บทที่ 116 : นักปรุงยาอัจฉริยะ (2)
“ตกลง” จ้าวเฟิงและผู้เฒ่ากวนตกลงกันได้ในที่สุด
ด้านข้างนั้น องค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงและอวิ๋นเหยาต่างเหงื่อแตกให้กับเด็กหนุ่มอย่างช่วยไม่ได้
รองหัวหน้าตำหนักกวนนั้นเป็นหนึ่งในยอดนักปรุงยาในสำนัก และมีฐานะอำนาจระดับเดียวกับผู้อาวุโส กระทั่งศิษย์สายในและผู้คุมกฎยังต้องนอบน้อมต่อชายชรา
“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่คืนคำ อวิ๋นเหยาและองค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงสามารถเป็นพยานได้” ผู้เฒ่ากวนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ในสายตาของเขา จ้าวเฟิงนั้นค่อนข้างจองหองไปเล็กน้อย และตอนนี้เขายังสามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายจากการเข้าร่วมการประลองเพื่อพ่ายแพ้ได้ พร้อมกับสามารถทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจว่ายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก
คำถามของผู้เฒ่ากวนนั้นส่วนมากเกี่ยวกับคู่มือเริ่มต้นสำหรับนักปรุงยา ไม่ใช่คู่มือหัวใจของเปลวเพลิงแห่งยา เพราะว่าตำราเล่มหลังนั้นยากเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้น และผู้เฒ่ากวนนั้นไม่ได้ต้องการที่จะเล่นเล่ห์กับเด็กหนุ่ม
ความจริงนั้น เมื่อตอนที่ชายชราได้ส่งตำราทั้งสองให้กับจ้าวเฟิงนั้น เขาเพิ่งคาดว่าอีกฝ่ายจะทำความคุ้นเคยกับมัน ไม่ใช่เข้าใจทุกสิ่ง ความที่จ้าวเฟิงเอ่ยว่าเขาได้เข้าใจมันทั้งหมดแล้วทำให้รองหัวหน้าตำหนักกวนเกิดความสงสัยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายนั้นใช้เวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น
ฮึ่ม! เขานั้นได้เห็นอัจฉริยะมามาก แต่แม้กระนั้น คนเหล่านั้นก็สามารถเข้าใจได้เพียงเล็กน้อยในเวลาเพียงเท่านี้
“คำถามแรก: การปรุงยาคือสิ่งใด?” ผู้เฒ่ากวนเอ่ยถามคำถามที่ง่ายที่สุดออกไป
“การปรุงยานั้นคือการรวบรวมแก่นแท้ของวัตถุดิบและควบรวมมันเข้าด้วยกัน ความสำคัญของการปรุงยาคือการ ‘สร้าง’ คนผู้นั้นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเปลวเพลิงยา…”
จ้าวเฟิงไม่เพียงแค่ตอบคำถามของชายชรา แต่ได้เอ่ยข้อมูลเพิ่มไปอีกมาก
คำถามแรกนั้นง่ายอย่างมาก และไม่มีผู้ใดแปลกใจที่เด็กหนุ่มสามารถตอบได้ แต่คำถามที่สองนั้นยากกว่ามาก
“พูดเกี่ยวกับวิธีการเลือกวัตถุดิบ” ผู้เฒ่ากวนเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
“สมุนไพรทุกชนิดมีคุณสมบัติและธาตุของตนเอง ดังนั้นแล้วแก่นแท้ของพวกมันล้วนแตกต่าง ฉะนั้นเมื่อคนผู้หนึ่งพยายามที่จะควบรวมมันเข้าด้วยกัน มันจึงเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างมาก…”
จ้าวเฟิงเอ่ยตอบอย่างลื่นไหลพร้อมกับที่ความรู้จำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นในสมองของเขา
“สิ่งใดที่ต้องระวังยามที่ควบคุมเปลวเพลิงยา?”
