทักทาย หวังทงเข้าไปคำนับตามมารยาท
เห็นหวังทงมาคำนับ ยังเห็นหวังทงอายุน้อยกว่าตน ซื่อจื่อเดิมที่กำลังโมโหหนักอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งวางท่าข่มหลายส่วน พยักหน้ารับด้วยท่าทีนิ่งๆ กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง รับราชโองการมาเมืองต้าถงปฏิบัติหน้าที่ หลายวันนี้ลำบากท่านแล้ว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้”
“ธรรมเนียมไม่อาจบกพร่อง ขอบคุณซื่อจื่อที่ห่วงใย ปฏิบัติหน้าที่เพื่อแผ่นดิน เพื่อฮ่องเต้ ข้าน้อยไม่กล้ากล่าวว่าลำบากอันใด”
พอเห็นหวังทงมีท่าทีเกรงใจ สีหน้าไม่พอใจของซื่อจื่อก็ดีขึ้นหลายส่วน กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ร้านค้าตระกูลหวง……”
พอแค่พูดถึง หวังทงที่มีทีท่าเกรงใจตามมารยาทก็แทรกตัดบทขึ้นทันที ยิ้มกล่าวว่า
“ซื่อจื่อ ธรรมเนียมไม่อาจบกพร่อง ข้าน้อยมาปฏิบัติหน้าที่ฐานะผู้แทนพระองค์ ขอซื่อจื่อคำนับตามธรรมเนียมด้วย!”
ซื่อจื่ออึ้งไป สีหน้าขาวถึงขั้นซีดก็เริ่มมีสีแดง ในใจคิดว่าหวังทงวางอำนาจบาตรใหญ่เกินไปแล้ว อารมณ์ของเขานั้น คนจวนอ๋องไต้ล้วนรู้ดี รีบเข้ามาดึงไว้อย่างรวดเร็ว กล่าวว่า
“ซื่อจื่อ อย่าให้คนหาเรื่องเอาผิดได้ หวังทงมาเมืองต้าถง ผู้ใดจะรู้ว่ามาจับตาดูจวนอ๋องเราหรือไม่……”
ตั้งแต่ฮ่องเต้จูตี้ขึ้นครองราชย์ บรรดาอ๋องแม้ได้รับเงินพระราชทานกันสบายๆ แต่เรื่องอื่นๆ กลับเข้มงวดมากขึ้น ขอเพียงหาเรื่องเอาผิดได้ ก็จะสั่งปลดจากตำแหน่งบรรดาศักดิ์ทันที ริบทรัพย์สินทั้งหมด ตำแหน่งอ๋องเรียกได้ว่าเหนือระดับ พวกลูกหลานต่อมาก็มีซื่อจื่อได้ระดับเดิม นายอำเภอก็แค่ระดับสี่ แต่หากจวนอ๋องมีเหตุไม่ปกติก็สามารถนำกำลังทหารมาล้อมจวนจับกุมได้ทันที เรียกได้ว่าป้องกันเข้มงวด
หวังทงเป็นรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร องครักษ์เสื้อแพรทำหน้าที่อันใด ทุกคนล้วนรู้ดี นับประสาอันใดกับหวังทงว่ามาก็ถูก เห็นผู้แทนพระองค์เสมือนเห็นฮ่องเต้ ซื่อจื่อหากไม่ทำตามธรรมเนียม ก็เท่ากับมีโทษลบหลู่เบื้องสูง
ธรรมเนียมดำเนินไปเรียบร้อย หวังทงในชุดขุนนางยืนอยู่ข้างๆ รับคำนับจากคนจวนอ๋องไต้ บอกว่าเป็นธรรมเนียม แต่เขาไปยืนตรงนั้นก็เหมือนว่าคำนับเขา ตอนซื่อจื่อลุกขึ้น ก็ย่อมรู้สึกเช่นนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห แต่อยู่ๆ ต้องมาทนรับการข่มบารมีเช่นนี้ เขาย่อมไม่กล้าระเบิดอารมณ์ ได้แต่กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“ใต้เท้าหวัง จือวั่นชาง……”
หวังทงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด กลับคำนับกล่าวว่า
“ซื่อจื่อ ตอนนี้ชายแดนเคร่งเครียด ทหารม้าพวกนอกด่านประชิดกำแพงเมืองบ่อยขึ้น ข้าได้รับราชโองการให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเมืองต้าถง ทุกเรื่องกำลังเตรียมการอย่างเคร่งเครียดเป็นที่รู้กันทั่ว แต่ในเวลาเร่งร้อนใจเช่นนี้ กลับมีคนไม่สนใจแผ่นดิน กลับกักตุนสิ่งของที่ทางการทหารระดมสั่งสม ทำให้ราคาสูงขึ้น คนเช่นนี้ไม่สนใจแผ่นดินโดยรวม ไม่สนใจความเป็นตายทหารชายแดน ช่างน่ารังเกียจยิ่ง ข้าคิดว่า คนเช่นนี้ทำไปใช่ว่าไร้เหตุ พวกนอกด่านแต่ไรมาเจ้าเล่ห์มาก อาจจะชักใยบงการอยู่เพื่อทำลายกองกำลังเราก็ได้ จะปล่อยให้คนช่วยเช่นนี้ลอยนวลได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องลงโทษ!!”
