ตอนที่ 48
ความแตกต่างของพลัง เดินทางออกจากจวน
เคล็ดวิชาพันสายฟ้า ใช้โดยการรวบรวมพลังจิตในตัว ทำให้ฟ้าดินแปรปรวนก่อกำเนิดฟ้าร้องฟ้าแลบได้ตามที่ใจต้องการ
หลังจากที่มู่ชิงเกออ่านเนื้อหาที่ซือมั่วให้นางมา ตัวหนังสือบนผืนผ้าพวกนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป ผ้าผืนนั้นเหมือนกลายเป็นแค่ผ้าธรรมดาที่ไม่มีความพิเศษอีกต่อไป
ใครจะคิดว่าบนนี้เคยมีเคล็ดวิชาระดับสวรรค์ที่คนนับไม่ถ้วนในหลินชวนอยากจะได้และครอบครองอยู่ อยู่ๆในหัวของมู่ชิงเกอเหมือนมีอะไรเพิ่มเข้ามา ราวกับว่าในส่วนลึกของจิตสำนึกของนางมีคนตัวเล็กๆ สีม่วงเพิ่มเข้ามาและกำลังแสดงความมหัศจรรย์พันลึกของเคล็ดวิชาพันสายฟ้าให้นางดูซํ้าแล้วซํ้าเล่า
เคล็ดวิชานี้หากเข้าสู่ขั้นสีเหลืองก็สามารถฝึกได้เลย เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนฝึกยุทธ์แคว้นฉินจึงเปิดโรงฝึกยุทธ์ส่วนกลางขึ้น ในนั้นมีเคล็ดวิชาสำหรับสายเหลืองขั้นต้นไปจนขั้นตํ่าจำนวนมากให้ประชาชนในแคว้นได้หยิบยืม
แต่สำหรับตระกูลที่สูงส่ง ต่างก็มีหอตำราหรือกระทั่งเคล็ดวิชาที่ตกทอดกันมาเป็นของตนเอง
พวกนี้ส่วนมากจะใช้เคล็ดวิชาภาคพิภพขั้นสูงเป็นพื้นฐานและภาคสวรรค์ระดับสูงจึงจะเป็นระดับสูงที่สุด เช่นเดียวกับตระกูลมู่ตำราประจำตระกูลของตระกูลมู่ก็ คือ เคล็ดวิชาภาคสวรรค์ระดับสูงที่มู่ชงบังเอิญพบตอนยังเป็นหนุ่มที่มีชื่อว่า ‘ปักษาราชสีห์คำราม’ (กริฟฟอน)
แค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับพลังเสียง
แต่ในความเป็นจริงหากฝึกจนถึงจุดสูงสุด ก็จะสามารถใช้พลังจิตในการสร้างปักษาราชสีห์ออกมา คำรามเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ศัตรูชีพจรขาดสะบั้นต้องถอยร่นกลับไปด้วยความหวาดกลัว
‘ปักษาราชสีห์คำราม’ ต้องใช้พลังจิตอย่างมากในการระเบิดพลังเสียงออกมาถือเป็นเคล็ดวิชาอันแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ในตระกูลจะมีเพียงมู่ซงคนเดียวที่ฝึกฝนอยู่
เพราะว่ามู่ชิงเกอไม่สามารถฝึกพลังได้และท่านอามู่เหลียนหรงเองก็เป็นหญิง ไม่สามารถฝึกเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้เช่นกัน สิ่งที่นางฝึกคือพลังภาคสวรรค์ขั้นกลางที่มู่ซงทุ่มเงินมหาศาลซื้อมาในงานประมูลมีชื่อว่า ‘ก้าวซ่อนเงา’
นี้ถือเป็นเคล็ดวิชาตัวเบา เหมาะที่จะให้ผู้หญิงฝึก ประกอบกับกระบวนท่าสังหารขั้นสูงหากฝึกจนถึงขั้นสูงสุดก็สามารถทำให้คนอื่นตกตะลึงได้เช่นกัน สามารถ ปลิดชีพอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
ในสวนสระเมฆา บนเก้าอี้โยกมีชุดสีแดงสดปลิวไหวไปตามลมอย่างงดงาม
มู่ชิงเกอที่นอนหลับตาอยู่ ทำให้ผมปลิวไสวไปมาตามสายลม นางจดจำทุกท่วงท่าของคนตัวเล็กๆ ในจิตใต้สำนึกเอาไว้ ส่งสัมผัสไปทั่วทุกเส้นชีพจร
นางรู้ว่าคนตัวเล็กนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป หลังจากที่นางเข้าใจวิธีการใช้พันสายฟ้ามันก็จะหายไป
เพราะฉะนั้นนางกำลังเร่งทำเวลาหวังว่าจะค้นพบอะไรมากขึ้น
สักพักใหญ่มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ดวงตาทั้งคู่ที่สว่างสดใสเปล่งประกายแสงสีม่วงขึ้นมาราวกับว่าในนั้นมีสายไฟฟ้าวาบอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้น ก็กลับไปเป็นปกติแทบจะทันที
“พันสายฟ้าคิดค้นขึ้นมาเพื่อข้าจริงๆ!” มู่ชิงเกอถอนหายใจอย่างมีเลศนัยแอบคิดด้วยความตื่นเต้น
นางมีพลังสายฟ้าอยู่แล้วสำหรับการตอบสนองต่อพลังสายฟ้าแบบนี้น่าจะเก่งกล้ากว่าทุกคนซึ่งถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีในการรับรู้ถึงพลังพันสายฟ้า ที่สำคัญหากในภายภาคหน้านางมีความจำเป็นต้องใช้พลังสายฟ้าก็จะใช้พันสายไฟมาเป็นตัวช่วยในการปิดบังพลังที่แท้จริง
สำหรับนางแล้ว ช่างดีจนไม่อาจดีไปกว่านี้ได้แล้วจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ภายในใจของนางรู้สึกดีกับซือมั่วที่ให้ของขวัญชิ้นพิเศษนี้กับนาง
“คุณตัวประหลาด ครั้งนี้ถือว่าข้าติดหนี้น้ำใจเจ้าแล้ว” มู่ ชิงเกอพูดเบาๆ
“คุณชาย คุณชาย!”
นอกเรือนฮวาเยวี่ยวิ่งเข้ามาราวกับผีเสื้อลีชมพู ใบหน้าอันขาวสว่างเป็นสีชมพูอ่อนๆ เพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งยิ่งทำให้นางดูน่าดึงดูด
หากมู่ชิงเกอเป็นผู้ชายจริงๆ แล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะหลงเสน่ห์ของปีศาจน้อยตนนี้เข้าแล้วก็ได้
“รีบร้อนขนาดนี้มีอะไร?” มู่ชิงเกอยื่นมือขึ้นเชยคางนางขึ้น จนฮวาเยวี่ยต้องหลบด้วยกริยาแง่งอน
“คุณชายท่านอย่าเล่นอีกเลย นายท่านผู้เฒ่ายังรอท่านอยู่นะเจ้าคะ”
ท่านปู่เรียกพบงั้นหรือ?
มู่ชิงเกอมองด้วยหางตา ท่าทางไม่เข้าใจ
ฮวาเยวี่ยเห็นใบหน้างามอันงดงามของเจ้านายเต็มไป ด้วยความมึนงงจึงดึงตัวเขาขึ้นมาจากเก้าอี้โยกแล้วพูดว่า “นายท่านมู่ซงบอกว่าจะพาท่านไปค่ายนอกเมือง เพื่อคัดเลือกทหารตอนนี้รอท่านอยู่นอกประตูจวนแล้วเจ้าค่ะ”
คัดเลือกทหาร? ทำไมท่านปู่ไม่บอกก่อน?
มู่ชิงเกอที่อยู่ในความสงสัยถูกฮวาเยวี่ยลากตัวออกจากประตูเรือน และมุ่งหน้าออกนอกจวน
เพิ่งถึงหน้าประตูจวนนางไม่เพียงแต่เห็นมู่ซงที่ใส่ชุดทหารเติมยศ แต่ยังเห็นโย่วเหอที่แต่งตัวดูดีกว่าปกติ
และ…สายตาของมู่ชิงเกอกวาดผ่านไปยังมั่วหยางที่แต่งตัวดูดีกว่าปกติเช่นกัน
เจ้าเด็กนี่ทำไมถูกท่านปู่เอาตัวออกมาจากโรงเรียนจื่อหยางด้วยล่ะ?
“เจ้าเด็กบ้า ยังไม่ขึ้นม้าอีก” มู่ซงที่อยู่บนหลังม้าจ้องหน้าหลานชายแล้วพูด
สักพักก็มีองครักษ์คนหนึ่งของตระกูลม่จูงม้าตัวหนึ่งเดินมาให้มู่ชิงเกอเหยียบโกลนขึ้นหลังม้าไป
พอพลิกตัวขึ้นหลังม้า ทั้งขบวนก็เริ่มออกเดินทาง
คิดไม่ถึงว่าโย่วเหอและฮวาเยวี่ยสาวใช้ทั้งสอง รวมทั้งมั่วหยางต่างก็เป็นหนึ่งในขบวนด้วย คอยตามประกบอยู่ซ้ายขวาของนางอย่างใกล้ชิด
รอจนกระทั่งทั้งขบวนออกเดินทางไปสักพัก เงาสีขาวของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงประตูจวนตระกูลมู่ มองเงาหลังของขบวนที่กำลังจากไป
ลวี่จือรีบพุ่งตัวเข้ามาพูดกับป๋ายซีเยวี่ยว่า “คุณหนู ได้ข่าวว่าครั้งนี้คุณชายโดดเด่นมากในพระราชวังและยังได้รับความเอ็นดูจากผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง วันนี้นายท่านก็ พาทุกคนในเรือนสวนสระเมฆาทั้งหมดออกไปด้วยเหรอ ว่าแต่ท่านคิดจะทำอะไร?”
พวกนางอยู่ในจวนทั้งวัน ข่าวสารที่ได้รับนั้นมีจำกัดจึงไม่รู้ว่าวันนั้นในพระราชวังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คำพูดของลวี่จือทำให้ความโกรธในดวงตาของป๋ายซีเยวี่ยเข้มชันขึ้น
จริงๆ แล้วนางเองก็มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงของพระราชวังแต่เสียดายที่บิดาสิ้นชีพไปในสนามรบ ตอนนี้นางก็เป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในจวนตระกูลมู่ จะมีใครจดจำนางได้?
ทุกอย่างคงต้องพึ่งตนเองแล้ว!
“เราไปตำหนักรุ่ยอ๋องกันเถอะ” ป๋ายซีเยวี่ยกัดปากพูด พูดจบก็เอาผ้ามาปิดหน้าแล้วพาลวี่จือออกจากตระกูลมู่ไป
แต่ว่านางกลับไม่รู้ว่าการไปครั้งนี้ของนางจะต้องเปล่าประโยชน์เพราะรุ่ยอ๋องที่นางมีใจให้นั้น ยามนี้ถูกลงโทษอยู่ที่อารามหลวง