292. กลับมา
ดวงอาทิตย์ตั้งตระหง่านในท้องฟ้า ซุนเว่ยสวมชุดคลุมสีน้ำเงินและฝ่ามือไพล่หลังขณะที่นั่งบนเก้าอี้มังกรตัวหนึ่งซึ่งกำลังลอยในอากาศ ด้านข้างเขามีสตรีสุดสวยสองคน หนึ่งในนั้นถือร่มคันใหญ่ให้ร่มเงาแก่เขาและอีกคนถือถ้วยลายครามสีฟ้ามีซุบพลัมเย็นๆอยู่ข้างใน
ขณะที่บนพื้นมีเซียนนับไม่ถ้วนในแคว้นแห่งนี้ยืนอยู่ ทั้งหมดต่างเพ่งสมาธิไปที่การรอคอยให้สนามรบต่างแดนเปิดขึ้น
ในหมู่คนเหล่านี้มีทั้งผู้อาวุโสของสำนักหลายแห่งและรวมถึงศิษย์ชั้นยอดของพวกเขาด้วย พวกเขากำลังจะไปฝึกฝนในสนามรบต่างแดนเพื่อยกระดับขั้นการฝึกตน
แน่นอนว่ามีศิษย์น้อยคนที่ไม่อยากถูกโยนเข้าไปในสนามรบต่างแดนเพื่อพบชะตากรรมที่เฉียดเป็นเฉียดตาย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆแม้ว่าอากาศจะร้อนมากเพียงใด แต่พวกเขาเป็นเซียน ร่างกายจึงสามารถทนต่อความร้อนได้ดังนั้นพวกเขาจึงดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลย
ศิษย์ผู้เยาว์หลายคนมองไปที่ซุนเว่ยด้วยใบหน้ายกย่องสรรเสริญ
ซุนเว่ยมีความสุขกับสายตาเช่นนี้มาก เขาโบกแขนและหนึ่งในหญิงข้างๆยื่นถ้วยให้เขาทันที เขาคว้าชอบและกินลูกพลัมในซุบ พลันความรู้สึกเย็นๆกระจายผ่านร่างกาย
ลูกพลัมนี้ไม่ใช่ลูกพลัมธรรมดาแต่เป็นสมุนไพรพิเศษที่เติบโตในแคว้นกงซุน เพียงแต่ดื่มไปอึกหนึ่งนับได้ว่าจะช่วยเพิ่มระดับฝึกตนได้จำนวนมาก
โดยเฉพาะสิ่งพิเศษที่ใช้ทำซุปถ้วยนี้ มันราวกับลูกพลัมน้ำทิพย์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซุนเว่ยเป็นคนที่มีความสุขกับสถานะตอนนี้
สองชั่วยามผ่านไป ซุนเว่ยวางช้อนลงและเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดรู้กฎของสนามรบต่างแดนอยู่แล้วแต่ข้าเพิ่มกฎข้อหนึ่ง ทุกสิ่งที่นำออกมาต้องถูกข้าตรวจสอบก่อนที่เจ้าจะได้รับมันไป จำไว้ให้ดี!”
เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา ทุกคนยอมรับข้อตกลง ทว่าแม้จะมีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดบางส่วนยอมรับแต่พวกเขาทั้งหมดเยาะเย้ยในใจ
ซุนเว่ยตบกระเป๋าและหินหยกห้าชิ้นลอยออกมา เขากัดนิ้วตัวเองเล็กน้อยและหยดโลหิตใส่หินหยกก่อนจะโยนพวกมันไปเบื้องหน้า
ทันใดนั้นหินหยกทั้งห้าชิ้นสร้างลำแสงสีทองห้าเส้นซึ่งกลายเป็นรูปวงกลม เขาร่ายมนต์ด้วยคำพูดแปลกประหลาดและลำแสงสีทองที่ปลดปล่อยออกมาจากหินหยกยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
หลังผ่านไปไม่กี่วินาที ซุนเว่ยสูดหายใจลึก เม็ดเหงื่อผุดบนหน้าผาก เขานำขวดหยกออกมากระดกเม็ดยาลงไปและมองไปที่หินหยกด้วยใบหน้าภูมิใจ
แสงสีทองของหินหยกทั้งห้าชิ้นยิ่งสว่างขึ้นและสว่างขึ้นจนเกิดเป็นพายุวนที่ใจกลาง พายุวนกลืนกินแสงสีทองและยิ่งขยายใหญ่ขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานนนักแสงสีทองทั้งหมดหายไปทิ้งไว้เหลือแต่เพียงพายุวนสีดำซึ่งดูเหมือนเป็นอีกสถานที่หนึ่งจริงๆ คลื่นอากาศหนาวเย็นพัดออกมาจากวังวนนี้ หากมองดูใกล้ๆพวกเขาจะเห็นอาวุธแตกหัก วัตถุดิบกระจัดกระจายและศพหลายร่างลอยอยู่อีกด้านหนึ่ง
ซุนเว่ยกระแอมออกมาด้วยใบหน้าภูมิใจอย่างเห็นได้ชัดและเขาพูดขึ้น “วันนี้…” ขณะที่จะเอ่ยคำต่อไป สายตาพลันจดจ้องไปบนหลุมดำและเผยใบหน้าตกใจ
ในเวลาเดียวกันเซียนทุกคนบนพื้นสูดอากาศอันหนาวเหน็บเข้าไปและมองที่วังวนอย่างหวาดกลัว
พวกเขาเห็นแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากข้างในวังวนและคว้าขอบของมันเอาไว้ ทันใดนั้นหลุมหนึ่งถูกฉีกเปิดออกในวังวนแห่งนี้และชายหนุ่มในชุดขาวเดินออกมา
จังหวะที่คนผู้นี้ปรากฎตัว ดวงอาทิตย์สว่างไหวพลันถูกเมฆบดบังและท้องฟ้ามืดครึ้ม
ซุนเว่ยตกตะลึง หัวใจเต้นระรัว เขารับรู้ได้ทันทีว่าไม่สามารถมองผ่านระดับของคนที่เดินออกมาจากสนามรบต่างแดนได้ แต่เขาเติบโตขึ้นในแคว้นเซียนอันดับสี่ดังนั้นจึงชะงักเล็กน้อย และสรุปได้ว่าคนผู้นี้ต้องเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณ
เขายืนขึ้นจากเก้าอี้มังกรและเดินเข้าหาหวังหลินอย่างรวดเร็ว พลันโค้งคำนับและเอ่ยขึ้น “ผู้น้อยซุนเว่ยจากแคว้นกงซุน ขอทักทายผู้อาวุโส”
คนที่เดินออกมาจากสนามรบต่างแดนชัดเจนแล้วว่าเป็นหวังหลิน
หลังเดินออกมาเขามองรอบๆอย่างงุนงงจนเพ่งสายตาไปบนซุนเว่ยและถามขึ้น “ที่นี่คือแคว้นกงซุนหรือ?”
ซุนเว่ยสั่นเทาเมื่อหวังหลินมองมา เขารู้สึกราวกับความคิดทั้งหมดถูกเขามองทะลุพลันรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ที่นี่ไม่ใช่แคว้นกงซุนแต่เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับผู้น้อย ที่นี่คือแคว้นหวู่เวินเป็นแคว้นเซียนอันดับสาม”
หวังหลินครุ่นคิดชั่วขณะ เขาเห็นแคว้นหวู่เวินบนแผนที่มาก่อน ที่นี่เป็นแคว้นเล็กๆทางตอนใต้ของดาวเคราะห์ ทะเลปิศาจห่างจากที่นี่ไปครึ่งดาว ดังนั้นกล่าวได้ว่าการเดินทางกลับครั้งนี้มีระยะทางยาวมากทีเดียว
หวังหลินเดินทางมาได้ไกลมาในสนามรบต่างแดนเพื่อทำการรวบรวมวิญญาณเร่ร่อน
เขามองทุกคนเบื้องล่างและจากนั้นหายตัวไป
หลังเห็นว่าหวังหลินจากไป ซุนเว่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและปาดเหงื่อบนหน้าผาก ตอนที่เห็นคนผู้นี้เขารู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่เจอท่านบรรพชนของตระกูล
เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อวดเก่งอีกต่อไป หลังจากนั้นเขาพูดต่อไม่กี่คำแล้วค่อยจากไป เขาจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับตระกูลรับทราบ
ในสายตาเขา เซียนขั้นตัดวิญญาณผู้หนึ่งที่สามารถเดินออกมาจากสนามรบต่างแดนได้ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียง
เมื่อหวังหลินปรากฎตัวอีกครั้ง เขาอยู่บนยอดภูเขาแห่งหนึ่ง ภูเขานี้เรียกกันว่าทะลวงฟ้า มันเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในแคว้นแห่งนี้จากแผนที่บอกมา
บนยอดภูเขาหวังหลินเริ่มคุ่นคิด หลังใช้หินวิญญาณมาหลายปี หวังหลินไม่ได้เหลือหินวิญญาณระดับสูงอยู่มากนักและพวกมันเป็นของหายากในแคว้นซูซาคุ เขาตัดสินใจจะไม่ใช้มันเพื่อเดินทางอีกต่อไป เขาจะเก็บมันไว้เว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ
การเดินทางในสนามรบต่างแดนครั้งนี้อุดมสมบูรณ์มาก ดูเหมือนว่าเมื่อวิญญาณดั้งเดิมของเขาสร้างขึ้น พลังของวิญญาณกลืนกินก็ได้รับการพัฒนาไปด้วย
หวังหลินนวดขมับเบาๆและยิ้มบาง การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการไปดินแดนสวรรค์ตราบใดที่ไม่เจอเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายหรืออัจฉริยะของเฉว่ยี่ ส่วนเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง เขามั่นใจร้อยส่วนว่าสามารถเอาชนะได้
แม้จะเจอเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสักคนหนึ่ง หวังหลินยังสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัยด้วยการเตรียมการทั้งหมดที่เขาทำมา
ความจริงมีอีกเหตุผลหนึ่งนอกจากการได้รับปราณสวรรค์ซึ่งทำให้หวังหลินเตรียมการเรื่องนี้มาก นั่นก็คือเพื่อปกป้องชีวิตตนเอง
สำหรับเซียนผู้หนึ่งที่จะเข้าไปในดินแดนสวรรค์พิรุณนั้น พวกเขาต้องลดระดับฝึกฝนไปสู่ขั้นตัดวิญญาณ หากใช้พลังมากกว่าขั้นตัดวิญญาณ พื้นที่รอบๆพวกเขาจะล่มสลาย นั่นหมายถึงว่ามีโอกาสสูงที่เซียนขั้นแปลงวิญญาณจะอยู่ในเขตแดนสวรรค์พิรุณด้วย
แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้มีมากนักซึ่งนับเป็นส่วนน้อย แม้พวกเขาต้องควบคุมระดับฝึกฝนไปสู่ขั้นตัดวิญญาณ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่เซียนขั้นตัดวิญญาณธรรมดาจะต่อกรด้วยได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่หวังหลินเตรียมการสำหรับการเดินทางครั้งนี้ไว้มากนัก
ส่วนเซียนเทวะในตำนานนั้นหายากที่จะเปิดเผยตัวเอง ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะมีใครเผยตัวในดินแดนสวรรค์พิรุณ
ทั้งหมดนี้คือการอนุมานของหวังหลินโดยมีพื้นฐานจากการฝึกฝนของเขา ความเข้าใจซูซาคุและความยากในการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่แม่นยำนักมันก็ไม่ไกลจากความเป็นจริงเท่าไหร่
ความจริงที่หวังหลินคาดเดายังสูงเกินไปเล็กน้อย มีเซียนขั้นเทวะเพียงแค่สี่คนบนดาวเคราะห์ซูซาคุ สองในสี่อยู่ระดับต้น อีกหนึ่งระดับกลางและสุดท้ายมีระดับปลาย บุคคลผู้ซึ่งได้รับสืบทอดนามของซูซาคุนั้นคือเซียนเทวะระดับปลาย
ทั้งสี่คนไม่ยอมออกจากซูซาคุและไม่สนใจเรื่องราวของแคว้นเซียน ไม่มีสิ่งใดมากนักที่ทำให้พวกเขาเคลื่อนไหว
ทั้งสี่คนนี้จะลงมือก็ต่อเมื่อมีเซียนจากดาวเคราะห์ดวงอื่นมาสร้างความรำคาญ
หวังหลินสูดหายใจลึก อสูรวิญญาณและเจ้าปิศาจทั้งหมดถูกเตรียมการไว้ แม้กระทั่งพัดขนนกก็ยังถูกเขาหลอมในสนามรบต่างแดน
ส่วนฝักกระบี่ลึกลับทั้งสามชิ้น พวกมันได้ถูกวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินปรับปรุงเช่นกัน
นอกเหนือจากของทั้งหมดนี้ มีเครื่องเล่นสิบชิ้นจากเซียนโบราณด้วย ซึ่งหวังหลินได้ทำลายผนึกไปสามชิ้นในหลายปีที่ผ่านมานี้และทำให้มันเป็นของตนเอง
ข้างในกระเป๋าของเขามีเพียงของสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่มั่นใจนัก มันคือม้วนคัมภีร์ที่ได้มาจากในทะเลปิศาจ
เมื่อเขาเปิดออก มันมีแต่เพียงความมืดมิดแต่มีกลิ่นอายอันตรายผุดออกมาจากความมืดมิดแห่งนั้น หวังหลินเปิดม้วนคัมภีร์แห่งนี้เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
ครั้งแรกตอนที่เขาบรรลุขั้นแกนลมปราณ ครั้งที่สองตอนบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและครั้งที่สามคือที่ผ่านมาตอนที่เขาบรรลุขั้นตัดวิญญาณทุกครั้งที่เปิดขึ้นมันให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไปแต่มีสิ่งหนึ่งคือพลังลึกลับสายหนึ่งที่ทำให้จิตใจเขาสั่นไหว
หวังหลินถอนหายใจขณะโบกแขนและม้วนคัมภีร์ปรากฎในฝ่ามือ ส่วนใครที่เขาได้ม้วนคัมภีร์นี้มา หวังหลินจดจำมันไม่ได้จริงๆ
หวังหลินโยนม้วนคัมภีร์ไปบนอากาศขณะที่วิญญาณดั้งเดิมลอยออกมาและเริ่มปรับแต่งมัน
นี่คืองานอดิเรกที่เขามักจะใช้เวลาด้วยหลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาปรับแต่งม้วนคัมภีร์ หวังหลินจะได้รับการเชื่อมต่อกับมันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ท้องฟ้ามืดหม่น วิญญาณดั้งเดิมกลับเข้าสู่ร่างและเก็บม้วนคัมภีร์กลับไป
“วันที่ประตูสวรรค์จะเปิดขึ้นควรจะมาถึงในอีกไม่ช้า เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ต้องเตรียมการ ทว่าการเตรียมการนี้จำเป็นต้องใช้ต้นไม้หลายร้อยหรือหลายพันปี” หวังหลินพึมพำกับตัวเองและจากนั้นกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและตรวจสอบทั้งแคว้นแห่งนี้
จากนั้นหวังหลินเคลื่อนไหวและหายตัวไป
สามเดือนต่อมาหวังหลินได้เดินทางผ่านแคว้นรอบๆไปแล้วเจ็ดแห่งและรวบรวมต้นไม้อายุหลายร้อยปีได้บางส่วน เขาสร้างถ้ำแห่งหนึ่งขึ้นมาในภูเขาสักที่และเริ่มสร้างไม้แกะสลัก
ยากนักที่จะหาต้นไม้หลักหลายพันปีดังนั้นหวังหลินจึงไม่สามารถหาตำแหน่งได้ แม้แต่ต้นไม้อายุหลายร้อยปีพวกนี้ก็ยากที่จะหาเจอ
ข้างในถ้ำ หวังหลินโยนความคิดเล็กน้อยทั้งหมดทิ้งไปและจมตัวเองอยู่กับการแกะสลัก