บทที่ 16 : เอาชนะจ้าวกัง
“ ใช่ ข้าคือจ้าวเฟิง”
จ้าวเฟิงไม่ถอยทั้งยังไม่หลบเลี่ยง กลับกันเด็กหนุ่มเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ ภาพนี้ทำให้เหล่าศิษย์คนอื่นต้องตะลึงไป
“จ้าวเฟิงทะลวงถึงขั้นสามตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จ้าวคังและพรรคพวกรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่ม กระทั่งจ้าวซุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้าวยี่จางยังตกใจ
“ฮึ่ม! แค่ขยะที่ใช้ความช่วยเหลือผู้อื่นในการทะลวงขั้น คนพวกนี้มักอ่อนแอเป็นพิเศษ” จ้าวยี่จางเอ่ยอย่างเหยียดหยาม
“อาจเป็นเช่นนั้น”จ้าวซุ่ยเอ่ยตอบ
“จ้าวเฟิง เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคาด ไม่น่าแปลกที่เอาชนะน้องชายข้าได้” จ้าวกังเอ่ยชมขณะที่เดินไปหยุดห่างจากอีกฝ่ายสองหลา
“หยุดเอ่ยชมข้าเสีย ข้าเดาว่าเจ้าคงมาเอาคืนให้น้องชายเจ้าใช่หรือไม่?” จ้าวเฟิงเผยยิ้มบาง
“ใช่!” จ้าวกังเอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว
“แม้ว่าน้องชายข้าจะเป็นขยะไร้ประโยชน์… เขาก็ยังเป็นน้องชายข้า” ใบหน้าของจ้าวคังแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น พี่ชายของเขาผู้นี้มิเคยไว้หน้าใครแม้แต่น้อย
จ้าวกังเอ่ยต่อ
“เจ้าเด็กกว่าข้าและเพิ่งจะทะลวงเข้าขั้นสาม ดังนั้นแล้วข้าจะไม่รังแกเจ้า หากเจ้ารับมือได้สิบกระบวนท่า เรื่องราวนี้นับว่าไม่เคยเกิด”
“แน่นอน” จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ กับท่าทีของจ้าวกัง ดูท่าผู้เป็นพี่ชายของจ้าวคังนั้นจะมิได้เย่อหยิ่งเท่าที่เขาคาด
ทั้งสองเผชิญหน้ากันในพื้นที่ส่วนหนึ่งของลานฝึกฝน
“มันจะเริ่มแล้ว…”
บรรยากาศของจ้าวกังแปรเปลี่ยนไปเป็นเย็นยะเยือกในทันใด มือเท้าของเขาเริ่มคดโค้งคล้ายอสรพิษ
อสรพิษสิบสามลักษณ์!
ศิษย์บางคนรู้ท่าร่างของวิชานี้ จ้าวเฟิงที่เป็นคู่ต่อสู่รู้สึกได้ถึงความเย็นวาบไร้ที่มา ทั้งๆ ที่สองพี่น้องนี้เรียนรู้วิชาเดียวกัน ทว่าความกดดันของจ้าวกังนั้นมากกว่า
“ลักษณ์ที่สองแห่งอสรพิษ!”
จ้าวกังราวกับกลายเป็นงู ฉกวูบเข้าหาศีรษะของจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มรู้สึกได้เพียงความเย็นวาบที่มุ่งตรงมายังศีรษะของเขา ความเร็วและพลังของอีกฝ่ายมากกว่าจ้าวคังสองเท่า ดีที่ดวงตาซ้ายของเขาสามารถมองเห็นท่าร่างการโจมตีของอีกฝ่ายได้ง่ายดาย เด็กหนุ่มจึงส่งหมัดออกไปป้องกัน
ปั่ก!
จ้าวเฟิงปัดอีกฝ่ายออกไปด้วยหมัดของเขา ทว่าเขารู้สึกราวกับว่าร่างกายของอีกฝ่ายเป็นดั่งเนย จ้าวกังหักบิดตัวเรี่ยพื้นก่อนใช้ความเร็วและความรุนแรงราวระเบิดพุ่งกลับไปหาจ้าวเฟิง
“ไม่แปลกใจที่เขานับเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของศิษย์สายนอก!” เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับคู่ต่อสู้มิใช่มนุษย์ ทว่าเป็นอสรพิษมากเล่ห์
ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก!
