283. รู้แจ้ง
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งแต่ตื่นตัว คนผู้นี้ประหลาดมาก เพียงเหลือบมองเขาดูเหมือนคนธรรมดายิ่ง ไม่สีพลังปราณเล็ดลอดออกมา แต่คนธรรมดาจะมองผ่านระดับฝึกฝนของเขาได้อย่างไร? หวังหลินคำนับด้วยความสงบนิ่งและตอบกลับ “ข้าเป็นเพียงคนป่าคนดอย ไม่จำเป็นต้องมีชื่อ เพียงเรียกข้าว่าต้าหนิวก็พอ”
แววตากลมโตมองหวังหลินด้วยความอยากรู้อยากเห็นและหัวเราะออกมา “น้องชายต้าหนิว ทำไมเราไม่นั่งลงคุยกันในค่ำคืนสายฝนนี้กัน?”
หวังหลินยิ้มบางและพยักหน้าก่อนจะนั่งลงยัดสมาธิบนพื้น เขาเพียงโบกแขนขวาและน้ำเต้าป่าปรากฎออกมาพลันดื่มลงไป
หลังพันธมิตรสี่สำนักถูกทำลายไป คลังเก็บเหล้าผลไม้ของหวังหลินจึงลดลงมาก ดังนั้นจึงดื่มมันน้อยลง
สหายตัวใหญ่คนนั้นเปล่งเสียงหัวเราะและนั่งลง “ระดับฝึกฝนของน้องชายต้าหนิวน่าตกใจเสียจริงๆ หากข้ามองไม่ผิด เจ้าใกล้จะได้รับเขตแดนแล้ว”
หัวใจหวังหลินเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย เขาระมัดระวังคนผู้นี้มากขึ้นแต่ภายนอกเขาหัวเราะและหลบเลี่ยงคำถามอย่างเงียบๆ
ขณะนั้นหนึ่งในชายที่อยู่หน้ากองไฟหัวเราะเสียงดัง “พวกท่านทั้งสองกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? พวกเราไม่เข้าใจ ได้รับเขตแดนหรือ?ท่านทั้งสองเป็นบ้า?”
โม่จื่อยิ้มบางและเอ่ยออกมา “ท่านใช้คำว่า ‘บ้า’ ได้เยี่ยมมาก หากไม่ได้บ้าทำไมถึงพยายามเข้าใจบางสิ่งเช่นกฎฟ้าดินเล่า? หากไม่ได้บ้าทำไมถึงพยายามจะเป็นเซียน? คนผู้หนึ่งต้องการบางสิ่งในการจะได้มันมา นั่นเป็นความจริงแท้”
ชายผู้อยู่ถัดจากกองไฟขมวดคิ้วและตำหนิ “ท่านบ้าจริงๆ ข้าไม่เข้าใจสักประโยค”
โม่จื่อยิ้มและส่ายศีรษะ เขามองหวังหลินและถามขึ้น “น้องชายหวังหลินเข้าใจไหม?”
หวังหลินยิ้มบาง “คำพูดของท่านลึกลับเกินไป เข้าไม่เข้าใจแต่คิดถึงคำว่า ‘บ้า’ นับว่าไม่เลว ใช้คำว่า ‘กิน’ จะดีกว่า”
สายตาโม่จื่อส่องแสงขึ้นและหัวเราะ “เยี่ยม! ‘กิน’ เป็นคำที่ดีมาก! หากเราเหล่าเซียนสูญเสียแรงกระตุ้นให้กินเช่นนั้นเราจะไปเส้นทางที่ถูกต้องและสำเร็จเต๋าแห่งสวรรค์ได้อย่างไรเล่า?”
หวังหลินดื่มและยิ้มเบาบาง
โม่จื่อมองหวังหลินจากนั้นสายตาพลันเผยความงุนงงและว่างเปล่า ดวงตาหวังหลินและหัวใจเต้นผิดจังหวะ หวังหลินยื่นมือเข้าไปบนกระเป๋าอย่างเงียบเชียบ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ความสับสนใจสายตาโม่จื่อค่อยๆหายไป “ตอนนี้…เรา…อยู่ที่ไหน?”
หวังหลินจ้องมองโม่จื่อคิ้วขมวด
ขณะนั้นหนึ่งในชายที่อยู่หน้ากองไฟซึ่งกำลังฟังพวกเขาอยู่พลันหัวเราะ “เขาเป็นบ้าจริงๆ”
โฒ่จื่อถอนหายใจและยิ้มให้กับหวังหลิน “ช่างเถอะ ข้าลืมก็ถือว่าลืม ข้าชื่อโม่จื่อ เจ้าชื่ออะไร?”
หวังหลินขมวดคิ้วหนัก หลังจากนั้นชั่วขณะเขาส่ายศีรษะและยิ้มเบาบางพลางเอ่ยขึ้น “ต้าหนิว”
โม่จื่อพยักหน้า เขามองสายฝนข้างนอกและเอ่ยออกมา “ค่ำคืนแห่งสายฝนคืออารมณ์สุนทรีย์และไร้ที่สิ้นสุด พืชพรรณดูดซับน้ำอย่างเงียบๆและกลิ่นของความตายพวกมันค่อยๆหายไป นี่คือความงามของสายฝนและรสชาติของชีวิต”
หวังหลินหันศีรษะออกไปมองข้างนอกอาราม เสียงสายฝนสาดเข้ามาข้างในและเสียงฟ้าร้องดังขึ้นในบางครั้ง
กองไฟข้างในอารามส่องประกายริบหรี่ในยามค่ำคืนจนเกิดเงาพริ้วไหวเช่นกัน ราวกับว่านี่คือชายชอบชีวิตและความตาย แสงกระพริบของแสงไฟช่างดูเหมือนแฝงเขตแดนแห่งชีวิตและความตายไปด้วยเช่นกัน
แสงคือความตาย ความมืดมิดคือความตาย แสงกระพริบของแสงไฟเป็นตัวแทนของการแลกเปลี่ยนระหว่างชีวิตและความตาย
“ชีวิตคือสิ่งใด?” หวังหลินกระซิบ
คำถามนี้สร้างความสับสนให้เขาเป็นเวลานาน
โม่จื่อถอนสายตา เขาชี้ไปที่กองไฟและยิ้มเบาบาง “กองไฟนี้คือชีวิต”
หวังหลินมองแสงกระพริบของกองไฟและถามอย่างครุ่นคิด “ทำไม?”
โม่จื่อยิ้มบางขณะมองไปที่กองไฟและพูดขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นชีวิต แต่ข้าได้ยินคนทั่วไปพูดกันว่า ‘ไฟชีวิต ไฟชีวิต’ เช่นนั้นข้าจึงคิดว่าไฟต้องเป็นชีวิต”
“บ้า!” คราวนี้ชายทั้งหมดหน้ากองไฟมองคนทั้งสองราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด
ไฟนี้คือชีวิต…หวังหลินรู้สึกเหมือนกระจ่างขึ้นบางอย่างแต่ยังไม่เข้าใจเต็มที่ เขาเงียบไปชั่วขณะและถามขึ้นว่า “ความตายคืออะไร?”
ขณะที่โม่จื่อกำลังจะเอ่ย สายตาเขาเต็มไปด้วยความสับสนและว่างเปล่าอีกครั้ง หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่เขาฟื้นคืนสติได้และมองรอบๆด้วยอาการงงๆ
“เมื่อครู่…เรากำลัง…พูดเรื่องอะไร?”
ไม่รอให้หวังหลินพูด หนึ่งในชายรอบกองไฟพูดขึ้น “เขาพึ่งจะถามเจ้าว่าความตายคืออะไร?”
โม่จื่อมองหวังหลินเป็นเชิงขอโทษ เขาลังเลเล็กน้อยและถามว่า “ข้าเชื่อว่าน้องชายรู้จักชื่อข้าแล้ว ขอข้าถามชื่อเจ้าได้หรือไม่?”
เหมือนคราวก่อน แต่ก่อนที่หวังหลินจะตอบอะไรได้ มีชายอีกคนข้างกองไฟตอบขึ้นว่า “เขาชื่อต้าหนิว”
สายตาโม่จื่อยิ่งขอโทษมากขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า “ตั้งแต่ที่ข้าได้เขตแดนมา ความทรงจำของข้าปั่นป่วน ข้าหวังว่าน้องชายต้าหนิวจะยกโทษให้ด้วย”
ใบหน้าหวังหลินยังเหมือนเดิมแต่จิตใจตกตะลึง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “พี่โม่เข้าใจเขตแดนอะไรกัน?”
การถามเขตแดนเป็นเรื่องต้องห้ามแต่โม่จื่อไม่ดูเหมือนจะเป็นคนคิดมาก ความสับสนใจแววตาของเขายิ่งหนักขึ้นและพูดว่า “เขตแดนหลงลืม…”
“เฮ้ เจ้ายังไม่ได้พูดว่าความตายคือสิ่งใด พูดต่อสิ มันกำลังน่าสนใจเชียว” หนึ่งในชายหน้ากองไฟรีบเร่งโม่จื่อ
ความสับสนในแววตาโม่จื่อยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เขาพูดว่า “ความตายคืออะไร…ความตายก็คือการดับสูญ หากคนผู้หนึ่งตายลงก็คือความตาย และหากจิตใจดับลงเช่นการลืมเลือน….นั่นก็คือความตาย”
จิตใจหวังหลินสั่นสะท้าน ประโยคนั้นเหมือนกับลมพัดปลิวหมอกที่ทำให้เขาสับสนออกไป
ความตายคือการดับสูญ หากคนผู้หนึ่งตายไปมันก็คือความตาย หากหัวใจสิ้นชีพเช่นการลืมเลือน…
แววตาสับสนของโม่จื่อเต็มไปด้วยปัญญาขณะที่เขามองรอบๆก่อนจะชี้ไปที่บ่อน้ำข้างนอก เขาพึมพำขึ้น “สายน้ำที่ตกในบ่อวันนี้คือชีวิต พรุ่งนี้เมื่อไม่มีน้ำตกลงมาแล้ว บ่อแห่งนี้ก็คือความตาย น้ำที่ตายก็คือวารีที่ไร้กระแสและชีวิต”
จากนั้นมือขวาชี้อีกครั้งอย่างลวกๆไปบนชายหน้ากองไฟ สายตาว่างเปล่ากลายเป็นหนักขึ้นและเอ่ยออกมา “วันนี้พวกเขาสามารถมีสนุกสนาน มีความโกรธ มีความเศร้าหรือมีความสุข นั่นคือชีวิต ในอนาคตที่พวกเขาจะไม่สามารถสนุกสนาน โกรธ เศร้าหรือมีความสุข นั่นก็คือความตาย”
มือของเขาเคลื่อนไหวทันทีและชี้ไปที่เบาะนั่งภาวนา “อารามแห่งนี้มีชีวิตตอนที่รูปปั้นเทพอยู่ที่นี่ ตอนนี้ไม่มีมันแล้วมันก็คือความตาย!”
เมื่อพูดเรื่องนี้เขายืนขึ้นชี้ไปที่ท้องฟ้า “สายฝนพวกนี้เกิดในท้องฟ้าและตายบนพื้นปฐพี ตรงกลางชีวิตของพวกมันคืออะไร ข้ามองไปที่สายฝนนี้ไม่ใช่เพราะท้องฟ้า ผืนปฐพีหรือตัวน้ำฝน แต่ข้ามองทั้งชีวิตของน้ำฝน…นี่คือวัฎจักรแห่งชีวิตและการแตกดับ”
หวังหลินถูกสัมผัสได้ เขายืนขึ้นและโค้งคำนับอย่างเคารพต่อโม่จื่อ
โม่จื่อยิ้มเบาบาง เขาก้าวไปข้างหน้าและจากอารามออกไปราวกับอุกาบาต น้ำเสียงเบาๆของเขาออกมาจากสถานที่ห่างไกลว่า
“น้องชายต้าหนิว เจ้าจะเข้าใจมันหรือไม่…ให้รู้ขีดจำกัดของตนเอง”
หวังหลินมองสายฝนเป็นเวลานานและยิ้มขึ้น
ในตอนนี้ ชายรอบกองไฟทั้งหมดต่างงุนงง พวกเขารู้สึกเหมือนเข้าใจเล็กน้อยแต่เมื่อคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันดูเหมือนจะมีชั้นหมอกบังสายตาไว้อยู่
“น้องชาย คนผู้นั้นหมายถึงอะไร?” ช่วยไม่ได้ที่หนึ่งในนั้นจะถามขึ้น สายตาทุกคนจ้องมองไปที่หวังหลิน
หวังหลินส่ายศีรษะ “พวกท่าน…จะไม่เข้าใจ…”
เช่นนั้นเขาก้าวเบื้องหน้าและออกจากอาราม หวังหลินเดินในสายฝนและมองขึ้นไป สายฝนนี้เกิดในท้องฟ้า จากนั้นเขามองบนพื้น สายฝนนี้ตายบนพื้นปฐพี
อะไรอยู่คั่นกลางระหว่างทั้งชีวิตของสายฝน
สิ่งนี้คือชีวิตและความตาย!
ไฟคือชีวิตเพราะมันมีชีวิต นี่เป็นสิ่งที่หมายถึง “ไฟชีวิต”
ความตายคือการดับสูญ หากคนตายมันก็คือความตาย หากหัวใจหยุดเต้นมันเพียงลืมความรู้สึกไป…
หวังหลินกำลังเดินอยู่ระหว่างฟ้าดินทันใดนั้นเขาสัมผัสบางสิ่งในใจได้จึงเข้าใจความจริงเบื้องหลังชีวิตและความตายได้เพิ่มอีกเล็กน้อย เดิมทีแล้วเขาจำเป็นต้องใช้เวลาอีกปีกว่าเพื่อฝึกฝนเขตแดนของเขาให้บรรลุขั้นตัดวิญญาณ ทว่าการรู้แจ้งของเขาเติบโตขึ้นทันที หลังผ่านไปเพียงครู่เขาก็มาถึงสถาวะที่พร้อมจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณเรียบร้อยแล้ว
กล่าวได้ว่าขณะนี้หากหวังหลินต้องการ เขาสามารถบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ในทันที
แต่เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ หวังหลินห้ามปรามการทะลวงขั้นและเหาะเหินออกไปเร็วยิ่ง
“ข้าเชื่อว่าพี่เขตแดนของพี่โม่คือจิตใจมรณะ ผลลัพธ์ของมันคือทำให้เขาสูญเสียความทรงจำ หลงลืมทุกอย่างจนเหลือทิ้งไว้เพียงแค่เต๋า” หวังหลินสูดหายใจลึก โม่จื่อคนนี้เป็นอัจฉริยะทีเดียว
การรู้แจ้งที่เขาได้รับในอารามในคืนนั้นในที่สุดก็อนุญาตให้จิตใจของหวังหลินบรรลุระดับขั้นตัดวิญญาณได้ ถึงจุดนี้หวังหลินมีค่าพอที่จะบรรลุขั้นตัดวิญญาณและมีเขตแดนของเซียนขั้นตัดวิญญาณคนหนึ่งแล้ว
ขั้นตัดวิญญาณนั้นความแข็งแกร่งของเซียนเริ่มต้นแตกต่างกันอย่างมหาศาล
เป็นเพราะเมื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ พวกเขาจะเพ่งสมาธิการฝึกฝนเปลี่ยนจากร่างกายตนเองไปสู่จิตใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้าใจฟ้าดินของตนเองและความแข็งแกร่งคือการที่สามารถควบคุมพลังนั้นได้ดีแค่ไหน
เขตแดนคือสิ่งสำคัญที่สุดต่อเหล่าเซียนตั้งแต่ขั้นตัดวิญญาณขึ้นไป
ความแตกต่างในการเข้าใจฟ้าดินและการได้รับเขตแดนนั้นแตกต่างกันมาก อีกความหมายหนึ่งก็คือมีเขตแดนนับไม่ถ้วนปรากฎออกมาแต่ไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขตแดนไม่แตกต่างกัน
แม้ว่าเขตแดนจะมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกันตอนที่พวกเขาบรรลุสุดขั้วของตนเอง ทว่าจุดเริ่มต้นนั้นแตกต่างกันมากและแน่นอนว่ามีผลกระทบต่ออนาคตของการฝึกเซียน
ดังนั้นในขั้นตัดวิญญาณ ความแข็งแกร่งของเหล่าเซียนแตกต่างกันมาก หากได้รับเขตแดนทั่วไปแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเทพเมื่อเทียบกับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด พวกเขายังล้าหลังใจเหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณเอง
หากหวังหลินต้องการบรรลุขั้นตัดวิญญาณให้รวดเร็วจริงๆ เขาก็สามารถทำมันได้ตอนที่แกะสลักเซียนขั้นตัดวิญญาณคนแรกของสำนักเมฆาขาวไปแล้ว ทว่าเขตแดนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาทำมันขึ้นมาด้วยตัวเอง มันเป็นการเดินตามรอยเท้าคนอื่น แม้เขาจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ก็คงยากที่จะทะลวงผ่านในอนาคต ซึ่งทำให้มีโอกาสน้อยมากในการบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ
นับตั้งแต่ที่มันไม่ใช่เขตแดนที่เขาสร้างขึ้นด้วยตัวเอง มันยากมากที่จะเข้าใจรู้แจ้งได้เต็มที่โดยไม่ต้องพูดถึงการเหนือกว่าด้วยซ้ำ…