คำถามนี้เป็นสิ่งที่ยากสำหรับมือใหม่อย่างมาก
“ฮี่ฮี่ ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง นักปรุงยานั้นไม่ได้มีเปลวเพลิงยาเป็นของตนเอง ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องใช้ของสิ่งอื่นในการกระตุ้นเปลวเพลิงยา ตัวอย่างเช่น เปลวเพลิงที่มาจากการเผาถ่านสามารถใช้ปรุงยาได้ แต่ความร้อนของมันจะไม่สูงนัก ของที่มีธาตุไฟจะสามารถสร้างความร้อนได้สูงกว่ายามถูกเผา…”
คำตอบของเด็กหนุ่มนั้นเป็นไปอย่างลื่นไหล เอ่ยคำนับพันออกมาในหนึ่งลมหายใจ
ในดวงตาของผู้เฒ่ากวนปรากฏความยินดีและตื่นเต้น อวิ๋นเหยาประหลาดใจ นางรู้อย่างถ่องแท้ว่าจ้าวเฟิงนั้นเป็นเพียงมือใหม่ แต่คำถามนั้นลึกล้ำ มันดูเหมือนว่าคำถามที่มาจากการจดจำไม่อาจทำอันใดต่อเด็กหนุ่มได้
ในเวลานี้ คำถามของผู้เฒ่ากวนเริ่มที่จะมุ่งไปยังคู่มือหัวใจของเปลวเพลิงแห่งยาแทนที่จะเป็นคู่มือเริ่มต้นสำหรับนักปรุงยา
คู่มือหัวใจของเปลวเพลิงแห่งยานั้นซับซ้อนอย่างมาก และหากไม่มีความรู้พื้นฐานของสมุนไพร คำตอบของคนผู้นั้นก็จะห่างไกลออกไปอย่างมาก แต่ไม่มีถามใดที่สามารถสั่นคลอนจ้าวเฟิงได้
ความตื่นตะลึงปรากกฎบนใบหน้าของอวิ๋นเหยา ส่วนอวิ๋นเมิงเซียงนั้นนิ่งอึ้งไป คำถามบางคำถามนั้นกระทั่งยากสำหรับนาง ผู้ที่ได้เรียนรู้การปรุงยามาตั้งแต่เยาว์
ในที่สุด
เหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนศีรษะของผู้เฒ่ากวน ในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะยินดีหรือไม่ แต่จ้าวเฟิงนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าเขาได้เข้าใจคู่มือเริ่มต้นสำหรับนักปรุงยาและคู่มือหัวใจของเปลวเพลิงแห่งยาจริงๆ
บทสรุปเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นสัตว์ประหลาด
“คำถามสุดท้าย”
ผู้เฒ่ากวนสูดลมหายใจลึกและเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
“เมื่อเจ้าเข้าใจคู่มือเริ่มต้นสำหรับนักปรุงยาและคู่มือหัวใจของเปลวเพลิงแห่งยาแล้ว บอกข้าถึงสูตรดั้งเดิมในการปรุงยาจิตวิญญาณเหมันต์ ยานี้มีเขียนอยู่ทั้งในคู่มือเริ่มต้นสำหรับนักปรุงยาและคู่มือหัวใจของเปลวเพลิงแห่งยา”
สูตรดั้งเดิม?
อวิ๋นเหยาสูดลมหายใจเย็นเยียบ คำถามนี้นั้นเกือบจะเข้าสู่แก่นแท้ของการปรุงยาแล้ว
ผู้ปรุงยาเลื่องชื่อจำนวนมากมี ‘สูตร’ ในการปรุงยาเป็นของตนเองซึ่งรวมทั้งวิธีการผสมสมุนไพรด้วย
แม้ว่ายาจิตวิญญาณเหมันต์นั้นจะเป็นเพียงยาจิตวิญญาณธรรมดาและไม่ซับซ้อน มันก็ยังยากสำหรับมือใหม่ มือใหม่นั้นไม่แม้แต่จะรู้ถึงกฎในการผสมสมุนไพร ดังนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถรู้ถึงการสร้างสูตรได้อย่างไร?
หลังจากที่คำถามถูกเอ่ยออกมา ทุกคนก็เงียบลง
ผู้เฒ่ากวนถอนหายใจภายในใจ หรือคำถามนี้นับว่ายากเกินไป?
เหล่าผู้ที่สามารถตอบคำถามนี้ได้ล้วนแล้วแต่เป็นนักปรุงยา
“บัวหิมะพันปีที่มีธาตุหิมะและน้ำแข็ง และเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักของยาจิตวิญญาณเหมันต์ โลหิตและสมองของวานรผิวคมที่มีความเป็นหยางเล็กๆ และเป็นส่วนประกอบสำคัญอันดับที่สอง หน่อหญ้ามรกตสามต้นเป็นกระสายยาซึ่งมีความสามารถในการสร้างความสงบ…”
จ้าวเฟิงเอ่ยถึงสมุนไพร 34 ชนิดพร้อมด้วยธาตุของพวกมันตามลำดับ และวิธีที่จะผสมพวกมัน เมื่อเขาเอ่ยจบ ทั้งผู้เฒ่ากวนและอวิ๋นเหยาต่างอ้าปากค้าง
หัวใจขององค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียวสั่นสะท้าน นางไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้านางนั้นเหนือกว่านางในด้านของการปรุงยา
หลังจากนั้นชั่วครู่ ผู้เฒ่ากวนจึงได้ถอนลมหายใจและมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึก
“ยอดเยี่ยม! คำถามนี้นับว่าเหนือกว่าที่เราตกลงกันเอาไว้”
เขารู้อย่างชัดเจนว่าคำถามนี้เหนือกว่าที่พวกเขาคาดไว้ แต่เขาต้องการที่จะลดความยโสของจ้าวเฟิงลง ทว่าในทางกลับกัน มันกลับเป็นการเปิดเผยถึงความเป็นสัตว์ประหลาดของอีกฝ่ายแทน
“เจ้าไม่รู้สิ่งใดเลยในไม่กี่วันก่อน เหตุใดเจ้าจึงได้รู้ถึงวิธีการปรุงยาจิตวิญญาณเหมันต์กัน?” อวิ๋นเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย
นางเคลือบแคลงว่าเด็กหนุ่มอาจเรียนรู้การปรุงยามาก่อน
“ฮะฮะ ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน หากท่านไม่ให้ตำราภาพหมื่นไพรแก่ข้าก่อนหน้า ข้าคงไม่อาจตอบคำถามนี้ได้” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่ว
ตำราภาพหมื่นไพร?
ผู้เฒ่ากวนชะงักไปก่อนจะมองไปยังอวิ๋นเหยาด้วยท่าทีราวกับจะถามว่า เกิดอันใดขึ้น?
หัวใจของหญิงสาวบีบรัดและนางพลันเอ่ยว่านางได้แนะนำตำราภาพหมื่นไพรให้แก่จ้าวเฟิง
ด้วยประสบการณ์ของรองหัวหน้าตำหนักกวนแล้ว เขาจะไม่รู้ถึงความตั้งใจของอวิ๋นเหยาได้อย่างไร?
“ฮึ่ม! เจ้าอ่านตำราภาพหมื่นไพรแล้วอย่างไร? มันมีสูตรนับหมื่นภายในนั้น และเจ้าบังเอิญที่จะจำสูตรของยาจิตวิญญาณเหมันต์ได้พอดีอย่างนั้นหรือ?”
องค์หญิงอวิ๋นเหยาหัวเราะเสียงเย็น นางเองก็เคลือบแคลงว่าอีกฝ่ายนั้นอาจได้เรียนรู้การปรุงยามาก่อนหน้า
“ข้าไม่ได้จำเพียงแค่สูตรของยาจิตวิญญาณเหมันต์ ข้าจำทั้งเล่ม” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเยาะหยัน
ทั้งเล่ม?
สตรีสกุลอวิ๋นทั้งสองตื่นตะลึง
“เจ้ากำลังกล่าวว่า… เจ้าจำตำราภาพหมื่นไพรได้ทั้งเล่ม…?”
ผู้เฒ่ากวนลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ด้วยประสบการณ์เกือบร้อยปีของเขา เขานั้นย่อมรู้จักถึงอัจฉริยะที่สามารถจดจำทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นได้ ตัวอย่างเช่น เป่ยโม่ยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในด้านของความจำนั้น กระทั่งเป่ยโม่ยเองก็ไม่อาจเทียบเท่าจ้าวเฟิงได้
เด็กหนุ่มไม่ได้ ‘จดจำทุกอย่าง’ มันเหมือนกับการ ‘คัดลอก’ สิ่งที่เขาเห็นลงไปในสมอง กระทั่งภาพที่ซับซ้อนหรือวิชาก็สามารถ ‘คัดลอก’ ลงสู่สมองของเขาได้
“ถูกแล้ว ก็แค่จำทุกอย่างที่ข้าเห็น” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างธรรมดา
คำกล่าวของเขาทำให้ผู้อื่นตื่นตะลึง อัจฉริยะผู้ที่สามารถจดจำทุกสิ่งได้เพียงแค่อ่านมันเพียงครั้งเดียวสามารถประหยัดเวลาในการเรียนรู้ไปได้นับหลายปี นอกจากนั้น จ้าวเฟิงได้จำตำราภาพหมื่นไพรทั้งเล่มซึ่งต้องใช้เวลานับสิบปีในการจดจำ
เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริง ทั้งสามได้ผลัดกันเอ่ยถามคำถามจำนวนมากจากตำราภาพหมื่นไพร ทั้งสามเอ่ยถามทั้งหัวข้อที่เฉพาะเจาะจงและพืชหายาก แต่คำถามของพวกเขาถูกตอบโดยจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์แบบ
นี่นับว่าน่าหดหู่อย่างบัดซบ!
ทั้งสามกลายเป็นไร้คำพูดไป โดยเฉพาะองค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงและอวิ๋นเหยา แต่ภายในหัวใจของผู้เฒ่ากวนนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากกว่า
ในวันที่ทดสอบบททดสอบที่สามนั้น เขาเห็นว่าจ้าวเฟิงนั้นมีความสามารถในการเข้าใจและแม่นยำอย่างมากซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรุงยา แต่เขาไม่คิดว่าพรสวรรค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้นจะน่าสะพรึงกลัวกว่ามาก
“รองหัวหน้าตำหนักกวน บัดนี้ท่านคงไม่ขวางข้าแล้วใช่หรือไม่?” จ้าวเฟิงหัวเราะ
แถบทะมึนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชราพร้อมกับใบหน้าที่กระตุก
“ไปวิ่งชนกำแพงเหล็กเสียเถอะ เจ้าจะได้รู้ว่าสวรรค์นั้นสูงเพียงใด”
ผู้เฒ่ากวนไม่มีทางที่จะขัดขวาง ‘ศิษย์’ ผู้นี้ได้
เขานั้นค่อนข้างคาดหวังให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ เพื่อที่เด็กหนุ่มจะได้กลับเข้าสู่ ‘หนทางที่ถูกต้อง’
“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าเองก็จะไปดูเช่นกัน” อวิ๋นเมิงเซียงก็ตื่นเต้นเช่นกัน
“ไปเถอะ”
อวิ๋นเหยาโบกมือของนาง และเพราะเช่นนี้ จ้าวเฟิงและเด็กสาวจึงออกจากตำหนักหญ้าไพรและมุ่งไปยังตำหนักสำนักนอก
เป็นที่ตำหนักสำนักนอกนี้ที่ ‘การต่อสู้ที่แท้จริงครั้งแรก’ ของจ้าวเฟิงเริ่มต้นขึ้น