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งขรึมในขณะเผชิญหน้ากับจ้าวกัง ในระยะเวลาสั้นๆ เด็กหนุ่มเกือบพ่ายแพ้ไปแล้วหลายครั้ง
“ข้าอยากรู้นักว่าข้าจะรับมือได้อีกเท่าใดหากไม่ใช้ตาซ้าย” จ้าวเฟิงเยือกเย็นยิ่งนัก เมื่อเขาใช้ตาซ้าย ปฏิกิริยาตอบโต้และสายตาของเขาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่า ดังนั้นแล้วมันจึงไม่อาจนับว่าท้าทายอันใด
แน่นอนว่าแม้ว่าจะไม่ใช่ตาซ้าย ปฏิกิริยาตอบโต้ของจ้าวเฟิงก็ยังเหนือกว่าผู้เรียนรู้การฝึกตนในขั้นเดียวกัน
ตั้งแต่เริ่มนั้นเด็กหนุ่มตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก ทว่ายิ่งการปะทะยาวนานขึ้น เขาจึงเริ่มใช้ประสบการณ์และจิตต่อสู้ในการต่อต้านอีกฝ่าย
ปั่ก! ปั่ก! ตูม!
เงาของร่างสองร่างปะทะกันที่ลานฝึกฝน ทั้งสองล้วนใช้วิชาต่อสู้ระยะใกล้ และความเร็วของพวกเขานั้นสูงยิ่งนัก
“ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าที่ข้าคาด”
“นี่ก็ 5 กระบวนท่าแล้ว” ศิษย์หลายคนรู้สึกเหลือเชื่อ
“การพัฒนาของเขานับว่ารวดเร็วเกินไปแล้ว”
ลมหายใจของจ้าวซุ่ยถี่ขึ้น
ไม่ไกลกันนั้น จ้าวคังเริ่มปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาคาดว่าด้วยความแข็งแกร่งของพี่ชายเขาคงเสียเวลาเพียง 2-3 กระบวนท่าในการเอาชนะจ้าวเฟิง มิคาดว่าอีกฝ่ายจะพัฒนาขึ้นมากเช่นนี้
ไม่ช้าก็เข้าสู่กระบวนท่าที่หก!
เพียงแค่จ้าวเฟิงและจ้าวกังเสมอกัน
“ลักษณ์ที่สี่แห่งอสรพิษ!”
การเคลื่อนไหวของจ้าวกังกลายเป็นราวกับทะเลพัด ถาโถม และโอบล้อมจ้าวเฟิงไว้ เมื่อเข้าสู่ลักษณ์ที่สี่ พลังโจมตีของจ้าวกังก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้น เขาจำได้ว่าจ้าวคังนั้นฝึกฝนได้เพียงสามลักษณ์แรกของวิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์เท่านั้น
แต่ทว่าจ้าวกังนั้นกลับเรียนรู้ไปแล้วถึงเจ็ดลักษณ์! ทุกลักษณ์นั้นย่อมยากขึ้นที่จะฝึกฝน ทว่าในขณะเดียวกันพลังโจมตีก็จะมากขึ้นตามไป จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับว่าคู่ต่อสู้นั้นไม่มีกระดูกและกำลังเข้าใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ…
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงใช้นภาลอยล่องโดยสัญชาตญาณเพื่อสร้างระยะห่างจากอีกฝ่าย การต่อสู้ระยะประชิดนั้นนับว่าเป็นจุดแข็งของอสรพิษสิบสามลักษณ์ กระทั่งหมัดมังกรคลั่งยังยากที่จะต่อกร
ปึก! ปึก!
ในด้านของความเร็วนั้นจ้าวเฟิงมักจะเร็วกว่าจ้าวกังอยู่เสมอ
กระบวนท่าที่แปด กระบวนท่าที่เก้า… กระบวนท่าที่สิบ!
เงาทั้งสองแยกออกจากกันในขณะที่เหล่าผู้ชมกลั้นหายใจ
“เจ้าชนะแล้ว” จ้าวกังมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึก ดูราวกับจนใจ จากนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับและจากไป ทิ้งฝูงชนที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงไว้เบื้องหลัง
“ขอบคุณที่ออมมือ” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง เขาไม่ได้ใช้ทั้งหมดที่เขามีในการต่อสู้นี้ ตัวอย่างเช่น เขาไม่ได้ใช้ดวงตาซ้ายของเขาอย่างเต็มที่ ทั้งยังไม่ได้ใช้นภาลอยล่องและลมหายใจผลักวายุอย่างเต็มประสิทธิภาพเช่นกัน
เขามีสองเหตุผล
อย่างแรก เขาต้องการที่จะรู้ว่าเขาแข็งแกร่งเท่าใดหากไม่มีดวงตาซ้าย
อย่างที่สองคือเขาต้องการซ่อนไพ่ตายไว้สำหรับงานประลองประจำตระกูล
ผลลัพธ์นั้นชัดเจนยิ่ง เมื่อเขาปิดกั้นตนเองไม่ให้ใช้สิ่งเหล่านี้ ความสามารถของเขาเสมอกับจ้าวกัง แน่นอนว่าเขาไม่อาจยืนยันได้ว่าจ้าวกังได้ซ่อนไพ่อื่นใดไว้อีกหรือไม่เมื่อพวกเขาปะทะกันเพียง 10 กระบวนท่า
“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด…?” ศิษย์หลายคนที่คุ้นเคยกับจ้าวเฟิงจ้องไปยังเด็กหนุ่มด้วยดวงตาเบิกกว้าง อาการของจ้าวคังนับว่าหนักกว่า เขาอ้าปากค้างราวกับไก่ไม้
“พี่ชาย หากท่านไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในสิบกระบวนท่า ท่านก็ยังสามารถเอาชนะเขาเพื่อข้าได้นี่” จ้าวคังเอ่ยเมื่อตามผู้เป็นพี่ทัน
“เจ้าควรจะยอมแพ้เสียดีกว่า แม้ว่าจะไม่มีข้อจำกัดนั่นข้าก็เอาชนะเขาไม่ได้อยู่ดี ความเร็วของเขานั้นมากเกินไปสำหรับข้า” จ้าวกังส่ายศีรษะ
“เป็นไปได้อย่างไร!” จ้าวคังรู้ว่าพี่ชายไม่เอ่ยคำโกหก มันไม่ใช่นิสัยของเขา
“เขาชนะ…”ร่างกายของจ้าวซุ่ยแข็งค้างขณะมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกล เด็กหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าดูดีและสูงยิ่งกว่าครั้งใด…
“เด็กนั่นนับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง” ใบหน้าของจ้าวยี่จางเต็มไปด้วยความเย็นชา
“แต่ว่าเขาปะทะกับจ้าวกังเพียง 10 กระบวนท่า… ในขณะที่จ้าวกังนั้นแพ้ข้าเมื่อนานมาแล้ว!” จ้าวซุ่ยถอนหายใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของเด็กหนุ่มข้างกาย
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงได้กลัวว่าจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งขึ้นนัก ยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกขัดแย้งขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่เสร็จสิ้นการประลอง ลานฝึกฝนก็เข้าสู่สภาวะปกติ นั่นเป็นเพราะยามนี้เข้าใกล้บ่ายแล้ว และผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งจะมาแนะทางให้ในไม่ช้า
“ท่านเฉินมาแล้ว!”
ฝูงชนเต็มไปด้วยบรรยากาศเร่าร้อน
จ้าวเฟิงมองตามสายตาของทุกคนไป สุดสายตานั้นคือร่างของชายร่างสูง ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ค่อยๆ เดินเข้ามายังลานฝึกฝนช้าๆ
“นี่คือท่านเฉิน” จ้าวเฟิงเปิดดวงตาซ้ายของเขาอย่างลับๆ และมองเห็นแสงสีเหลืองที่เปล่งประกายออกมาจากเลือดของอีกฝ่าย
พลังภายในถูกขับเคลื่อนทุกครั้งที่เขาหายใจ สร้างความกดดันที่ไม่อาจมองเห็น
เหตุใดผู้ที่แข็งแกร่งมักมีสีของพลังภายในที่แตกต่างและสร้างความกดดันอันมองไม่เห็นนี่กัน? จ้าวเฟิงรู้สึกเข้าใจเพียงเล็กน้อยเมื่อมองชายผู้นั้น
ในตอนนั้น ทุกๆ ย่างก้าวของชายนามเฉินและทุกๆ สายตาของเขาสร้างแรงกดดันขึ้น นั่นเป็นบรรยากาศของผู้ฝึกตน ผู้เรียนรู้การฝึกตนที่มีขั้นต่ำกว่าสี่ไม่อาจมีความกล้าที่จะโจมตี
“แข็งแกร่งนัก!” เหล่าศิษย์พรรคจ้าวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและผวา มีผู้เรียนรู้การฝึกตนในทวีปบุปผาเขียวกี่คนกันที่ต้องการได้รับคำนำหน้าว่าผู้ฝึกตน? กระทั่งจ้าวเฟิงเองก็ไม่อาจหลีกหนีพ้น
ทว่าจุดมุ่งหมายของเขาไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่นั้น เป้าหมายของเขาคือ ‘จอมยุทธ์’ ผู้ที่มีขั้นเจ็ดหรือสูงกว่า… หรือกระทั่งระดับในตำนาน กายเทพ
“วันนี้ข้าจะมากล่าวเกี่ยวกับทักษะที่ผู้เรียนรู้การฝึกตนขั้น 3 และต่ำกว่าควรมี และจะพูดถึงประสบการณ์เกี่ยวกับพลังภายในของข้า…” บุรุษนามเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกแต่ไม่ดัง ทว่ากระทั่งศิษย์ที่อยู่ห่างไปนับร้อยเมตรกลับสามารถได้ยินเขาได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่ได้ยินคำว่า ‘ประสบการณ์เกี่ยวกับพลังภายใน’ ดวงตาของจ้าวยี่จาง จ้าวหยูเฟ่ย และจ้าวเยว่ต่างก็เปล่งประกายขึ้น
“พลังภายในของผู้ฝึกตน? บังเอิญอันใดเช่นนี้!” จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง