Skip to content

King of Gods 87

King Of Gods

บทที่ 87 : ฝึกฝน

ตำหนักกว่านจวิน

จ้าวเฟิงกลับไปยังบ้านของเขาและให้ข้ารับใช้เตรียมน้ำร้อนเพื่อให้เขาสามารถใช้ผงเสริมกระดูกได้ ผงเสริมกระดูกนั้นคล้ายกับผงยากชนิดอื่นที่เขาเคยใช้มาก่อน เพียงแค่มันดีกว่านับร้อยเท่าเท่านั้น

“ข้าได้ยินมาว่าผงเสริมกระดูกนั้นมีผลที่ดีต่อวิชาเสริมกายาอย่างมาก ข้าสงสัยนักว่ามันจะใช้กับวิชากำแพงเงินของข้าได้หรือไม่” จ้าวเฟิงลงไปแช่ในน้ำยา

น้ำเดือดนั้นสามารถเผาไหม้ผิวหนังของคนปกติได้อย่างง่ายดาย ทว่ามันกลับไม่ส่งผลใดๆ ต่อร่างอันแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย

ปุด ปุด ปุด!

น้ำนั้นพลันปรากฏฟองอากาศผุดขึ้นและเปลี่ยนไปกลายเป็นสีม่วงแดงเช่นบุปผาบาน จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความเจ็บคันจากร่างกาย มันค่อยๆ ซึมเข้าไปในโลหิตและไขกระดูกของเขา

“เป็นยาที่ทรงพลังอันใดเยี่ยงนี้!”

เหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนหน้าของเด็กหนุ่ม ทว่าเขาอดกลั้นที่จะไม่ร้องออกไปได้ จากสิ่งที่เขียนไว้บนห่อนั้น ผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดจำต้องแบ่งยาในห่อออกเป็นส่องส่วนและใช้มันแยกกัน จ้าวเฟิงนั้นมั่นใจในวิชากำแพงเงินของตนว่าเป็นวิชาเสริมกายาชั้นแนวหน้า ดังนั้นแล้วเขาจึงใช้ทั้งห่อในคราเดียว

เขาไม่รู้ว่าร่างของเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไปโดยดวงตาลึกลับ ทำให้เขาสามารถดูดซึมยาได้มากกว่าปกติ

ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกจากดวงตาซ้ายของเขาซึ่งทำให้ร่างของเขาเย็นลง และทำให้เขาดูดซึมยาได้รวดเร็วขึ้น

ปริมาณและความเร็วในการที่เด็กหนุ่มดูดซึมนั้นเร็วกว่าผู้อื่นอย่างน้อยสองเท่า ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่ายานั้นทั้งทรงพลังและบริสุทธิ์นัก

ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จ้าวเฟิงก็ได้ก้าวข้ามความเจ็บปวดที่อาจทำให้คนทั่วไปหมดสติได้

ครึ่งวันต่อมา เด็กหนุ่มจึงได้คุ้นชินกับความเจ็บปวด ในตอนนั้นเขาได้เริ่มโคจรเคล็ดลมหายใจหวนอย่างช้าๆ ซึ่งช่วยทำให้เขาดูดซึมยาสม่ำเสมอ

หนึ่งวันหนึ่งคืนต่อมา

ในที่สุดจ้าวเฟิงก็สามารถดูดซึมยาทั้งหมดได้ ทว่ายังคงมีหลงเหลืออยู่ในร่างของเขาบ้าง

“ไม่แปลกใจเลยที่มันจะเป็นยาเสริมกายาที่ล้ำค่า…”

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าความพัฒนาของวิชากำแพงเงินนั้นชัดเจนมาก ก่อนหน้ามันเพียงหยุดพัฒนาเมื่อเข้าสู่ระดับหก

นี่เป็นเช่นที่องครักษ์สามเอ่ยไม่ผิดเพี้ยน

“วิชาเสริมกายาระดับเซียนนั้นง่ายที่จะเรียนรู้ ทว่ายิ่งระดับสูงเท่าใด ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น”

เป็นเรื่องดีที่ร่างกายของจ้าวเฟิงนั้นได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงโดยการหลมอรวมเข้ากับดวงตาซ้ายลึกลับซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณยาที่เขาสามารถดูดซึมได้

หลังจากใช้ผงเสริมกายาไปหนึ่งห่อ เด็กหนุ่มจึงคิดถึงทรัพยากรอื่นที่เขามี ยารวมอัสดงหนึ่งเม็ด ยากลั่นโลหิตสามเม็ด ยากักชี่สองเม็ด

ยากลั่นโลหิตได้ช่วยพัฒนาร่างกายของเขาเช่นกัน

เขาจำสิ่งที่เจ้าเมืองกว่านจวินได้เอ่ยไว้ในส่วนลึก ว่าเก้าขั้นแห่งหนทางผู้ฝึกตนนั้นจุดสำคัญอยู่ที่ร่างกาย

ยากักชี่นั้นช่วยในการกลั่นพลังภายในของคนผู้หนึ่งในบริสุทธิ์ และเขาซื้อมันมาเพื่อเคล็ดลมหายใจหวนของเขา ยารวมอัสดงอย่างสุดท้ายนั้นราคา 80,000 เงิน และมันช่วยในการเพิ่มพลังฝึกตนของบุรุษที่ใช้เคล็ดหยาง

ร่างกาย พลังภายใน พลังฝึกตน

สิ่งของทั้งสี่ที่จ้าวเฟิงซื้อมานั้นล้วนให้ความสนใจกับทั้งสามเป็นอันดับแรกและให้สำคัญมากที่สุด

จากนั้นจ้าวเฟิงจึงกินยากลั่นโลหิตซึ่งช่วยเสริมสร้างร่างกาย เด็กหนุ่มใช้เวลาราว 2-3 วันในการดูดซึมอย่างสมบูรณ์

หลังจากกินยา จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ว่าทั้งร่างกายและวิชากำแพงเงินของเขามีพลังเพิ่มขึ้น

ตามลำดับนั้น ยาที่เขาจะกินเป็นอันต่อไปคือยากักชี่ ภายใต้ความที่พื้นฐานร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งอย่างมาก จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าพลังภายในของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด มันทำให้เขาตระหนักได้ว่าพื้นฐานจำต้องมั่นคง

ในเวลาครึ่งเดือนต่อมา จ้าวเฟิงเพ่งความสนใจไปยังวิชากำแพงเงินและเคล็ดลมหายใจหวนเท่านั้น

ผงเสริมกระดูกสามห่อ ยากลั่นโลหิตสามเม็ด ยากักชี่สองเม็ดล้วนถูกใช้จนหมด

ในตอนนี้ วิชากำแพงเงินของเขาได้ถึงขั้นปลายของระดับหกแล้ว ในระดับนี้ ร่างของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งราวกับเงิน และเมื่อเข้าใช้วิชากำแพงเงินออก แสงสีเงินซีดจะส่องประกายออกจากร่างของเขาราวกับเป็นรูปปั้นอันไม่อาจทำลายได้

“แม้ว่าข้าจะไม่ใช้พลังภายใน ข้าก็สามารถเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดธรรมดาได้โดยไร้ปัญหา” จ้าวเฟิงคิด

นี่เป็นเพียงระดับหก หากเขาเข้าสู่ระดับเจ็ด เขาสามารถจัดการจอมยุทธ์ขั้นเจ็ดส่วนมากได้เว้นเสียแต่ฝ่ายตรงข้ามจะฝึกฝนวิชาเซียนเช่นกัน

จากนั้น จ้าวเฟิงจึงกินยารวมอัสดง

เด็กหนุ่มเหลือมันไว้เป็นอันสุดท้ายเพราะเขาต้องการจะเสริมสร้างพื้นฐานร่างกายซึ่งช่วยในการดูดซึมยาให้ดีขึ้น

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาและกินยารวมอัสดง หลังจากเขาสู่ขั้นเจ็ด ความรวดเร็วในการฝึกตนของเขาก็เชื่องช้าลง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา

พลังของยานี้จำต้องค่อยๆ ปลดปล่อยและดูดซึม เด็กหนุ่มใช้เวลา 7-8 วันในการโคจรเคล็ดลมหายใจหวนอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อดูดซึมพลังงานทั้งหมด

แปดวันต่อมา

จ้าวเฟิงได้ดูดซึมพลังงานไปจนเกือบหมด ในตอนนี้ แสงสีเขียวในมิติในดวงตาซ้ายของเขาได้ขยายเป็น 7.6 ฟุต

หนึ่งเดือนของการฝึกฝนอย่างหนักไม่ได้ทำให้พลังฝึกตนของเด็กหนุ่มเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นเจ็ด

“ข้าไม่อยากเชื่อว่าเป่ยโม่ยนั่นเกือบจะเข้าสู่ขั้นเก้าเมื่อการฝึกตนนั้นเชื่องช้าลงอย่างมากหลังจากขั้นเจ็ด” จ้าวเฟิงคิดในใจ

มันดีที่วิชากำแพงเหล็กของเขานั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับหกและมันได้สร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้แก่เขา ซึ่งทำให้เขามีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นแปดได้ในเวลา 3 เดือน

ฮู่ว!

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงพลังขณะที่หายใจเข้าออก บัดนี้คุณภาพและปริมาณของพลังภายในเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก

“ไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดคนใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้แล้วในบัดนี้ ข้าอาจทำได้กระทั่งเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นแปดธรรมดา ทว่าไม่มีโอกาสชนะหากข้าเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดเช่นเป่ยโม่ย!” จ้าวเฟิงประเมินตนเอง

เขาสามารถท้าประลองผู้ฝึกตนขั้นแปดได้และอาจกระทั่งมีโอกาสชนะหากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนขั้นแปดธรรมดา หากพวกเขาเป็นอัจฉริยะเช่นหนานกงฟั่นหรือเป่ยโม่ย พวกเขาย่อมมีวิชาอรรธเซียนเป็นอย่างน้อย เด็กหนุ่มไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้เมื่อพลังของอีกฝ่ายต่างก็สามารถท้าประลองผู้ที่มีขั้นสูงกว่าได้เช่นกัน

เช่นเป่ยโม่ย เขาได้ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นเก้าไปแล้ว

จ้าวเฟิงได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนหลังจากผ่านพ้นไปหนึ่งเดือนในที่สุด

ในตอนนั้น ข้ารับใช้ได้เอ่ยรายงานแก่เขา

“นายน้อย ในขณะที่ท่านกำลังปิดด่านฝึกตน คุณหนูจ้าวหยูเฟ่ยและนายน้อยเฟิงฮันเยว่ได้มาหา”

โฮ่?

จ้าวเฟิงบิดขี้เกียจขณะที่เดินออกจากบ้านของเขาอย่างช้าๆ บ้านของเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ยนั้นอยู่ไม่ไกล

ไม่ช้า ทั้งสามก็พบกัน

“ศิษย์น้องจ้าว ดูเหมือนว่าเจ้าจะพัฒนาไปไม่น้อยในหนึ่งเดือน” เฟิงฮันเยว่เผยรอยยิ้มบางขณะที่เขารู้สึกสงสัยเล็กๆ

“ยังคงดีไม่พอเมื่อเทียบกับศิษย์พี่เฟิง”

จ้าวเฟิงพบว่าเฟิงฮันเยว่นั้นเกือบจะเข้าถึงขีดจำกัดของขั้นเจ็ดแล้ว ไม่เสียชื่อของอันดับหนึ่งแห่งสิบองครักษ์ฟ้า

จ้าวหยูเฟ่ยเองก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน นางเข้าสู่ขั้นเจ็ดแล้ว

วันนี้ เด็กทั้งสามได้พูดคุยเกี่ยวกับวิชาของพวกเขาและคนหนึ่งต้องการที่จะประลองชี้แนะ จ้าวเฟิงไม่ได้ปฏิเสธความคิดนี้เช่นกันและประลองกับทั้งสอง

ในระหว่างการประลองนั้น จ้าวเฟิงใช้พลังเพียงหกถึงเจ็ดในสิบส่วนของวิชากำแพงเงินของเขา และเขาได้จำกัดพลังของเขาในวิชาอื่นเช่นดรรชนีดาราและย่างก้าวหมอกผันแปรเล็กน้อย

แม้กระนั้น จ้าวเฟิงก็ประหลาดใจในความแข็งแกร่งของเฟิงฮันเยว่เมื่อเด็กหนุ่มผมเงินเองก็อาจจะปกปิดพลังของเขาเช่นกัน ทว่าผู้ที่ตกใจนั้นกลับเป็นเฟิงฮันเยว่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่หนึ่งเดือนต่อมา จ้าวเฟิงจะสามารถต่อสู้ได้ทัดเทียมกับเขา

ในขณะที่พวกเขาประลองกัน จ้าวเฟิงตระหนักได้ว่าทั้งเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ยได้ฝึกวิชาขั้นอรรธเซียนจำนวนหนึ่งเช่นกัน

“ในฐานะของศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน เราสามารถไปยังคลังสมบัติและเลือกวิชาอรรธเซียนได้ทั้งหมดสิบวิชา” เฟิงฮันเยว่เอ่ยบอก

ข่าวนี้ทำให้จ้าวเฟิงยินดีนัก ไม่แปลกใจเลยทีองครักษ์สามและเป่ยโม่ยไม่ได้เห็นวิชาอรรธเทพอยู่ในสายตา

ข้อได้เปรียบที่พวกเขาได้รับในการเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นมากเสียจนจ้าวเฟิงตัดสินใจว่าเขาต้องไปยังคลังสมบัติหากมีเวลา

“โอ้ใช่ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าหนานกงฟั่นได้เชิญพวกเราไปประลองชี้แนะกันในอีกสามวัน และเป่ยโม่ยจะไปด้วย…” เฟิงฮันเยว่เอ่ย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!