บทที่ 204 มั่นใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลานเยี่ยลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว นับไม่ถ้วนแล้ว หลานเยี่ยคิดถึงเรื่องสุดท้ายขึ้นมา จับลูบบริเวณหัวใจของตนเอง แล้วก็พบว่าไม่มีบาดแผลอีกแล้ว แม้แต่พลังวิญญาณก็กลับมาแล้ว
หลานเยี่ยเบนหน้ามองหลานเฟิง หลานเฟิงยังไม่ตื่น แต่ก็น่าจะอีกไม่นานแล้ว ความดีใจความโทมนัสได้ผ่านพ้นไปแล้ว ด่านเคราะห์สุดท้ายก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน ครั้งนี้สิ้นสุดแล้วจริงๆ
ดูท่าผู้เฒ่าผู้นั้นได้พูดเรื่องราวทั้งหมดออกมาแล้ว ขีดจำกัดพลังวิญญาณดั้งเดิมของตระกูลหลานก็ถูกทำลายลงแล้ว ตอนนี้คนตระกูลหลานไม่มีพลังวิญญาณดั้งเดิมแล้ว เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว
หลานเยี่ยเขยิบไปทางหลานเฟิง วางศีรษะลงไปบนหน้าอกหลานเฟิง ฟังเสียงหัวใจเต้นของหลานเฟิงอยู่นิ่งๆ ร้อนแรงและมีกำลัง
ไม่นานหลานเฟิงก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เห็นหลานเยี่ยที่นอนราบอยู่บนแผ่นอกของตน หลานเฟิงก็หลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นก็สัมผัสกับความนิ่งสงบในช่วงเวลานี้อย่างเงียบๆ
หลานเยี่ยนอนพิงอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองหลานเฟิง พบว่าหลานเฟิงกำลังลืมตามองเขาอยู่
“ตื่นแล้วหรือ”
“อืม”
จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก แต่ไหนแต่ไรมาใช้ชีวิตซับซ้อนจนเกินไป ฉะนั้นตอนนี้ใช้ชีวิตเรียบง่ายเสียหน่อยดีหรือไม่
อวี่มั่วและเทียนซีเดินเข้ามาจากด้านนอก เห็นทั้งสองคนตื่นขึ้นแล้ว
“เหอๆ” อวี่มั่วไอออกมาสองรอบ หลานเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขาจากบนหน้าอกของหลานเฟิงอยู่เช่นนั้น
“ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมา ขาดแค่เจ้าสองคนแล้ว พวกเจ้าทั้งสองชักช้าเสียจริง” อวี่มั่วพูดกับทั้งสองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เทียนซีกลับปิดปากหัวเราะอยู่อีกข้าง
“พวกเราสองคน? พวกเจ้าเฝ้าพวกเราอยู่ตลอดอย่างนั้นหรือ” หลานเยี่ยไม่เข้าใจสถานการณ์
“ไม่ เป็นเจ้าเจียงหลิงคอยเฝ้าพวกเจ้าอยู่ตลอด เมื่อคืนวานนี้ไม่ว่าจะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่ยอมออกห่างจากที่นี่ ต้องให้ข้าตีให้สลบส่งกลับไป พวกเจ้ารีบลุกขึ้นมาเถิด รอพวกเจ้ากันทั้งหมด” น้ำเสียงเรียบนิ่ง เหมือนว่ามาปลุกพวกเขาทั้งสองคนให้ลุกจากเตียงแบบปกติทั่วไป
พูดจบอวี่มั่วและเทียนซีก็เดินออกไป เหลือเพียงหลานเฟิงและหลานเยี่ยสองคนอยู่ภายในห้อง
หลานเยี่ยจะสวมเสื้อผ้าแต่กลับถูกหลานเฟิงห้ามเอาไว้ จากนั้นหลานเยี่ยก็เห็นว่าหลานเฟิงหยิบชุดสีแดงสดออกมาจากภายในตู้เสื้อผ้า
“ที่จริงเจ้าใส่สีแดงสดแล้วงามที่สุด แต่ว่าเพราะงามมากเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจทำใจให้คนอื่นได้เห็น”
“เช่นนั้นตอนนี้ไม่กลัวแล้วหรือ”
“อืม ไม่กลัวแล้ว เพราะตอนนี้ไม่มีใครมาแย่งเจ้าไปได้อีกแล้ว” หลานเฟิงพูดออกมาอย่างจริงใจไม่มีที่เปรียบ
หลานเยี่ยลุกขึ้น หลานเฟิงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา ชุดสีแดงสด บนคอมีจี้หล่านเย่ว์ห้อยอยู่ ผมที่ถูกปล่อยสยายตามสบาย ทำให้ทั่วทั้งร่างหลานเยี่ยดูแตกต่างออกไปไม่เหมือนเดิมอีก
แม้หลานเฟิงจะเคยจินตนาการถึงภาพหลานเยี่ยสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงสดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยรู้ว่าเมื่อสวมใส่ขึ้นมาแล้วจริงๆ จะน่าตื่นตะลึงถึงเพียงนี้
ผู้สูงส่งเป็นสุภาพชน ได้ปราศรัยได้ความรู้ ฝึกวินัยนิสัยดีงาม ลักษณะเคร่งขรึม จิตใจกว้างขวาง สถานภาพทรงอำนาจน่าเกรงขาม ผู้สูงส่งเป็นสุภาพชน เห็นเพียงครั้งเดียวสลักซึ้งตรึงใจไม่ลืมเลือน มองลำนำฉีสุ่ย ริมตลิ่งเต็มไปด้วยป่าไผ่เขียวขจีเป็นแถบ ผู้สูงส่งเป็นสุภาพชน หยกงามห้อยคล้อยข้างหู อัญมณีที่ฝังเป็นประกายดุจดาว
หลานเฟิงจับมือหลานเยี่ยไปยังโถงหลักหอเย่ว์เยี่ย ในโถงหลักมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินมา สายตาทั้งหมดก็พุ่งไปยังกายหลานเยี่ย
ชุดแดงปลิวไสว สะกดสายตาผู้คนทั้งห้อง
เห็นหลานชิงที่นั่งอยู่ตรงเบื้องหน้ามองแล้วยิ้มให้เขา หลานเยี่ยก็รีบวิ่งไปในทันใด
“ท่านพ่อ ท่านฟื้นแล้ว” ไม่ได้พบเจอกันนาน หลานเยี่ยเรียนรู้ที่จะแข็งแกร่งมานานแล้ว แต่ยังคงหวังว่าข้างหลังยังมีคนคอยดู ไม่ว่ากายจะอยู่ที่ใด กลับมาก็ยังมีคนรอเจ้าอยู่
“ข้าฟื้นแล้ว หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว เยี่ยเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ หรงเอ๋อร์เห็นแล้วจะต้องดีใจเป็นแน่”
“ท่านลุงเขย รอเลือกวันที่เหมาะสมก็ไปรับท่านป้ากลับมาเถิดเจ้าค่ะ” อวิ๋นหรูเอ่ยปากขึ้นจากอีกด้าน
“ดี รับกลับมา ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า” หลานเยี่ยจับมือหลานชิงพูดออกมาด้วยความดีใจ