Skip to content

King of Gods 14

King Of Gods

บทที่ 14 : ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนที่แท้จริง

“ประสิทธิภาพของพฤกษาโลหิตนับว่ายอดเยี่ยมแท้” จ้าวเฟิงรู้สึกเหลือเชื่อ ตอนแรกเขาคาดว่าด้วยความช่วยเหลือของพฤกษาโลหิตสองร้อยปีคงทำให้เขาใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันในการทะลวงขั้น

เด็กหนุ่มคิดว่าหากทุกคนคงได้รับผลลัพธ์เดียวกัน ผู้ฝึกตนขั้น 4 หรือสูงกว่าคงไม่มีค่าอันใด

ไม่นานเขาก็พบคำตอบ

อย่างแรก เขาไม่เคยใช้สมุนไพรใดๆ มาก่อน ดังนั้นแล้วร่างกายของเขาจึงสามารถดูดซึมได้มาก อย่างที่สอง ด้วยวิชาลมหายใจผลักวายุที่เข้าสู่ระดับสาม ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นสามทั้งๆ ที่ยังอยู่ขั้นสอง อย่างสุดท้ายนั้นคือเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ หลังจากหลอมรวมเข้ากับนัยน์ตาซ้าย

เด็กหนุ่มเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็วเมื่อเขาสำนึกได้ว่าศิษย์พรรคจ้าวหลายคนเข้าสู่ขั้นสามในช่วงวัยเดียวกับเขา เขาอาจนับได้ว่ามีพรสวรรค์ แต่ไม่ใช่อัจฉริยะ

ตัวอย่างเช่นจ้าวหยูเฟ่ย นางเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสามแห่งผู้ฝึกตนได้ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน และบัดนี้เกือบจะสามารถเรียนรู้กำลังภายในได้แล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่านางจะมีความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนที่แท้จริง

“ข้าอาจอยู่ในระดับเดียวกับซินเฟ่ยและจ้าวยี่จาง ทว่าข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะพวกนั้นได้”

อย่างไรก็ตาม ทั้งซินเฟ่ยและจ้าวยี่จางล้วนแล้วแต่เรียนรู้วิชาระดับสูงและฝึกฝนจนกระทั่งเข้าขั้นต่ำ

สองวันถัดไป จ้าวเฟิงปิดห้องฝึกตน

ในขณะที่เขากำลังฝึกฝนลมหายใจผลักวายุนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ถึงเสียงหึ่งๆ เบาๆ เด็กหนุ่มรวบรวมพลังไปยังตาซ้าย เมื่อนั้นจึงได้เห็นว่าระหว่างเลือดและผิวหนังของเขานั้นปรากฏแสงสีเขียวซีดจางและแดงก่ำประการหนึ่ง

“วิชาลมหายใจผลักวายุนั้นใกล้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสามแล้ว พลังของข้านั้นไม่นับว่าอ่อนด้อยกว่าจ้าวหยูเฟ่ยหรือซินเฟ่ยที่มีความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนที่แท้จริง”

เมื่อลมหายใจผลักวายุเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสาม เขาจะมีโอกาสในการหยั่งรู้พลังภายใน

ผู้ฝึกตนส่วนมากล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ผู้ฝึกตนที่แท้จริงจึงเข้าสู่ระดับนี้ได้ กระทั่งส่วนมากของผู้ที่เข้าขั้นสุดยอดของขั้นสามยังไม่อาจทำได้

หลังจากที่ปิดห้องฝึกตนเสร็จสิ้น จ้าวเฟิงจึงได้ออกจากโรงเตี๊ยมและมุ่งหน้ากลับไปยังพรรคจ้าว ส่วนพฤกษาโลหิตสองต้นที่เหลือนั้นเขายังไม่คิดที่จะใช้ในเร็วๆ นี้

ทันทีที่จ้าวเฟิงออกจากโรงเตี๊ยม ขอทานผู้หนึ่งในชุดขาดวิ่นไม่ไกลจากเขาก็วิ่งไป

“นายท่านซิน เขาออกมาแล้ว!” ขอทานผู้นั้นไปยังเหลาอาหารแห่งหนึ่งและรายงานให้กับเด็กหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีเงิน

“ดี นี่คือเงินของเจ้า” เด็กหนุ่มผู้นั้นเผยรอยยิ้มเย็นออกมา

ในขณะที่จ้าวเฟิงเลี้ยวเข้าไปในตรอกตรอกหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากเบื้องหลัง

ตึก ฟุ่บ ฟุ่บ

เงาสองสามร่างพลิกตัวข้ามผ่านกำแพงก่อนจะกวดตามเขาจากด้านหลัง

“นั่นใคร!?”

จ้าวเฟิงหมุนตัวหันหลังในทันที

“ไอ้หนู! วางเงินหนึ่งหมื่นไว้แล้วพวกเราจะปล่อยเจ้าไป” ศิษย์ทั้งสามแห่งตระกูลซินเอ่ยในขณะที่พวกเขาล้อมจ้าวเฟิงไว้ตรงกลาง ผู้ที่เอ่ยคำพูดนั้นเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีเงิน

ซินกาง!

จ้าวเฟิงจำอีกฝ่ายได้ในทันที

ศิษย์ทั้งสามแห่งตระกูลซินนั้นล้วนแล้วแต่เข้าสู่ขั้นสามแห่งผู้ฝึกตนทั้งสิ้น และซินกางนั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสามแล้ว

“หมื่นเงิน? แค่พวกเจ้าสามคน?” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเฉยชาขณะที่เหยียดยืนตรง

เขาใช้เงินไปเกือบหมื่นในเมืองประกายอรุณนี้ และยังคงเหลือเงินอยู่หมื่นเงิน สามคนตรงหน้านี่คงวางแผนที่จะนำเงินที่เหลือไปจนหมดเป็นแน่

“ไอ้หนู! ข้าขอเตือนว่าอย่าได้โอหังนัก! คราที่แล้วข้าเพียงแต่บาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเจ้าจึงชนะ แต่คราวนี้ข้าจะให้จ่ายค่า ‘ความพ่ายแพ้’ เมื่อครั้งอยู่ในป่าเมฆาคล้อยอย่างสาสม”

“ฮึ่ม… วันนั้นเจ้านำส่วนแบ่งของอสูรพยัคฆ์นั่นไปถึง 60% ในขณะที่คนของพรรคเราคนหนึ่งต้องตายตกไป” หนึ่งในศิษย์พรรคซินคนหนึ่งมีแววโลภและไม่พอใจในดวงตา

“หยุดผายลมไร้สาระได้แล้ว! เราจะจัดการเขาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านซ้ายเอ่ยขึ้นขณะที่ดีดตัวเข้าหาจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มอีกสองคนที่เหลือรีบพุ่งตามเขาเข้าไปทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่า กองขยะ” จ้าวเฟิงหัวเราะขณะที่ดีดตัวขึ้นสูงกว่า 7 เมตรก่อนจะทิ้งตัวลงบนกำแพงคฤหาสน์ใกล้ๆ

เขาหลบการโจมตีไร้สติของทั้งสามอย่างง่ายดาย

“อย่าให้มันหนีไป!” ซินกางคำราม เขาเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าหาจ้าวเฟิง

“หนี?” จ้าวเฟิงมองไปยังผู้พูดอย่างหยามเหยียด เด็กหนุ่มใช้ลมหายใจผลักวายุและนภาลอยล่องในทันใด ทิ้งภาพติดตาไว้กลางอากาศ

ไม่ดีแล้ว!

ซินกางรู้สึกได้ถึงความกดดันที่ไม่อาจทานทนจากข้างกายเขา

ปั่ก

ซินกางที่ลอยอยู่กลางอากาศรับหนึ่งหมัดด้วยความยากลำบาก

อ๊าก!

แม้ว่าเขาจะรับมันได้ แต่พลังของมันนั้นกลับส่งร่างของเขาไปกระแทกเข้ากับกำแพงหินข้างๆ จนกระอักเลือด

“ความแข็งแกร่งของเด็กนั่นอาจเทียบเท่าได้กับขั้นสี่ ผู้ฝึกตนที่แท้จริง ข้าไม่อาจรับได้กระทั่งกระบวนท่าเดียว” ซินกางรู้สึกได้ว่าภาพเบื้องหน้าดับวูบไปครู่ เขารีบเอ่ยเตือนพรรคพวกในทันที

“ซินหยู ซินเฉิน ระวัง!” ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบประโยค เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากเบื้องซ้ายของเขา

“อ๊ากกกก” กระดูกของเด็กหนุ่มอีกคนแตกหักลง

“วิ่ง!” เด็กหนุ่มตระกูลซินที่เหลือคนสุดท้ายหวาดผวาอย่างหนักและพยายามที่จะหนี ทว่าก่อนที่เขาจะทำสำเร็จ เสียงหวีดหวิวของสายลมก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

ปั่ก!

เขารู้สึกได้ว่าภาพเบื้องหน้านั้นดับลงก่อนที่เขาจะเห็นการโจมตีนั้นเสียอีก…

ในด้านของความเร็วนั้น จ้าวเฟิงได้เรียนรู้วิชาท่าเท้าระดับสูง และเมื่อใช้มัน ความเร็วของเขาสามารถเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขั้นสี่เลยทีเดียว

“ครานี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน แต่หากพวกเจ้าทำให้ข้าโมโหอีก…” จ้าวเฟิงใช้สายตาเย็นยะเยือกจ้องมองไปยังซินกางและพรรคพวก จากนั้นเขาจึงเหินออกไปราวกับปักษาที่โผบิน

“ช่างเป็นพลังและความเร็วที่น่าเหลือเชื่ออันใดเช่นนี้…” เด็กหนุ่มข้างๆ ซินกางเงียบใบ้ไป

“จ้าวเฟิงผู้นี้เพียงแค่ทะลวงเข้าสู่ขั้นสาม แต่กลับมีพลังเทียบเทียบผู้ฝึกตนที่แท้จริง” ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงบัดนี้นั้นสามารถเทียบเท่าได้กับซินเฟ่ยแล้ว

หลังจากที่จัดการกลุ่มของซินกางเรียบร้อยแล้ว จ้าวเฟิงจึงกลับไปยังพรรค

ศิษย์บางคนที่คุ้นเคยกับเขาถึงกับตะลึงเมื่อเห็นขั้นการฝึกตนของเขา

“เมื่อใดกันที่จ้าวเฟิงเข้าสู่ขั้นสาม?” พวกเขาล้วนรู้ว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงเป็นเพียงขั้นหนึ่งแห่งผู้ฝึกตนเมื่อ 20 วันก่อน!

“ข้าได้ยินมาว่าจ้าวเฟิงกับคนของตระกูลซินจำนวนหนึ่งฆ่า ‘จ้าวพยัคฆ์หัวเขียว’ ได้เมื่อวาน จากนั้นเขาจึงขโมยของมาครึ่งหนึ่ง…” ศิษย์ตระกูลจ้าวที่กว้างขวางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

“สัตว์ปีศาจตัวหนึ่งราคาราวๆ สองถึงสามหมื่นเงิน เด็กนั่นคงซื้อสมุนไพรราคาสูงแล้วเพิ่มระดับขั้นการฝึกตน”

“มีสิ่งใดน่าเหลือเชื่อในการใช้ความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการเพิ่มพลังฝึกตนกัน? คนพวกนั้นมักจะเป็นพวกอ่อนด้อยทั้งสิ้น”

ศิษย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ริษยาหรือไม่ก็เหยียดหยาม

จ้าวเฟิงไม่เคยคิดเลยว่าข่าวจะมาถึงพรรครวดเร็วเพียงนี้ ทว่าเด็กหนุ่มไม่ให้ความสนใจกับคนพวกนี้ เขาเดินตรงไปยังบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว

สิ่งแรกที่เข้าสู่ครรลองสายตาของเขาคือมารดาที่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่

“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่คือหนึ่งพันเงิน” จ้าวเฟิงเดินตรงเข้าไปในห้องและล้วงถุงเงินให้กับพวกเขา

“พันเงิน?” จ้าวชี่มองไปยังถุงนั่นราวกับจะจ้องให้ทะลุ

“เหตุใดเจ้าจึงได้มีเงินมากมายเพียงนี้กัน?”จ้าวเทียนหยางเอ่ยอย่างตกใจ เมื่อเขาเห็นระดับการฝึกตนของบุตรชายเข้าสู่ขั้นสามแล้ว ประกายแปลกประหลาดก็สว่างวาบในดวงตาของชายหนุ่ม

“มันเป็นเช่นนี้…” จ้าวเฟิงเล่าถึงเรื่องราวในป่าเมฆาคล้อยด้วยประโยคที่เรียบง่าย หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวนั้น จ้าวเทียนหยางและจ้าวชี่กลับมีประกายความสงสัยนอกเหนือไปจากความตื่นเต้น อย่างไรก็ตามบุตรชายของพวกเขาไม่เคยฉายแววอัจฉริยะออกมาแม้แต่น้อย ทว่าในฐานะของบิดามารดาแล้ว พวกเขาย่อมต้องการให้บุตรประสบความสำเร็จ

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิในห้องของตนเองและมองไปยังห้องโทรมๆ ของเขา

“ยังคงเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่จะถึงงานประลองประจำตระกูล หากข้าสามารถเข้าไปเป็นศิษย์สายในได้ล่ะก็… ฐานะของท่านพ่อท่านแม่ย่อมสูงขึ้นและได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้น…”

เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาและเข้าไปยังมิติสีดำสนิทภายในดวงตาซ้ายของเขา แสงสีเขียวซีดได้ขยายเป็นสามฟุตแล้ว

เมื่อครั้งที่เด็กหนุ่มอยู่ขั้นแรก แสงสีเขียวซีดนั้นมีระยะเพียงหนึ่งฟุต และกลายเป็นสองฟุตเมื่อเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นสอง บัดนี้มันขยายเป็นสามฟุตเมื่อเขาเข้าสู่ขั้นสาม

จ้าวเฟิงพบว่ายิ่งแสงนั้นขยายกว้างขึ้น ความสามารถของนัยน์ตาซ้ายของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เขาสามารถเห็นทุกสิ่งในระยะสิบไมล์ได้อย่างชัดเจนทุกรายละเอียด พลังสมาธิและความเร็วของปฏิกิริยาตอบรับก็ล้วนแล้วแต่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

เมื่อคิดถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มก็เริ่มที่จะแกะอักษรของวิชานภาลอยล่องอีกครั้ง

ไม่ช้า ส่วนที่ไม่สามารถแกะได้ของวิชานั้นก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ

หนึ่งในสาม… หนึ่งในสี่… หนึ่งในห้า…

ราตรีนั้น เมื่อจ้าวเฟิงเหนื่อยอ่อน วิชานภาลอยล่องก็เหลือส่วนที่ยังไม่สามารถอ่านออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มกลั้นใจและเพ่งมองไปยังเนื้อหาที่เหลือ

“ท่าเท้านี่ทำได้กระทั่ง…”

ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความยินดี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!