บทที่ 117 : เริ่มต้นการประลอง
องค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงและจ้าวเฟิงเดินกลับไปพร้อมกัน ระหว่างทางนั้นเด็กสาวหัวเราะและท่าทีได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
จ้าวเฟิงมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกประหลาด
ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในสำนัก องค์หญิงผู้นี้มักจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกต้อยต่ำด้วยความมีเสน่ห์ งดงาม และสถานะของนาง นางไม่แม้แต่จะมองมายังจ้าวเฟิงมากกว่าที่ควรเมื่อแต่ก่อน แต่ตอนนี้มันต่างออกไป
ประสบการณ์ก่อนหน้าทำให้องค์หญิงแห่งจักรวรรดิเมฆาตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้านางนั้นอาจเป็นอัจฉริยะที่นางไม่ควรปล่อยให้หลุดมือ นางดูจะคาดหวังในความรุ่งโรจน์ในอนาคตของเด็กหนุ่ม ในฐานะของดาวดวงใหม่ของโลกแห่งยา
ในฐานะขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิเมฆา ดวงตาของนางนั้นเหนือกว่าศิษย์สายนอกผู้อื่น นางนั้นรู้ว่านักปรุงยานั้นสำคัญเพียงไรต่อสำนัก
หากสำนักมีนักปรุงยาที่มีพรสวรรค์จำนวนมากและมีทรัพยากรมากเพียงพอ ยาระดับที่สูงขึ้นจะถูกสร้างขึ้นซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของสำนัก
หากนางสามารถทำให้นักปรุงยาอัจฉริยะเบื้องหน้านางผู้นี้ไปทำงานให้กับจักรพรรดิได้ อนาคตย่อมไม่อาจคาดเดา
ปัญหาเดียวนั้นคือจ้าวเฟิงยังคงมีท่าทีปกติ เด็กหนุ่มไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ใดต่อเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้สร้างความขุ่นข้องให้ในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตามจักรวรรดิเมฆาเองก็เป็นบ้านเกิดของเขาเช่นกัน
อวิ๋นเมิงเซียงถอดถอนใจ นางรู้ว่าความประทับใจแรกนั้นไม่ดี แต่นางเองก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อผู้ปรุงยาที่เก่งกาจนั้นสำคัญต่อจักรพรรดินัก
ไม่ช้า ทั้งสองก็กลับไปยังตำหนักสำนักนอก คนหลายคนรู้ว่าศิษย์เข้าใหม่นามจ้าวเฟิงได้ท้าประลองอี้เฟิงอวิ๋นในวันนี้ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงวางงานในมือลงและมาเฝ้าดู
เมื่อเห็นจ้าวเฟิงและองค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงเดินมาด้วยกัน ศิษย์ใกล้ๆ โดยเฉพาะศิษย์ใหม่ต่างก็นิ่งอึ้งไป
“เมื่อใดกันที่จ้าวเฟิงสนิทกับองค์หญิง?”
ศิษย์สายนอกบางคนรู้สึกเหลือเชื่อ
ทุกคนต่างคุ้นเคยกับความเย็นชาของผู้เป็นองค์หญิง และนอกจากคนเช่นเซี่ยวซุนและหลิวเยว่เอ๋อร์ เด็กสาวก็ไม่เคยพูดคุยกับผู้อื่นอีก
จ้าวเฟิงมาถึงยังเวทีที่ใช้ในการประลองในไม่ช้า เวทีนี้อยู่ใกล้ที่พักของว่าที่ศิษย์สายใน ว่าที่ศิษย์สายในทุกคนต่างมีสวนเป็นของตนเองและได้รับการดูแลและทรัพยากรที่ดีกว่า
เมื่อคนผู้หนึ่งกลายเป็นว่าที่ศิษย์สายใน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำงานมากเช่นศิษย์สายนอกผู้อื่น
เวทีนี้สร้างขึ้นด้วยหินพิเศษสีดำสนิท ความแข็งแกน่งมันนั้นมากกว่าโลหะหลายเท่าตัว กระทั่งจอมยุทธ์ก็ยากที่จะสร้างรอยขีดข่วนให้มัน
ทุกครั้งที่ว่าที่ศิษย์สายในถูกท้าประลอง สถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากเสมอ จ้าวเฟิงเห็นร่างของคนที่คุ้นเคยเช่นเซี่ยวซุน หลิวเยว่เอ๋อร์ เฉินเฟิง… และสองร่างที่มาถึงอย่างเร่งรีบ หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่น
ไม่ช้า ผู้ที่เขาท้าประลอง อี้เฟิงอวิ๋นก็ได้มาถึง การประลองเช่นนี้มักจะถูกดูแลโดยผู้คุมกฎหรือรองผู้คุมกฎ และผู้ที่ดูแลการประลองในวันนี้คือผู้คุมกฎชิว
เหล่าศิษย์ใหม่ต่างคุ้นเคยกับเขาเมื่ออีกบุรุษผู้นี้เป็นผู้ที่พาพวกเขาเข้าการทดสอบ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงผู้เดียวที่ท้าประลองว่าที่ศิษย์สายใน
“การประลองแรก หวังหยาง vs ว่าที่ศิษย์สายใน เซี่ยอวิ๋นตง”
น้ำเสียงเข้มงวดของผู้คุมกฎชิวดังก้องไปในระยะหลายลี้พร้อมกับที่เสียงของฝูงชนเงียบงันลง
ปึก! ปึก!
ร่างทั้งสองปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมาพร้อมกับร่อนลงบนเวที
บนเวทีนั้น คนทั้งสองเผชิญหน้ากัน
หนึ่งคือเซี่ยอวิ๋นตง อันดับที่ยี่สิบ และอีกหนึ่งคือผู้ท้าประลอง หวังหยาง
ทั้งสองต่างเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และกลิ่นอายของพวกเขากระทั่งทรงพลังกว่าองครักษ์หนึ่ง
“การประลองของขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ!”
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นต่างเพ่งสมาธิไปยังการประลอง
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ร่างทั้งสองลอยขึ้นไปบนอากาศ สร้างแรงระเบิดไปทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน
พลังที่เหลือจากการปะทะของขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นสามารถฉีกกระชากร่างของผู้ฝึกตนขั้นแปดในขอบเขตแห่งการรวบรวมการจนเป็นชิ้นได้
วิชาทั้งสองใช้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นวิชามนุษย์ระดับต่ำซึ่งเทียบเท่าได้กับวิชาเซียน
ดาบกรีดนภา!
ว่าที่ศิษย์สายใน เซี่ยอวิ๋นตงทิ่มแทงดาบของเขาไป สายลมที่ถูกกรีดกลายเป็นคมมีดที่มุ่งตรงไปยังร่างของคู่ต่อสู้ ในตอนนี้เสียงกรีดแหลมดังขึ้นในใบหูของทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ และผู้ที่อยู่ในขั้นแปดและขั้นเก้าของขอบเขตแห่งการรวบรวมปราณรู้สึกแย่
“พลังเช่นนี้สามารถใช้ออกในขอบเขตแห่งการรวบรวมได้ด้วยหรือ?”
“ความแตกต่างระหว่างขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณและขั้นเก้านั้นมากเกินไป”
หัวใจของศิษย์สายนอกสั่นสะท้านขณะที่พวกเขามองไปยังว่าที่ศิษย์สายในด้วยความยำเกรง
ในบรรดาศิษย์สายนอก ยี่สิบอันดับแรกนับเป็นยอดฝีมือ ผู้ที่ท้าประลองว่าที่ศิษย์สายในต้องมีพลังในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณเพื่อที่จะมีโอกาสชนะ แน่นอนว่ามีผู้ที่สามารถเอาชนะได้ในขั้นสุดยอดของขั้นเก้า แต่ในเวลาสองปีที่ผ่านมา ยี่สิบอันดับแรกนั้นอยู่ในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณเกือบทั้งหมด
มันมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั้งสองบนเวที
ว่าที่ศิษย์สายในเซี่ยอวิ๋นตงมักจะได้เปรียบอยู่เสมอ และทุกๆ กระบวนท่าที่เขาใช้ออกจะทำให้คู่ต่อสู้ล่าถอย ใน 40-50 กระบวนท่าต่อมา หวังหยางก็พ่ายแพ้ในที่สุด
มีผู้ให้ความสนใจกับการประลองนี้ไม่มากนักเมื่อผลลัพธ์นั้นไม่น่าประหลาดใจ แต่หลังจากดูการประลองนี้แล้ว เหล่าศิษย์สายนอกหน้าใหม่ก็ได้ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของว่าที่ศิษย์สายใน
ใบหน้าของเซี่ยวซุนขาวซีด และเมื่อเขานึกว่าเขาเกือบจะท้าประลองว่าที่ศิษย์สายใน เหงื่อเย็นเยียบก็ไหลอาบใบหน้าของเขา หากเขาต้องเผชิญหน้ากับเซี่ยอวิ๋นตง เขาย่อมพ่ายแพ้ในสิบกระบวนท่า เขาไม่แม้แต่จะมีความมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะหวังหยางได้
“แข็งแกร่งยิ่งนัก เป่ยโม่ยเองก็แข็งแกร่งเพียงเท่านี้ก่อนที่เขาจะไป”
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นมองหน้ากันและรู้สึกกังวลถึงจ้าวเฟิงอย่างช่วยไม่ได้
เซี่ยอวิ๋นตงนั่นเป็นเพียงแค่อันดับที่ยี่สิบ มันยากที่จะจินตนาการว่าอี้เฟิงอวิ๋นที่ครองอันดับสิบสามนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
เมื่อคิดถึงตอนนี้ ความหวังสุดท้ายเล็กๆ ของหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นที่มีต่อจ้าวเฟิงก็สลายหายไป
การประลองแรกจบลงแล้ว และบัดนี้ถึงการประลองที่สอง
มีคนจำนวนไม่มากที่สนใจการประลองแรกเพราะความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นใกล้เคียงกันและต่างเป็นศิษย์เก่า ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงคุ้นเคยกับวิชาของทั้งสองเป็นอย่างดี แต่ผู้ท้าประลองในการประลองที่สองนั้นมีพลังฝึกตนเพียงขั้นแปดของขอบเขตแห่งการรวบรวม
การท้าประลองเช่นนี้ไม่ปรากฏขึ้นเลยในสิบปีที่ผ่านมา มันอาจกล่าวได้ว่าแทนที่ทุกคนจะมาเพื่อดูการประลอง เรียกว่าพวกเขามาดูว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะกลายเป็นตัวตลกอันใดเสียดีกว่า
“การประลองที่สอง จ้าวเฟิงท้าประลองว่าที่ศิษย์สายใน อี้เฟิงอวิ๋น” ผู้คุมกฎชิวเอ่ยประกาศ
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ฝูงชนเบื้องล่างก็เริ่มหัวเราะและซุบซิบกัน
“เงียบ!”
ผู้คุมกฎชิวเค้นเสียงเย็นพร้อมกับที่แรงกดดันกดทับลงไปบนร่างของเหล่าศิษย์สายนอกราวกับหิมะถล่ม
พลังของขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นราวกับภูเขาที่ทำให้เหล่าศิษย์สายนอกด้านล่างรู้สึกราวกับพวกเขาเป็นเพียงมดปลวก
ฝูงชนพลันเงียบเสียงลง
ศิษย์สายนอกจำนวนมากเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของขอบเขตก่อกำเนิดปราณในที่สุด
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคน ร่างสองร่างปรากฏขึ้นบนลานประลอง
อี้เฟิงอวิ๋นนั้นครองอันดับที่สิบสาม และชื่อเสียงของเขานั้นมากกว่ากว่าเซี่ยอวิ๋นตง ความแตกต่างระหว่างแต่ล่ะอันดับของว่าที่ศิษย์สายในนั้นไม่มากมายนัก ทว่ามันห่างถึง 7 อันดับระหว่าง 13กับ20! ระยะห่างนี้ไม่อาจมองเมินได้!
เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของเซี่ยอวิ๋นตง กระทั่งหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นก็เสียความหวังในตัวของจ้าวเฟิงไป
“ไอ้เด็กเหลือขอสกุลจ้าว ข้าขอชื่นชมในความกล้าที่ท้าประลองข้า”
อี้เฟิงอวิ๋นยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางสบายอารมณ์ แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขานั้นจองหอง!
ขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นสามารถบดขยี้ผู้ฝึกตนขั้นแปดของขอบเขตแห่งการรวบรวมได้อย่างง่ายดายด้วยมือเพียงข้างเดียว และพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงนั้นยังไม่แม้แต่จะเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นแปด
“ศิษย์น้องจ้าว…”
มือทั้งสองของหยางชิงชั่นกำแน่นด้วยความรู้สึกผิดและจนใจ
เป็นเพราะเขาที่ทำให้จ้าวเฟิงท้าประลองอี้เฟิงอวิ๋น และในตอนนี้ เห็นจ้าวเฟิงต้องตกอยู่ภายใต้สายตาเยาะเย้ยเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
หนานกงฟั่นเองก็ก้มหน้า แม้ว่าเขาอาจไม่ได้ญาติดีกับเด็กหนุ่มเท่าไหร่นัก ความไม่เป็นมิตรของพวกเขาก็หายไปแล้วในตอนนี้
ด้านล่างของเวที เซี่ยวซุนและคนอื่นๆ มีความเยาะเย้ยและสงสารเคลือบอยู่บนแววตา กระทั่งหลิวเยว่เอ๋อร์ที่ไม่ชอบอีกฝ่ายยังมีความไม่พอใจและสงสารในแววตา
“บางทีนี่อาจเป็นทางเดียวที่เขาจะเดินไปใน ‘ทางที่ถูกต้อง’ และให้ความสนใจในการปรุงยา” อวิ๋นเมิงเซียงคิดในใจ
บนเวที
“นี่นับว่าค่อนข้างน่ารำคาญ…”
จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ที่เขาเคยเผชิญหน้ามา ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าพลังภายในและโลหิตของเขาโคจรได้ดีขึ้นจากความกดดัน
“ไอ้หนู เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร ให้ข้าใช้แค่มือเดียวและหากเจ้าชนะ เช่นนั้น…” อี้เฟิงอวิ๋นยืนอย่างมั่นใจพร้อมด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ
กระบวนท่าวายุเคลื่อน! ย่างก้าวหมอกผันแปร!
ในเสี้ยววินาที ร่างของจ้าวเฟิงก็หายไปจากสายตาของอี้เฟิงอวิ๋น
เสียงของว่าที่ศิษย์สายในพลันชะงักลงเมื่อเขารับรู้ถึงเสียงหวีดหวิวดังขึ้นจากเบื้องหลัง
ฝูงชนพลันส่งเสียงขึ้นในทันที พวกเขาส่วนมากไม่แม้แต่จะเห็นร่างของจ้าวเฟิง
ย่างก้าวหมอกผันแปรของจ้าวเฟิงนั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดและหลังจากหลอมรวมกับกระบวนท่าลมเคลื่อน มันก็ได้พัฒนาเข้าสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง