ตอนที่ 759 ชัยชนะไม่ได้หมายความว่าจบศึก
ธงแม่ทัพเป็นศูนย์รวมจิตใจการศึก ไม่อาจแตะต้องโดยง่าย ไม่ว่าหมิงหรือพวกนอกด่านล้วนรู้หลักการนี้ดี
บนสนามรบตอนนี้เละราวกับหม้อโจ๊ก สองปีกข้างกองทัพหมิงกับด้านหลัง ยังคงมีทหารม้าพวกนอกด่านโจมตีอยู่ พื้นที่รบตรงหน้า ทหารราบกับทัพม้าเมืองจี้โจวทางนั้นเริ่มขับไล่พวกนอกด่านที่เข้าโจมตีค่ายรถศึกออกไปได้แล้ว ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ดัง พวกนอกด่านทางทัพเมืองจี้โจวก็เริ่มกระจัดกระจาย
ทางกองกำลังหู่เวยยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกนอกด่านทางกองกำลังหู่เวยถูกตีแตกพ่ายไปราบคาบแล้ว มีบางพื้นที่ที่ยังปะทะกันอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
มู่เอินเริ่มปรับปากกระบอกปืนใหญ่หันยิงไปทางทหารม้าพวกนอกด่านที่อยู่ปีกข้าง ทหารม้าที่บุกมาทางนี้ เริ่มบุกมาถึงด้านหน้ารถศึกได้แล้ว แต่ก็ถูกปืนไฟกับปืนใหญ่เล็กยิงจนหน้าดำคร่ำเครียด พวกโชคดีที่บุกมาถึงหน้าได้ ก็จะถูกพลธนูยิงตาย หรือไม่ก็ทวนยาวแทงตาย
เข้าไม่ได้ ถอยไม่ได้ ความฮึมเหิมเริ่มหมดไป รอจนปืนใหญ่หันมา ยิงไปหนึ่งครั้ง ก็รีบกระจัดกระจายหนีตายกัน
การรบบนทุ่งหญ้านอกด่าน ทหารม้าพวกนอกด่านแตกกระจัดกระจายนั้น ไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้ เพราะทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทหารม้าหนีออกไปพื้นที่ปลอดภัยแล้วก็สามารถรวมตัวกันกลับมาใหม่ได้อีก
บุกมายังปีกข้างรถศึก ทหารม้าชุดนี้บาดเจ็บไม่มาก ไม่ได้รับความเสียหายมาก พวกเขาเป็นทหารกลุ่มแรกที่เห็นธงเหลืองสะบัดไปมา
ธงแม่ทัพโบกไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิงอย่างเร่งรีบ องค์ชายเฉ่อลี่เข้อจะหนีแล้ว พวกเรายังจะอยู่ต่อไปทำไมกัน
รอบๆ ค่อยๆ เงียบลง ทหารกล้าพวกนอกด่านพากันเริ่มกลัว ทหารม้าทำศึก บุกไม่ได้ก็หนี บาดเจ็บล้มตายไม่มาก สามารถก่อกวนทหารราบเป็นหลักได้ไม่หยุด ใช้ประโยชน์จากแรงขับเคลื่อนเร็วทำให้ศัตรูหงุดหงิด สุดท้ายก็อาศัยจังหวะตีพ่าย
แต่วันนี้การรบไม่เหมือนวันวาน เห็นทหารและม้าล้มลงเป็นซากศพเรื่อยๆ พวกทหารด้วยกันที่ยังมีชีวิตก็ส่งเสียงร้องเจ็บปวด ม้าก็เอาแต่ดิ้นรนอย่างไร้ทางรอด
ในใจพวกนอกด่านก็เริ่มหวาดกลัว มีคนเริ่มคิด พวกเราเดิมเป็นเผ่าที่ชำนาญการรบบนทุ่งหญ้านอกด่าน เลี้ยงสัตว์เร่ร่อนยังชีพ เหตุใดจึงต้องมาเสียเลือดเนื้อปกป้องพื้นที่เผ่าอันต๋า
คนมากมายเริ่มมองเห็นธงใหญ่ถอยกลับ กองกำลังหู่เวยก็รุกหน้า กองกำลังเมืองจี้โจวก็ตีโต้คืนแล้ว ทัพพวกนอกด่านอยู่ในสภาวะตั้งรับแล้ว
ธงแม่ทัพถอยกลับ แม้คิดจะสู้ต่อก็ไม่อาจสู้ต่อได้ แม่ทัพใหญ่เป็นเช่นนี้ พวกเราไยต้องพลีชีพ และปืนใหญ่ทหารหมิงก็ราวกับอสุนีบาตภูตผีปีศาจ ทุกครั้งที่ยิงก็นำมาซึ่งความตาย ความฮึกเหิมทหารหมิงพวกนี้ก็น่าตกใจไม่น้อย
เห็นอยู่ว่าบุกเข้ามาในพื้นที่พวกเขาได้แล้ว ถึงกับเปิดทางเข้าได้แล้ว แต่ทหารหมิงด้านในก็ไม่แตกกระเจิง พากันตะโกนส่งเสียงร้องรุกเข้าปะทะ นี่มันอันใดกัน พวกเขามาโดดเดี่ยวบนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกเราอยู่ใกล้เมืองเราเอง ไฟก็ลุกโหม ทหารบุกเข้าไปมากมายเพียงนี้ เหตุใดทหารหมิงยังยืนหยัดต่อได้
ฟังรุ่นปู่ รุ่นพ่อเล่ากันว่าพวกทหารฮั่น นอกจากคนเยอะแล้ว ไม่มีอันใดน่ากลัวอีก ทหารเรือนแสนมีเพียงผู้กล้าหลักร้อย พวกนี้ถูกสังหารตาย ที่เหลือนับแสนก็หนีตายกันแตกพ่ายไปเอง ทหารม้าสองสามร้อยไปถึงกำแพงเมืองหมิงที่มีคนนับแสน พวกหมิงก็เอาแต่ปิดประตูเมืองแน่น ไม่กล้าออกมารบ……แต่วันนี้ที่เราเผชิญอยู่ ไม่เหมือนที่เคยได้ฟังมาเลย พวกเขากล้าหาญ ยืนหยัด และยังมีปืนไฟพวกนั้นอีก
แพ้แล้ว แพ้แล้ว รีบหนี หากไม่หนี ก็ตายอยู่ที่นี่ ตายเพื่อชัยชนะเป็นเกียรติ แต่ความพ่ายแพ้ยับเยินนี้ ตายไปมีค่าอันใด รีบหนี……
ทัพพวกนอกด่านเหมือนหิมะกระจุยกระจาย กระจัดกระจายอย่างรวดเร็ว กองทัพและรูปทัพเริ่มแตกขวน นายทหารกับพลทหารล้วนแตกฮือ ทุกคนพากันควบม้าหันหลังหนี
**************
“ท่านแม่ทัพ พวกนอกด่านหนีไปแล้ว!! ใต้เท้า พวกนอกด่านหนีไปแล้ว!!”
ท่ามกลางทัพเมืองจี้โจว ทหารติดตามรีบวิ่งไปรายงานหยางจิ้นอย่างตื่นเต้น ตะโกนดังสะอึกสะอื้น มือหยางจิ้นกำด้ามดาบแน่น ได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งไร้ปฏิกิริยาอยู่นาน จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากค่ายรถศึก หยางจิ้นจึงได้สติ สะบัดร่างกายก่อนจะสงบใจให้นิ่งลง
ก่อนเสียงปืนใหญ่ ทัพเมืองจี้โจวทางนี้ยังอยู่ในภาวะคับขันอย่างมาก ทางหยางจิ้นป้องกันทางฝั่งตนเอง เคลื่อนกำลังเตรียมออกไปรับมือไป
พอไฟลุกโหม ทหารม้าศัตรูบุกเข้ามา สถานการณ์ก็คับขัน หยางจิ้นกับทหารคนสนิทเตรียมตัวพร้อม เตรียมออกรับศึกได้ตลอดเวลา
แต่พอเสียงปืนใหญ่ดังราวอสุนีบาต เครื่องดีดก้อนหินทยอยล้มลง ความกดดันเริ่มลดลง ทหารม้าพวกนอกด่านที่เดิมกำลังรบอย่างฮึกเหิมก็เริ่มผ่อนลง เริ่มค่อยๆ ถอยกลับมาจนถึงตอนนี้
“ดับไฟ รีบไปดับไฟ!!”
หยางจิ้นสะบัดศีรษะได้สติในที่สุด เริ่มออกคำสั่งดัง แม่ทัพใหญ่หวังทงฝากเสบียงไว้ที่ทัพเมืองจี้โจว ตอนนี้ไม่รู้สึกว่าทางหวังทงเห็นว่าทัพเมืองจี้โจวเป็นทัพหลัก รู้สึกว่าตนเองคุ้มกันเสบียงไม่ได้ ตอนนี้ดูแล้ว กองกำลังหู่เวยเห็นชัดว่าไม่อยากให้ของพวกนี้ผูกมัดตนเองเอาไว้ พวกเขาเตรียมการพร้อมรบไว้ก่อนแล้ว
ทหาร 2-3 พัน ปืนใหญ่ไม่กี่สิบกระบอก ถึงกับตีพ่ายทหารม้าพวกนอกด่านที่มากกว่าสิบเท่าให้แตกพ่ายราบคาบ จะกล่าวว่าง่ายราวปอกกล้วยเข้าปากก็ไม่เกินไปนัก
“ช่างน่าแปลกๆ !!”
หยางจิ้นบ่นพึมพำเบาๆ มาถึงตอนนี้เขายังคงตั้งสติไม่ทัน หวังทงปีนี้ 22 นำกำลังทหารมาได้ห้าปีกว่า เหตุใดจึงรบได้เก่งกาจเช่นนี้
“ใต้เท้า ใต้เท้า แม่ทัพใหญ่ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทัพเราส่งทหารไล่ล่าศัตรู!!”
หยางจิ้นสะบัดหน้า รีบตะโกนคำสั่ง
***************
อย่างไรก็ห่างออกไปอีกหลายร้อยก้าว แม่ทัพใหญ่พวกนอกด่านใต้ธงเหลืองหนีก่อน หวังทงตามไม่ทันแล้ว ไล่ตามไปได้ราวหนึ่งลี้ หวังทงก็หยุดไล่ล่า
“ถ่ายทอดคำสั่งไปทุกหน่วย ไล่ล่าสังหารศัตรูอย่าให้เกินหนึ่งลี้ กลับค่ายจัดการศัตรูที่เหลือให้สิ้น!!’
ไล่ต้อนมาถึงขั้นนี้ กำแพงเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ไร้เงาผู้คน หวังทงบนหลังม้ามองไปครู่หนึ่ง ก็พึมพำกับตนเองว่า
“ก็แค่แข็งแรงอยู่สักหน่อย ใหญ่กว่าเมืองชางโจวสักหน่อยเท่านั้นเอง!”
พูดจบก็ดึงม้ากลับ มุ่งกลับค่าย ทหารพวกนอกด่านแม้มีทหารม้าเป็นหลัก ไปมารวดเร็วราวสายลม แต่ทหารหมิงเองก็มีทหารม้าเกือบห้าพัน
การไล่ล่าปราบปรามเมื่อครู่ ทหารม้าหมิงโดดเด่นที่สุด ประสิทธิภาพการไล่ล่าไม่ต้องพูดถึง ทหารม้าพวกนอกด่านที่หนีไม่ทันถูกล้อมอยู่ ตอนนี้เป็นโอกาสกวาดล้างแล้ว
ยามนี้การรบไม่มีอันใดต้องกังวลแล้ว ทหารหมิงได้เปรียบเด็ดขาดแล้ว ทัพพวกนอกด่านแตกพ่ายแล้ว แม่ทัพใหญ่ตนหนีแล้ว คนที่เหลือไม่มีความคิดจะต่อสู้ต่อแล้ว
หาไม่ถูกสังหารตายบนม้าก็ลงคุกเข่าแหกปากร้องไห้ยอมแพ้ รอหวังทงกลับมาถึงค่าย ทุกอยางก็ใกล้จะจบแล้ว
พลปืนใหญ่ไปนำก้อนหิมะที่ยังไม่ได้ถูกย่ำรอบสนามรบมา จากนั้นเช็ดเข้ากับปืนใหญ่ พลปืนไฟหยิบผ้ามาชุบน้ำให้เปียก เช็ดกระบอกปืนไฟตนเอง
หลังยิงต่อเนื่อง กระบอกปืนใหญ่กับกระบอกปืนไฟที่ทำจากโลหะก็ร้อนระอุ หากไม่ลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ครั้งหน้าไม่อาจนำมาใช้ได้
ทหารราบสองหน่วยนอกจากพวกที่ทิ้งไว้คุ้มกันแล้ว ทหารที่เหลือก็เริ่มออกเก็บกวาดสนามรบ ทหารม้าพวกนอกด่านบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก บนสนามรบยังมีทหารม้าพวกนอกด่านพวกที่เคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราวแต่ยังมีชีวิตอยู่ กองกำลังหู่เวยก็ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องทนลำบากต่อไป จบชีวิตพวกเขาอย่างรวดเร็ว
หน่วยรักษาความปลอดภัยกับคนงานดูแลรถ ก็ออกไปค้นเงินทองและรวบรวมอาวุธจากซากศพ และยังรวบรวมม้าพวกนอกด่านที่ยังดีอยู่ มีบางคนไปช่วยพลปืนใหญ่จัดการเก็บปืนใหญ่
หวังทงยามนี้รู้สึกผ่อนคลาย ลุกขึ้นคว้าถุงน้ำกำลังจะดื่ม ก็พบว่าถุงน้ำตอนนี้แข็งเป็นน้ำแข็งไปแล้ว ไม่มีน้ำหยดออกมาสักหยด
ตอนนี้พระอาทิตย์ตกไปทางตะวันตกแล้ว ฟ้าเริ่มมืด ตั้งแต่รับศึกถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปก็หลายชั่วยาม ไม่มีเวลาดื่มน้ำอันใด หวังทงส่ายหน้ายิ้มคว้าถุงน้ำบนอานม้าออกมา มองกลับไป เห็นสีหน้าทหารติดตามล้วนมีสีหน้าไม่แน่ใจ อดไม่ได้ถามขึ้น
“รบชนะแล้วนี่? พวกเจ้าทำไมทำหน้าทำหน้ากันเช่นนี้!?”
ถูกแม่ทัพใหญ่ถาม ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เห็นสีหน้าหวังทงอ่อนโยน หานกังจึงได้กล่าวไม่เกรงใจว่า
“แม่ทัพใหญ่ ท่านดูคนอื่นรบกันสุดยอด พวกเรากลับไม่ได้ขยับ……”
ยังพูดไม่ทันจบ เฉินต้าเหอข้างกายหวังทงก็ขมวดคิ้วเอ่ยตำหนิว่า
“เหลวไหล หน้าที่พวกเจ้าคือคุ้มกันแม่ทัพใหญ่ คิดออกไปรบทำไมกัน การรบใหญ่เช่นนี้ ความปลอดภัยแม่ทัพใหญ่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด……”
หวังทงยิ้มโบกมือ สัพยอกกล่าวว่า
“ไม่ต้องรีบร้อนไป พวกเจ้าคิดว่าการรบนี้จบแล้วหรือ เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
กล่าวจบ ก็มองหน้าไปทีละคน ก่อนขี่ม้าไปทางค่ายรถศึก รถที่เผชิญกับพวกนอกด่าน ธนูปักอยู่ด้านบนประปราย ที่เหลือปลอดภัยดี
หวังทงลงจากหลังม้า ปีนขึ้นรถใหญ่ นั่งอย่างสบายอารมณ์ เหนื่อยมาทั้งวัน ในที่สุดก็ได้พักเสียที บนสนามรบไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรจับตาจ้องมองมาที่หวังทง เห็นแม่ทัพนั่งลงด้วยท่าทางสบายอารมณ์เช่นนี้ ก็เงียบไปทั้งนาม ก่อนจะไม่รู้ว่าใครเริ่มก่อน ส่งเสียงร้องตะโกนยินดีดังขึ้น
ทุกคนล้วนตะโกนดัง ทุกคนล้วนร้องอย่างยินดี ตะโกนกันไปมากมาย สุดท้ายก็ร่วมตะโกนสามัคคีว่า
“ต้องชนะ ต้องชนะ……”
เสียงตะโกนกึกก้อง ทหารม้าพวกนอกด่านยังไม่เข้าเมือง ยังมีความเป็นไปได้ที่จะตีโต้คืน แต่ทุกคนรู้ว่าพวกนอกด่านไม่กลับมาแน่ แม้ว่ากลับมา ก็ย่อมถูกตีพ่ายไปเช่นนี้เหมือนเดิม ทุกคนล้วนมั่นใจ
ไฟที่โหมไหม้ทัพเมืองจี้โจวดับแล้ว หยางจิ้นผู้บัญชาการทัพก็ขี่ม้ามาที่นี่ หวังทงบนหลังม้ายิ้มมองเขา หยางจิ้นรู้สึกละอาย ลงจากม้าคำนับกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ เสบียงถูกเผาไปเกือบครึ่ง ……”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียง”
หวังทงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ พอได้ยินเช่นนี้หยางจิ้นอดไม่ได้อึ้งไป ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนคำถามว่า
“แม่ทัพใหญ่ เชลยนอกด่าน 1,200 จัดการเช่นไรดี?”