Skip to content

King of Gods 15

King Of Gods

บทที่ 15 : วิชานภาลอยล่อง

“… นภาลอยล่อง หน้าสุดท้าย มีเพียงการใช้ร่วมกับวิชาลมหายใจตัดอากาศเท่านั้นที่จะทำให้ผู้ฝึกสามารถใช้วิชาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ความเร็วของมันนั้นผู้ฝึกตนที่มีระดับขั้นต่ำกว่าเจ็ดไม่อาจก้าวข้ามได้ นับว่าเป็นทักษะท่าเท้าขั้นสุดยอดในบรรดาผู้ฝึกตนขั้นเก้า เนื้อหาด้านล่างเกี่ยวกับวิชาลมหายใจตัดอากาศซึ่งต้องการคุณสมบัติพื้นฐาน ขั้นสุดยอดของผู้ฝึกตนขั้นสามรวมทั้งมีพลังภายใน”

เมื่อประโยคสุดท้ายถูกแกะออกมา จ้าวเฟิงก็เผยสีหน้าตื่นเต้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าวิชานภาลอยล่องนั้นจะมีวิชาเสริม นี่ราวกับพัฒนาท่าเท้านี้ให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

ตอนนี้เด็กหนุ่มสามารถยืนยันได้แล้วว่าวิชานภาลอยล่อนับว่าถูกจัดอยู่ในขั้นสุดยอดเป็นอย่างน้อย คนส่วนมากมักจะรู้ว่าวิชาต่อสู้นั้นถูกแบ่งออกได้เป็น 5 ขั้นคือ ขั้นพื้นฐาน ขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสุดยอด ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าวิชาขั้นสุดยอดถือเป็นที่สุด มีข่าวร่ำลือกันว่า วิชาเทพเจ้า เป็นขั้นที่เหนือกว่าขั้นสุดยอดขึ้นไปอีก หรือพูดได้อีกอย่างว่ามีขั้นกายเทพที่อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนทั้งเก้าขั้น

ทว่าจ้าวเฟิงเคยได้ยินมาว่าการที่จะสามารถเข้าสู่ขั้นกายเทพได้นั้น ผู้ฝึกตนจะต้องเรียนรู้วิชาเทพเจ้า แน่นอนว่าด้วยฐานะของเขาแล้ว เขาไม่สามารถแม้แต่จะคิดถึงมันได้ กระทั่งผู้ฝึกตนที่แท้จริงในเมืองประกายอรุณนี้ก็ทำได้เพียงเฝ้าฝัน

ยามราตรี

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็แกะข้อความทั้งหมดในตำราได้ บัดนี้ท่าร่างทั้งหมดของวิชานภาลอยล่องถูกแสดงขึ้น

“หากข้าสามารถหยั่งรู้ถึงพลังภายในได้ในตอนนี้ ผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขั้นสี่ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

จ้าวเฟิงเริ่มศึกษาข้อความของนภาลอยล่องในทันใด เมื่อวิชาเข้าสู่ขั้นเริ่มต้น เด็กหนุ่มจึงเริ่มใช้พลังภายใน

ครึ่งชั่วโมงถัดมา เด็กหนุ่มทำได้เพียงเข้าใจข้อความบางส่วนของนภาลอยล่องเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การพยายามหยั่งรู้พลังภายในด้วยวิชานภาลอยล่องเพียงอย่างเดียวยังคงนับว่ายากเกินไปอยู่

เมืองประกายอรุณนั้นเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนนับพันที่ก้าวเข้าสู่ขั้นสาม ทว่าส่วนมากกลับไม่สามารถหยั่งรู้ถึงพลังภายในและทะลวงเข้าสู่ขั้นสี่ได้

กระทั่งศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของพรรคเช่นจ้าวยี่จางและจ้าวหยูเฟ่ยก็ยังติดอยู่ที่ขั้นนี้และไม่อาจทะลวงได้สำเร็จ

ค่ำคืนนั้นจบลงด้วยความล้มเหลว

“อย่าร้อนรน! ข้าพึ่งจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสาม และหากข้าสามารถฝึกฝนวิชาลมหายใจผลักวายุได้เข้าขั้นสุดยอดของระดับสาม ข้ามั่นใจว่าโอกาสที่จะสำเร็จนั้นย่อมมีมากขึ้น”

วันที่สอง จ้าวเฟิงเริ่มฝึกฝนวิชาลมหายใจผลักวายุและหมัดมังกรคลั่งอีกครั้ง วันที่สาม ลมหายใจผลักวายุจึงเริ่มขยับเคลื่อนเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสามอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของร่างกายเขาถึงขีดจำกัด ทุกครั้งที่เขาฝึกเขาจะรู้สึกราวกับว่ามันเข้าสู่จุดสุดยอดแล้ว