กล่าวน้ำเสียงดังกังวาน หวังทงไม่สนใจสีหน้าซื่อจื่อตอนนี้ โบกมือไปด้านหลังกล่าวว่า
“จือวั่นชางแอบซื้อขายสินค้าเพื่อการทำสงคราม สงสัยว่าแอบสมคบคิดกับพวกนอกด่าน ลงโทษ ซาตงหนิง ฝีมือดาบเจ้าใช้ได้แล้ว มาตัดหัวเขา!”
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าขณะพูดอยู่นั้นจะตัดหัวตรงหน้าทันที ทุกคนพากันตะลึงอึ้งไป ทหารสามนายเข้ามาจับตัวจือวั่นชางกดลงกับพื้น จือวั่นชางยิ่งคิดไม่ถึงว่านายตนมา ยังต้องมาถูกตัดหัวอีก จึงได้แต่แหกปากร้องไห้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่พ่อค้าถูกทหารหลายคนกดตัวไว้ ไหนเลยจะสะบัดหลุดได้
สีหน้าซาตงหนิงตื่นเต้น นี่เป็นการเรียกชื่อจากนาย เป็นโอกาสในการแสดงความสามารถ เขาเดินก้าวเข้าไปก่อนจะชักดาบยาวที่เอวออกมา เดิมเขาใช้ดาบทรงแคบแบบโจรสลัดญี่ปุ่น ตอนนี้ปรับมาเป็นดาบต้นกล้าที่หนาขึ้นมาอีกหน่อย พอชักดาบออกมาก็กุมด้วยสองมือ ก่อนจะสะบัดกะแรง ยกขึ้นสูงตัดฉับ
แสงดาบสะท้อนวับ ก่อนเสียงร้องขอชีวิตจะเงียบลง ไม่ว่าเห็นหรือไม่เห็น ทั่วท้องถนนเงียบกริบ ล้วนจับตาจ้องมองตามศีรษะที่กลิ้งไปบนท้องถนน
เหมือนรอบด้านสงบนิ่งไปทันที เลือดสดสาดกระจายพุ่งจากรอยต่อศีรษะและลำคอ ดาบซาตงหนิงเรียกได้ว่าฉับเดียวเห็นผล แต่ผู้ใดจะสนใจเรื่องนี้ ซื่อจื่ออึ้งอยู่กับที่ ไม่ทันสังเกตว่าชุดตนเองมีรอยเลือดกระเด็นเปรอะเปื้อน หวังทงออกคำสั่งต่อว่า
“ชนขบวนผู้แทนพระองค์ ไม่รู้ไม่ตำหนิ โบย 60 ไม้ ก่อนส่งคืนให้ซื่อจื่อ!”
ยามนี้จึงได้รู้ตัว เห็นเลือดสดๆ เบื้องล่าง สีหน้าไร้สีเลือด ซีดเผือดอย่างยิ่ง ผงะถอยไปสองก้าว ก่อนจะล้มแปะลงกับพื้น เสียงร้องโหยหวนดังก้องขึ้น พ่อบ้านจวนอ๋องเมื่อครู่ที่ก้าวไปขวางหน้าตะโกนเอะอะตอนแรกก็เริ่มถูกโบยด้วยไม้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ในยามวิกฤตใกล้สงครามนี้ หากไม่รู้หน้าที่ เหิมเกริมกำเริบเสิบสาน ข้าจะต้องลงโทษอย่างแน่นอน หากแม้ถวายฎีกา ฝ่าบาทก็ย่อมทรงเห็นแก่ส่วนรวม ซื่อจื่อ ท่านว่าอย่างไร?”
ซื่อจื่อตัวสั่นไปทั้งตัว กล่าวอันใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว