Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 778

Cover Renegade Immortal 1

778. บัญชาแห่งกลียุค

“ซิ่วมู่…” เซียนรอบด้านทั้งหมดจดจำชื่อนี้ให้ขึ้นใจ เป็นสิ่งที่พวกเขาจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต

“ซิ่ว?” สตรีข้างถังหยานเฟิงขมวดคิ้วและสีหน้ามืดมน

ถังหยานเฟิงจ้องหลุมดำที่ถูกผนึกเอาไว้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าก็คิดเหมือนกันหรือ…”

นางพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “แม้จะมีตระกูลซิ่วหลายแห่งในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ส่วนใหญ่ไม่ทราบนาม เซียนขั้นรูปธรรมหยางที่ปรากฏขึ้นมาคนนี้แข็งแกร่ง ต้องเป็นตระกูลซิ่วจากดาวตงหลิน! ลูกหลานของดาวตงหลินไม่ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว หรือว่าเขาจะเป็น…”

รูม่านตาของนางหดลงและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

ถังหยานเฟิงขบคิดเงียบๆ ขณะนั้นเอ่ยขึ้นอย่างสุขุม “เขาแข็งแกร่งมาก แม้จะไม่ใช่ลูกหลานของดาวตงหลิน ความแข็งแกร่งไม่ห่างไปจากนั้นมากนัก ตระกูลถังของเราควรจะหลีกเลี่ยงไม่ไปตอแยเขา!”

“เช่นนั้นเรื่องคนตระกูลที่ตายไปสองคนเล่า?” นางมองถังหยานเฟิง

“ถ้าพวกเขาตายก็คือตาย!” ถังหยานเฟิงหันกลับมาและจากไป เขาล้มเลิกความคิดเรื่องหลุมดำใต้ค่ายกลนั้นแล้ว

นางพยักหน้าและติดตามไป ส่วนชายหนุ่มที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขั้นมายาหยินก็รีบติดตามไปด้วย เขายินดีที่ตัวเองตัดสินใจถูกก่อนหน้านี้

‘คนที่สามารถทำให้นายน้อยรู้สึกหวาดกลัวต้องไม่ใช่คนที่ข้าจะไปตอแยได้! ซิ่วมู่…’

หลังกลุ่มของถังหยานเฟิงจากไป เซียนรอบด้านก็เริ่มลังเล แม้ว่าหวังหลินจะเข้าหลุมดำไปแล้วยังไม่มีใครกล้าเข้าพื้นที่ต้องห้ามเลย แม้ต้นตอของฝุ่นจะหายไปแล้ว ราวกับว่าพื้นที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายจริงๆ

หลังผ่านไปสักพัก คนเหล่านี้ก็ถอยกลับทีละคน ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะฉากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาขวัญผวาเป็นอย่างยิ่ง

ชื่อซิ่วมู่ค่อยๆแพร่กระจายในหมู่สหายของคนที่จากไปเหล่านี้

ค่ายกลบนพื้นปลดปล่อยแสงเจือจาง หลังผ่านไปสักพักแสงนั้นก็ค่อยๆหมองลงจนกระทั่งไม่มีการตอบสนองอะไรเหลืออยู่และกลายเป็นค่ายกลปิดตาย

ตอนที่ลี่หยวนวางค่ายกลนี้ลง เขาคำนวณไว้แล้วว่าจะป้องกันคนนอกเข้ามาได้อย่างไร ตัวเลือกแรกคือการใช้ค่ายกลปิดตาย

หลุมดำข้างใต้ค่ายกลไม่ได้ใหญ่นักแต่ลึกเข้าไปมีทางเดินอยู่ แม้จะมืดมิดแต่เซียนสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

ลี่หยวนอยู่ข้างหน้าและหวังหลินเดินตามมาข้างหลัง ทั้งสองเดินลงไปในอุโมงค์

ดวงตาลี่หยวนส่องส่างขึ้นและเดินขณะเดินไปด้วย “พี่ซิ่ว ข้าสามารถยืนยันได้ว่าเราเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาที่นี่หลังจากแดนสวรรค์ล่มสลาย ดูพลังปราณสวรรค์ที่ผันผวนออกมาจากผนังสิ หากคนอื่นมาที่นี่และอุโมงค์เปิดขึ้นมานานแล้ว พลังปราณสวรรค์ทั้งหมดนี้คงหายไปแล้ว!”

หวังหลินไม่ได้เอ่ยออกมาแต่ใช้สัมผัสวิญญาณแพร่กระจายมาข้างหน้า ทว่าเขาไม่ได้แผ่ออกไปไกลเกินไปเพราะจำเป็นต้องระมัดระวังตัว ไม่เช่นนั้นอาจจะไปกระตุ้นกฏเกณฑ์ขึ้นมาโจมตีได้ง่ายๆ

น้ำเสียงลี่หยวนเต็มไปด้วยความสงสัยและถามขึ้นรวดเร็ว “พี่ซิ่ว ในหลุมดำก่อนหน้านี้ข้าพบสมบัติสมอย่าง แต่พวกมันมีบางอย่างผิดปกติ ข้าจะเอาพวกมันออกมาทีหลังและเราค่อยวิเคราะห์”

“เยี่ยม!” หวังหลินเอ่ยขึ้น แพร่กระจายสัมผัสวิญญาณมุ่งหน้าอย่างช้าๆ อุโมงค์นี้ไม่มีเส้นทางอื่น มีแค่ถนนเดียวที่นำทางลงไป

อุโมงค์นี้ดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ทั้งสองคนเดินทางมากกว่าครึ่งชั่วโมงยังไม่เห็นปลายทาง ลี่หยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

“ที่นี่มันลึกได้อย่างไร? หรือว่ามันเป็นชิ้นส่วนทับซ้อน?” ด้วยความคิดนี้ในใจลี่หยวนจึงเคลื่อนที่ให้เร้วขึ้น

หวังหลินตามไปอย่างกระชั้นชิดและขมวดคิ้วหนัก ขณะที่พวกเขาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆพลันเกิดความรู้สึกประหลาดในใจ เป็นความรู้สึกเหมือนมีคนกำลังกดนิ้วลงมาระหว่างคิ้วและเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

ยิ่งพวกเขาลึกเข้าไปในอุโมงค์ก็ยิ่งมีความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้น หลังผ่านไปครึ่งก้านธูป หวังหลินหรี่สายตา คว้าตัวลี่หยวนและหยุดลงทันที

ลี่หยวนตกตะลึงพลางหันกลับมามองหวังหลิน

หวังหลินเอ่ยถาม “น้องลี่มีความรู้สึกประหลาดไหม?”

ลี่หยวนส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้สึกอะไร พี่ซิ่วหมายความว่าอะไร?”

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะมองลี่หยวน สายตาตกลงระหว่างคิ้วลี่หยวนและเอ่ยขึ้นมาทันที “น้องลี่ แยกหัวใจแห่งกฏเกณฑ์ตรงระหว่างคิ้วมา”

ลี่หยวนพยักหน้า ต้นตอของหัวใจแห่งกฏเกณฑ์เขาอยู่ตรงระหว่างคิ้ว ขณะที่หัวใจแห่งกฏเกณฑ์สลายไปอย่างช้าๆลี่หยวนก็พลันซีดเผือดทันที สายตาดุดันและแดงฉาน

เขาสูดลมหายใจเย็นเข้าไปและหัวใจแห่งกฏเกณฑ์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่มีมันเขาจึงสงบตัวเองลงได้ เอ่ยขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว “ข้ารู้สึกถึงมันแล้ว!”

สายตาหวังหลินส่องประกาย “ดูเหมือนว่าไม่ได้มีข้าคนเดียวที่รู้สึก!” หวังหลินยกนิ้วชี้ขึ้นมา พลังดั้งเดิมในร่างไหลเวียนและเริ่มวาด

หวังหลินเริ่มสร้างเส้นโค้งขึ้น หวังหลินสร้างอักขระไปเรื่อยๆพร้อมกับที่พวกมันปลดปล่อยแสงสีเงิน ทว่าเส้นข้างใต้ยังคงแตกหักราวกับอักขระไม่สมบูรณ์

หวังหลินถาม “น้องลี่รู้จักอักขระนี้ได้ไหม?”

“คุ้นๆเล็กน้อย…” ลี่หยวนจ้องอักขระรูนและเริ่มคิด สักพักเขาก็นั่งลงและเริ่มคิดอย่างถี่ถ้วนถึงอักขระทั้งหมดที่เรียนรู้และเคยเห็น

เวลาครึ่งก้านธูปผ่านไป ลี่หยวนขมวดคิ้ว “มีอักขระสี่แบบที่คล้ายกัน แต่ว่าอักขระนี้ไม่สมบูรณ์จึงตัดสินไม่ได้ว่าเป็นอันไหนในสี่แบบ! พี่ซิ่ว ท่านได้อักขระนี้มาจากไหน?”

หวังหลินไม่ตอบ แต่ใช้สัมผัสวิญญาณแพร่กระจายออกมาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นสักพักเขาก็ยกแขนขึ้นมาวาดอักขระต่อไปจากจุดที่แตกหักด้านล่าง

ลี่หยวนจ้องอักขระและเคร่งเครียดขึ้นมา ท้ายที่สุดเขาก็ตกตะลึงเมื่อจดจำอักขระนี้ได้

หวังหลินเอ่ยขึ้น “น้องลี่ อักขระนี้สร้างขึ้นมาจากอุโมงค์ที่เราอยู่ ข้ากระจายสัมผัสวิญญาณระหว่างทางและสามารถวาดมันได้”

“พี่ซิ่วหมายความว่ามีคนสร้างอุโมงค์นี้ในรูปของอักขระนี้!” ลี่หยวนยืนขึ้นมา ระดับบ่มเพาะของเขาไม่สูงพอจนแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณให้ปกคลุมอุโมงค์ได้ แต่เขาไม่สงสัยในคำพูดของหวังหลินเลย

“พี่ซิ่ว นี่คืออักขระกฏเกณฑ์ในหมู่กฏเกณฑ์เทพ แต่ว่าอักขระรูนนี้ไม่สามารถใช้เดี่ยวๆได้ มันจะแสดงผลก็ต่อเมื่อรวมเข้ากับกฏเกณฑ์อื่นเท่านั้น”

หวังหลินถามขึ้นมา “แสดงผลอะไร?”

ลี่หยวนส่ายศีรษะ “เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่ากฏเกณฑ์นี้คืออะไรจนกว่าเราจะไปถึงสุดอุโมงค์และเห็นว่าอักขระวาดได้อย่างไร”

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยพลางมองทางเดินเบื้องหน้า “เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ลงไปดูกันเถอะ!”

ขณะเอ่ยขึ้นมาเขาก็นำทางโดยมีลี่หยวนตามด้านหลัง แขนซ้ายสร้างผนึกขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำการคาดเดากฏเกณฑ์

ความเร็วครั้งนี้ไม่ได้เร็วนักแต่ก็ไม่ได้หยุดลงตรงไหน

ขณะเคลื่อนมาข้างหน้า ความรู้สึกจากระหว่างคิ้วหวังหลินยิ่งรุนแรงขึ้นทำให้เขาใบหน้ามืดมนยิ่ง หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง สัมผัสวิญญาณพบกับปลายทางแล้ว

หวังหลินสูดหายใจลึกและพุ่งไปทันที ข้างหน้ามีทางออกและเขาหยุดลงหลังจากนั้น ลี่หยวนตามมาติดๆ เขาเห็นจุดสิ้นสุดด้วยสัมผัสวิญญาณและขบคิดไปด้วย

ปลายสุดของทางเดินนี้คือวังวนสูงขนาดเท่าคนหนึ่งคน มันเรืองแสงห้าสีราวกับกำลังหมุนเป็นวงกลม รอบด้านถูกห่อหุ้มด้วยแสงห้าสีนี้

หลี่หยวนจ้องวังวนพร้อมกับใช้แขนซ้ายขยับต่อเนื่อง ทันใดนั้นก็หยุดลงและเอ่ยออกมา “พี่ซิ่ว ข้าเจอแล้ว ส่วนประกอบของอักขระรูนนี้ใช้ได้อย่างเดียวและมันคือการฟื้นฟู!”

“หากข้าเดาไม่ผิด ที่นี่ไม่ใช่ที่เดียวที่มีอักขระรูนแบบนี้ มันควรมีทั้งหมดเก้าแห่งและอักขระรูนทั้งเก้าก่อตัวเป็นค่ายกลฟื้นฟูขนาดใหญ่!”

“ถือได้ว่าเป็นภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่ในแดนสวรรค์อัสนี!”

ขณะลี่หยวนพูดเช่นนี้ ดวงตาส่องสว่างขึ้นและมองหวังหลิน มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดออกไปแต่เชื่อว่าหวังหลินคงจะเข้าใจได้

หวังหลินเอ่ย “ค่ายกลฟื้นฟู…น้องลี่หมายความว่าใจกลางของค่ายกล มีคนที่ถูกค่ายกลนี้ฟื้นฟูมาตลอดตั้งแต่อดีต…”

“พี่ซิ่วพูดถูกต้อง มีเพียงคำตอบนี้เท่านั้นที่จะอธิบายทุกอย่างได้ แม้ว่าข้าจะบอกไม่ได้ว่ามีคนกำลังใช้มันฟื้นฟูอยู่จริงๆหรือไม่ หากมีอยู่คนนึง มันก็ต้องเป็น…”

“เทพ!” ดวงตาหวังหลินเผยแสงประหลาด

“แม้ว่าวังวนนี้จะนำทางไปใจกลางค่ายกล มันกลับถูกผนึกจากข้างใน แต่ข้ามั่นใจว่าจะเปิดมัน…” ลี่หยวนจ้องวังวนและเผยแสงประหลาดในแววตา เขาก้าวมาข้างหน้าและยกแขนซ้ายขึ้น

หวังหลินขมวดคิ้ว ลี่หยวนไม่ใช่คนที่ทำอะไรบุ่มบ่าม ดังนั้นเขาจะไม่คิดอะไรหน่อยหรือ? หวังหลินก้าวมาข้างลี่หยวนและจับเอาไว้

ลี่หยวนหันกลับมามองหวังหลิน แสงประหลาดนั้นปรากฏขึ้นมาในแววตาอีกครั้ง “พี่ซิ่ว ท่านไม่ต้องการวิชาเทพหรือ? อะไรจะดีกว่าต้นตอของวิชาเทพไปมากกว่าเทพสักตนกันเล่า? บางทีเทพตนนั้นกำลังอ่อนแออยู่ตอนนี้เราสามารถเข้าไปข้างในและจับเอาไว้ได้!” กฏเกณฑ์สร้างขึ้นในมือซ้ายและเขาผลักมันไปข้างหน้า

หวังหลินหรี่สายตาและตรงเข้าทำลายกฏเกณฑ์ พลังดั้งเดิมพรั่งพรูจากแขนขวาเข้าสู่ลี่หยวนทำให้เขาสลบไปตรงๆ

หลังทำเช่นนี้ หวังหลินหันกลับมามองวังวน เขาขบคิดชั่วครู่ก่อนจะคว้าลี่หยวนและล่าถอย

เพียงแค่ล่าถอยไปสามสิบฟุต วังวนพลันหยุดหมุนทันที กลิ่นอายมืดมนโผล่ออกมาและปรากฏดวงตาตรงใจกลางวังวน

ขณะเดียวกันน้ำเสียงประหลาดดังก้องในหัวหวังหลิน

“เจ้าต้องการเรียนรู้วิชาเทพหรือไม่…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!