เขาพยายามที่จะรวบรวมพลังภายใน แต่ก็ล้มเหลวอีกครั้ง ทุกครั้งที่เขาล้มเหลว พลังกายของเขาก็จะลดลงจนเข้าขั้นเหนื่อยอ่อน

แม้ว่าเขาจะเข้าใจวิชาลมหายใจตัดอากาศ แต่การที่จะสามารถสร้างพลังภายในขึ้นได้นั้นนับว่าเป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง

ทว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ยอมแพ้ และทุกครั้งที่เขาพยายามมันก็จะมีความพัฒนาเล็กๆ

ในวันเดียวกันนั้น เด็กหนุ่มก็ได้รับข่าวสารบางอย่าง

“พรุ่งนี้ยามบ่ายจะมีผู้ฝึกตนที่เก่งกาจมาแนะทางที่ลานฝึกฝน”

ศิษย์สายนอกทุกคนล้วนได้รับข่าวนี้

“การแนะทางที่ลานฝึกฝน?”

อาจเป็นเพราะว่างานประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูลเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือน ทว่าเหล่าศิษย์สายนอกทุกคนล้วนแล้วแต่กระตือรือร้นอย่างมากเช่นกัน

จ้าวเฟิงนั้นค่อนข้างคาดหวังกับการแนะทางครั้งนี้มาก เขามาเป็นศิษย์ของพรรคได้เพียงครึ่งปี และนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับโอกาสเช่นนี้

เช้าวันที่สี่

แม้ว่าจะยังไม่เข้าช่วงบ่าย แต่ที่ลานฝึกฝนก็ปรากฏร่างของศิษย์ตระกูลจ้าวจำนวนมากอยู่แล้ว จ้าวเฟิงกวาดตามองเห็นกระทั่งศิษย์สายนอกที่แข็งแกร่งและหาตัวได้ยาก

“ดูนั่น… สองคนนั้นคือสามอันดับแรกของศิษย์สายนอก จ้าวหยูเฟ่ยและจ้าวยี่จาง! กระทั่งจ้าวกวงที่อันดับห้าก็มา!”

จุดรวมความสนใจของคนเหล่านี้คือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของเหล่าศิษย์สายนอก

ในพรรคจ้าวนั้นมีเด็กหนุ่มสาวนับพันที่มีช่วงอายุราวๆ 13-18 ปี มากกว่าครึ่งมีระดับขั้นการฝึกตนอยู่ที่ขั้นสอง แน่นอนว่ายามที่จ้าวเฟิงก้าวเข้ามาในพรรค เขาย่อมอยู่ด้านล่างสุด…

บนลานนั้น คนที่ได้รับความสนใจอย่างมากล้วนเป็นเหล่าศิษย์ที่แข็งแกร่งติดหนึ่งในสิบและหนึ่งในยี่สิบ

คนส่วนมากให้ความสนใจกับจ้าวหยูเฟ่ยซึ่งมีอายุเพียง 14-15ปี ความงดงามของนางนั้นโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน นางไม่เพียงแค่สวยงาม ทว่ายังมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมและมีอันดับสาม เท่าเทียมกับจ้าวยี่จาง

“ดูนั่น! นั่นจ้าวเยว่ที่มีอันดับหนึ่ง!”

เสียงซุบซิบดังขึ้นทันควันเมื่อร่างของจ้าวเยว่ปรากฏขึ้น

จ้าวเฟิงไม่จำเป็นจะต้องมองหา เพราะเมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัว ฝูงชนก็แยกออกด้วยตนเอง ที่ปลายทางนั้นปรากฏร่างของเด็กหนุ่มอายุราวๆ 16-17 ปี เขาสวมใส่ชุดสีฟ้า มีใบหน้าธรรมดาสามัญ

“เขาคือจ้าวเยว่?” นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอีกฝ่าย ก่อนหน้าเขาเพียงได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคนผู้นี้เท่านั้น

จ้าวเยว่นั้นแก่กว่าศิษย์ส่วนมากด้วยอายุ 17 ปี นั่นเป็นเพราะเมื่อใดที่อายุครบ 18 ปีก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และไม่อาจนับได้ว่าเป็นรุ่นเยาว์อีกต่อไป

จ้าวเยว่นั้นมักจะฝึกตนอย่างไม่หยุดยั้งภายในห้องของตนเอง ดังนั้นจึงไม่ง่ายนักที่จะถูกพบเห็นโดยผู้อื่น

ในตอนนี้เอง ดวงตาของจ้าวเฟิงก็จับจ้องไปยังร่างของเด็กหนุ่มผู้ครองอันดับหนึ่งและรู้สึกได้ถึงแรงกดดันน่าเกรงขามที่ถูกปลดปล่อยจากร่างของอีกฝ่าย

เขารู้สึกได้ถึงพลังที่อัดแน่นในกล้ามเนื้อของจ้าวเยว่ และเพราะว่าอีกฝ่ายแก่กว่า นั่นหมายความว่าเขาได้ฝึกฝนมายาวนานกว่า ทั้งยังมีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม ในด้านความแข็งแกร่งนั้นเขาย่อมนับเป็นอันดับหนี่ง!

ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถูกนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายนอก!

จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับว่าเขาไม่อาจหาจุดอ่อนใดๆ จากอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย เมื่อจ้าวเยว่ปรากฏตัว จ้าวยี่จางที่มีอันดับสาม และจ้าวกวงที่มีอันดับห้าก็ปรากฏจิตต่อสู้ขึ้น

ความแข็งแกร่งของห้าอันดับแรกนั้นไม่ได้แตกต่างมากมายเท่าใด

ยังคงมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่การแนะทางจะเริ่มขึ้น

ไม่ช้า เสียงตะโกนอีกเสียงก็ดังขึ้น

“จ้าวกังอยู่ที่นี่!”

“จ้าวกัง? หนึ่งในห้าอันดับแรกน่ะหรือ?” สายตาหลายคู่เบนไปจับจ้องในทิศทางเดียวกัน

เด็กหนุ่มที่เดินมานั้นมีผมตัดสั้น เรือนร่างปราดเปรียวราวกับเสือดาว

จ้าวกัง?

จ้าวเฟิงรู้สึกคุ้นเคยกับนามนี้ ไม่ช้าเขาก็สำนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของชื่อคือพี่ชายของจ้าวคัง และแน่นอนว่าเบื้องหลังจ้าวกังผู้นั้นตามมาด้วยร่างที่คุ้นเคยของจ้าวคัง!

จ้าวคังย่อมสังเกตเห็นจ้าวเฟิง และจ้าวเฟิงเห็นเพียงอีกฝ่ายเดินไปหาผู้เป็นพี่ก่อนจะเอ่ยบางอย่าง

หืม?

จ้าวกังกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนที่ดวงตาเย็นชาของเขาจะหยุดลงที่จ้าวเฟิง

“เจ้าคือจ้าวเฟิง?” จ้าวกังเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ขณะที่เขาเดินตรงไปหา

เฮือก!

ความตกตะลึงแผ่ซ่านไปทั่วฝูงชน

“เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดจ้าวกังจึงได้หาเรื่องคนไร้ชื่อผู้หนึ่ง?”

“ไร้ชื่อ?”คนหนึ่งส่ายหน้าก่อนเอ่ยอย่างเหยียดหยาม

“จ้าวเฟิงไม่ใช่ตัวโง่งมไร้ชื่อ ไม่กี่วันก่อนมันเพิ่งจะฆ่าจ้าวพยัคฆ์หัวเขียวโดยบังเอิญ!”

“โอ้ เขานั่นเอง!”

“ข้าได้ยินว่าเขาเอาชนะน้องชายของจ้าวกังได้ ข้าพนันเลยว่าจ้าวกังย่อมมาเพื่อเอาคืนเป็นแน่”

เสียงซุบซิบเงียบลงอย่างรวดเร็ว ศิษย์ส่วนมากมีสีหน้านึกสนุกเมื่อจ้าวกังคืออันดับห้าในบรรดาศิษย์สายนอก

ในตอนนี้เอง กระทั่งจ้าวเยว่ที่ครองอันดับหนึ่ง จ้าวยี่จางและจ้าวหยูเฟ่ยที่ครองอันดับสามล้วนแต่มองไป

จ้าวยี่จางมีสีหน้าพึงพอใจเมื่อเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของจ้าวกังเป็นอย่างดี จ้าวซุ่ยที่อยู่ข้างเด็กหนุ่มถอนหายใจ แต่เมื่อนึกถึงท่าทางของจ้าวเฟิงที่ร้านยาได้ ความเย็นชาก็เข้ามาแทนที่

อีกด้านหนึ่ง สายตาของจ้าวหยูเฟ่ยเต็มไปด้วยความสนใจ ความสามารถของจ้าวเฟิงที่ลานธนูนั้นทำให้นางตะลึง บัดนี้จุดรวมสายตาของทุกคนจึงกลับกลายเป็นจ้าวเฟิงไป

“ไอ้หนู วันนี้เจ้าต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้คน” ริมฝีปากของจ้าวคังโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม จ้าวกังก้าวเดินไปทีล่ะก้าว ทุกๆ ย่างก้าวสร้างบรรยากาศตึงเครียดขึ้น

“ใช่ ข้าคือจ้าวเฟิง” จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบางขณะที่จ้องไปยังผู้ที่เดินตรงเข้ามาหาเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!