293. เปิดประตูสวรรค์
อีกหนึ่งปีผ่านไป ในช่วงเวลานั้นหวังหลินได้สร้างไม้แกะสลักขึ้นมาทั้งหมดแปดชิ้น ทั้งแปดชิ้นนี้เหือนกันซึ่งก็คือไม้แกะสลักของชายชราเขตแดนข้ามผ่านกาลเวลา
รวมกับชิ้นที่เขาสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้หวังหลินเป็นเจ้าของทั้งหมดเก้าชิ้น
เส้นโลหิตสีแดงไหลผ่านไม้แกะสลักแต่ไม่มีเส้นไหนสัมผัสกันเลย
แววตาหวังหลินสงบนิ่ง หากเขากระตุ้นไม้แกะสลักทั้งเก้าชิ้นพวกนี้ หวังหลินควรจะสามารถกระตุ้นพลังของเขตแดนข้ามผ่านกาลเวลาได้แต่มันจะอ่อนแอกว่าของชายชราเล็กน้อย
หวังหลินเก็บไม้แกะสลักกลับไป สูดหายใจลึกและเริ่มฝึกฝนเพื่อรอวันที่ประตูสวรรค์เปิดขึ้น
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและหลายปีได้ผ่านพ้นไป
ข้างนอกถ้ำหลายฤดูผ่านพ้นและวันหนึ่งท้องฟ้าสดใสของเดิมได้เติมเต็มไปด้วยลำแสงหลากสี ภาพมายาอึดอัดใจหลายรูปปรากฎในลำแสงเหล่านี้
มีทั้งบุรุษและสตรีปรากฎในภาพมายาแต่พวกเขาสวมชุดแตกต่างจากที่สวมใส่กันในซูซาคุ บางคนกำลังพูด บางคนกำลังหัวเราะ บางคนกำลังใช้วิชาบางอย่างและบางคนกำลังเหาะเหินผ่านเทือกเขา
มีกระทั่งอสูรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนพลันปรากฎขึ้นและหายไป บางครั้งกระทั่งมังกรในตำนานและฟินิกซ์ก็ปรากฎตัว
ฉากเหตุการณ์เดียวกันนี้ปรากฎในหลายสถานที่ข้ามผ่านซูซาคุ มีแต่เซียนที่มีหม้อพิรุณซึ่งพำนักอยู่เท่านั้นถึงจะเห็นเหตุการณ์นี้
ในตอนนี้เองแคว้นอันดับสี่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของซูซาคุ ยักษ์ตนหนึ่งของสำนักมารยักษ์กำหม้อพิรุณไว้ในฝ่ามือ เขามีใบหน้าดูคร่ำครึมาก ร่างกายค่อยๆลอยขึ้นและขณะนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นคนธรรมดาอย่างช้าๆ
เบื้องล่างเขา ผู้อาวุโสของสำนักมารยักษ์ทั้งหมดมีใบหน้าประหลาดใจมาก
“พวกเจ้าทั้งหมดมั่นใจได้ ด้วยสมบัติของสำนัก ข้าจะได้รับปราณสวรรค์จำนวนมากแน่นอน!” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ณ ปลายสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของซูซาคุ ในภูเขาลูกหนึ่ง ชายหนุ่มสวมหนังสัตว์กำลังมองขึ้นดูท้องฟ้า เขากำหม้อพิรุณในฝ่ามือ เผยรอยยิ้มชั่วร้ายจากนั้นลอยขึ้นไปในท้องฟ้า
เบื้องล่างเขา มวลสารสีดำปรากฎขึ้นทันทีพร้อมกับส่งเสียงหึ่งๆ หากมองดูใกล้ๆจะเห็นได้ว่ามวลสารสีดำนี้เกิดจากแมลงขนาดเล็กเท่าเล็บก้อยรวมกัน
ณ ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของซูซาคุ ชายวัยกลางคนยืนอยู่บนหอคอยแห่งหนึ่งมองไปบนท้องฟ้าด้วยใบหน้าเศร้าใจและเอ่ยขึ้น “ถิงเอ๋อ ประตูสวรรค์ได้เปิดขึ้นอีกครั้ง ข้าจะไปนำเอาหยกสวรรค์เพื่อให้ร่างเจ้าคงอยู่ได้อีกพันปีแน่นอน”
สิ้นคำ ร่างกายเขาลอยขึ้นไปบนอากาศ ฝ่ามือยักษ์ของเขายื่นออกมาเบื้องล่างและคว้าไปที่หอคอย หอคอยยักษ์ลอยขึ้นและหดกลับอยู่ในฝ่ามือ จากนั้นเขาเดินเข้าไปในภาพมายา
ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของซูซาคุ ในสาขาใหญ่ของสำนักซากศพ ชายชราผมสีขาวผู้หนึ่งลอยขึ้นไปในท้องฟ้า เขาถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ภาระที่ยากลำบากเช่นนี้มันอะไรกัน? ศพของเทวดาจะเอามาง่ายๆได้ยังไง? ร่างกายนี้ถึงเวลาทำงานแล้ว…”
ณ ใจกลางของดาวเคราะห์ซูซาคุมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยทะเล ตลอดทั่งทวีปแห่งนี้เป็นของแคว้นเซียนอันดับหกเพียงผู้เดียวนั่นก็คือแคว้นซูซาคุ ขณะนี้ในแคว้นซูซาคุบนแท่นบูชาขนาดใหญ่ใจกลางคว้น สตรีราวเทพธิดาหิมะนั่งอยู่ นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เบื้องหลังนางเป็นผู้ติดตามวัยชราเจ็ดคน
“หลังข้าจากไป พวกท่านทั้งเจ็ดคนรีบกลับเฉว่ยี่โดยด่วน” น้ำเสียงนางสงบนิ่งและหลังจากพูดเรื่องนี้ร่างของนางลอยขึ้นไปบนอากาศอย่างช้าๆ
ในตอนนี้หวังหลินซึ่งอยู่ในถ้ำพลันลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีและพึมพำ “ในที่สุดประตูสวรรค์ก็เปิดขึ้น” ร่างกายเขาหายไปจากในถ้ำ เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งเขาอยู่ในอากาศ
มีสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในฝ่ามือ มันเป็นหม้อพิรุณ
เมื่อหม้อพิรุณปรากฎ มันเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าจากนั้นหลอมละลายและกลายเป็นเศษเสี้ยวปราณสวรรค์ซึ่งนำหวังหลินเข้าหาภาพมายา
ดินแดนสวรรค์พังทลายและเทวดาโบราณทั้งหมดเสียชีวิตไปแล้ว ตลอดทั้งดินแดนสวรรค์แตกสลายเป็นชิ้นๆในภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อกาลก่อน
ดินแดนสวรรค์แห่งวายุ พิรุณ อัสนีและฟ้าคำรามแต่ชะแห่งครอบคลุมระบบดวงดาวที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ประตูสวรรค์เปิดขึ้น เหล่าเซียนจากดวงดาวหลากหลายแห่งจะเข้าไปข้างใน
ทว่าดินแดนสวรรค์ได้แตกหักเป็นหลายส่วนดังนั้นจึงไม่ได้มีโอกาสสูงเท่าไหร่ที่พวกเขาทั้งหมดจะพบเจอในส่วนเดียวกัน
ตอนนี้ในแคว้นอันดับสองแห่งหนึ่ง ชายชราสกปรกกำลังกินน่องไก่ขณะกัดไปด้วย “มันเปิดขึ้นแล้ว หากเจ้าใช้หมวกฟางที่ตาเฒ่าผู้นี้ให้อย่างถูกเวลา เจ้าจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เจ้าอาจไม่ตายที่นั่นหากเจ้าไม่ต้องการ”
หวังหลินถูกเศษเสี้ยวปราณสวรรค์ล้อมรอบขณะลอยสูงขึ้นและสูงขึ้น แคว้นเบื้องล่างเขาเล็กลงและเล็กลง ให้ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาได้รับประสบการณ์ค้นหาเขตแดนของตัวเองครั้งแรก
ถึงเช่นนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่สัมผัสวิญญาณแต่เป็นตลอดทั้งร่างกายเขาในครั้งนี้
ในที่สุดหวังหลินก็เห็นพื้นเบื้องล่างเขาและทะเลล้อมรอบพื้นที่ส่วนผืนดิน ทุกสิ่งเล็กลงถนัดตาจนเขาสัมผัสได้ถึงชั้นก้อนเมฆหนาเหนือศีรษะ
ชั้นก้อนเมฆนี้บรรจุพลังอำนาจไร้ขีดจำกัดและแรงกดดันของมันทำให้เขารู้สึกราวกับสามารถบดขยี้ทุกสิ่งในโลกได้
ทว่าขณะที่แรงกดดันกดลงบนตัวหวังหลิน พลังงานล้อมรอบเขาเรืองแสงขึ้นและหลุมหนึ่งเปิดในก้อนเมฆเพื่อให้หวังหลินผ่านเข้าไป
ขณะที่เขาผ่านก้อนเมฆไปหวังหลินสัมผัสได้ถึงความอันตราย ทางเดินมีขนาดเล็กมาและมันให้ความรู้สึกราวกับเขาสามารถจับต้องก้อนเมฆได้ง่ายๆหากยืดขาตรงๆ ทว่าหวังหลินกลับรู้ว่าเมื่อสัมผัสกับก้อนเมฆ พลังข้างในจะเข้าไปในร่างเขาและทำลายให้สิ้น
นี่คือพลังอำนาจของสวรรค์
หวังหลินสูดหายใจลึกและแววตาสว่างขึ้น เขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากร่างหลักของเขาอยู่ที่นี่ ร่างหลักของเขาซึ่งได้ผ่านการปรับโครงสร้างร่างกายไปสองครั้งจะทนต่อแรงกดดันนี้ได้หรือไม่?
คำถามนี้ยังคงเหลือไว้โดยไร้ซึ่งคำตอบเว้นแต่ว่าเขาจะทดสอบด้วยร่างหลัก
ในไม่ช้าภายใต้การชี้นำของพลังงานปราณสวรรค์ หวังหลินออกมาจากก้อนเมฆ หลังออกมาได้หวังหลินผ่อนคลายเล็กน้อยแต่จิตใจเริ่มเต้นตุบๆ
สิ่งที่เขาเห็นคืออวกาศข้างนอกของจริง
หวังหลินเห็นอวกาศเช่นนี้หลายครั้งผ่านความทรงจำของเทพโบราณและตอนที่เขาค้นหาด้วยเขตแดนตัวเอง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประสบพบเจอมันในตัวตนของเขาจริงๆ
ความรู้สึกนี้แตกต่างอย่างมากจากเมื่อก่อน
อวกาศกว้างใหญ่และดวงดาวส่องสว่างทำให้หวังหลินรู้สึกได้ว่าเขาสามารถไปที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ
เขากดศีรษะลงและเห็นดาวเคราะห์ซูซาคุในตอนนี้เป็นดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งแต่ยิ่งเขาไปสูงขึ้นมันก็ยิ่งเล็กลงและเล็กลง…
“เป็นเช่นนี้เอง…” หวังหลินดูเหมือนจะตระหนักบางสิ่งได้
ขณะนี้เองเสาแสงจำนวนห้าเสาลอยออกมาจากดาวเคราะห์ซูซาคุ สามในนั้นต่างก็มองไปที่ดาวเคราะห์ราวกับตระหนักสิ่งหนึ่งได้เช่นกัน
หวังหลินรู้สึกว่าพลังงานสวรรค์ล้อมรอบเขาเคลื่อนไหวเข้าใกล้กับอีกห้าคนจนพวกเขาสร้างเป็นหกเหลี่ยม
ระยะห่างระหว่างพวกเขาไม่ได้กว้างมากแต่ไม่สามารถบอกมันน้อยแค่ไหน
หวังหลินจดจำได้ทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวที่อยู่ในกลุ่มทั้งห้านี้ซึ่งนางเป็นอัจฉริยะของเฉว่ยี่ผู้ซึ่งบรรลุระดับตัดวิญญาณได้ในเวลาเพียงหนึ่งร้อยปี ผีเสื้อแดง
หวังหลินกวาดสายตาผ่านพวกเขาไปด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ภายในการคาดคำนวณของเขานั้นผีเสื้อแดงคงปรากฎตัวขึ้นและนางไม่เคยเห็นรูปร่างที่แท้จริงของเขามาก่อน
ส่วนอีกสี่คน หนึ่งในนั้นดูทรงพลังมาก เขาไม่ได้สวมเสื้อทว่าเผยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เขาแทบไม่ได้ดูเหมือนเซียนแต่ดูเหมือนจอมยุทธ์มากกว่า
ทว่าระหว่างคิ้วของเขามีรูปร่างขวานที่ปรากฎขึ้นและหายไป
หลังเห็นขวานนี้หวังหลินจึงยืนยันได้ว่าคนผู้นี้ต้องมาจากเผ่ามารยักษ์และตำแหน่งของเขาในเผ่าต้องสูงแน่นอน
อีกคนหนึ่งดูหนุ่มแน่นแต่สายตาเขาเผยแววกระหายโลหิตและเหี้ยมโหด หวังหลินถอนสายตาออกมาหลังมองครั้งเดียว กลิ่นอายของคนผู้นี้คล้ายคลึงกับร่างหลักของเขาแต่อ่อนแอเล็กน้อย
หากร่างหลักของเขาอยู่ที่นี่หวังหลินจะสามารถกดดันคนผู้นี้ด้วยเจตนาฆ่าฟันด้วยตัวคนเดียว
สิ่งที่ทำให้ม่านตาหวังหลินหดแคบลงก็คือสองคนสุดท้าย โดยเฉพาะชายชราผมขาว คนผู้นี้หลับตาอยู่ ฝ่ามือไพล่หลังและใบหน้าไม่เผยอาการอันใด ทว่าคนผู้นี้ให้ความรู้สึกไร้กังวลราวกับตอนนี้เขามาเดินเล่นในสวนหลังบ้าน
ขณะที่หวังหลินมองเขา คนผู้นี้พลันลืมตาขึ้นและยิ้มบางๆให้กับหวังหลิน
หวังหลินมองคนผู้นี้ชั่วครู่ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปที่คนสุดท้าย
เขาดูเป็นชายวัยกลางคน มีน้ำเต้าในฝ่ามือและดื่มมันเป็นบางครั้ง สายตาของเขาว่างเปล่าราวกับไม่มีสิ่งใดกวนใจได้ เขาไม่ได้เผยอาการอะไรตอนที่หวังหลินมอง
หวังหลินสูดหายใจลึก ทุกๆคนต่างแข็งแกร่ง
ขณะที่หวังหลินสังเกตการณ์คนทั้งห้า อีกสี่คนนอกจากชายวัยกลางคนที่กำลังดื่มต่างก็มองกันเอง ทว่าไม่มีใครพูดคุยกัน
ทันใดนั้นหวังหลินตระหนักได้ทันทีว่าเขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีใครรู้จักบนดาวเคราะห์ซูซาคุเสียแล้ว ความจริงที่เขาสามารถออกจากดาวเคราะห์และไปดินแดนสวรรค์ก็ได้ยืนยันเรื่องนี้แล้ว
นอกจากชายชราและชายวัยกลางคน อีกสามคนไม่ได้ประเมินเขาต่ำเกินไปเลย ความจริงพวกเขาระวังหวังหลินไว้เสมอ
หวังหลินยิ้มบาง ขณะนั้นเขารู้สึกภูมิใจมาก ใครจะคิดว่าเด็กน้อยจากหมู่บ้านในภูเขาจะมาได้ไกลขนาดนี้ได้เช่นไร?
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา หวังหลินกล่าวได้ว่าทุกก้าวที่เขาเดินได้บรรจุสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาแล้วทั้งนั้น