บทที่ 254 : ถูกแล้ว ข้าคือนักฝึกสัตว์
มิรู้ว่าฮุยเหมาอิงนำอีกสองคนมาจากที่ใด ทว่าทั้งสองนั้นมีพลังอยู่ในนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ อยู่ในระดับเดียวกับสวีจึเสวียนและอ้าวเยว่เทียนเป็นอย่างน้อย
ฉีจิ่วดูราวกับไม่ข้องเกี่ยว ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง มิสนใจจะเอ่ยคำใด
นอกจากนั้น บนเรือข้ามนภายังปรากฏผู้คนจำนวนมากเมียงมองมาด้วยความสนุกสนาน ดวงตาส่องประกายระริก
ทันใดนั้น บรรยากาศก็เริ่มตึงเครียดขึ้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเด็กหนุ่มผมเขียวจากนอกเขตอาณาจักรนภาผู้นั้น
เด็กหนุ่มผู้นี้มาจากสถานที่ห่างไกล กลับครอบครองปักษาวิเศษล้ำค่า ทั้งยังมีแมวที่ฉลาดอย่างหาได้ยากตัวหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยง ทำให้เป็นที่จับตามองของผู้คน
พวกเขาล้วนคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้มาจากอาณาจักรอื่น ไม่มีพื้นเพใดๆ ไร้ซึ่งผู้สนับสนุน พลังฝึกตนก็ธรรมดานัก ย่อมเป็นคนที่ง่ายต่อการกลั่นแกล้ง
จ้าวเฟิงยังคงรักษาสีหน้าไว้ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบาง สายตาเหลือบมองไปยัง ‘ท่านลุงหลิว’
จากข้อตกลงก่อนหน้า จ้าวเฟิงและคนตระกูลหลิวทั้งสามจะเดินทางไปด้วยกัน และทั้งสามคนจะต้องช่วยดูแลความปลอดภัยของเขาให้
ลุงหลิวนั้นต้องการใช้สันติวิธีในการช่วยให้หลิวถิงยวี่ได้ครอบครองแมวขโมยตัวน้อย ยามนี้นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เด็กหนุ่มเป็นหนี้บุญคุณ
“ทุกท่าน น้องชายผู้นี้เป็นแขกของตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลาน ขอให้ทุกท่านไว้หน้าข้าด้วยเถิด”
ลุงหลิวมองไปยังผู้คนรอบๆ กลิ่นอายในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแพร่กระจายออกมา สร้างภาพลักษณ์ราวกับภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่อาจมองเห็นปลายยอด
ในอาณาจักรนภา ผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงปราณแท้ได้อย่างต่อเนื่องทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย สู่ปราณครึ่งจิตวิญญาณแท้ และกลายเป็น ‘ปราณจิตวิญญาณแท้’ ในที่สุด
ยิ่งการเปลี่ยนแปลงของปราณแท้นั้นสูงเท่าใด พลังของปราณนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น กระทั่งก้าวเข้าใกล้กับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ทว่าในแคว้นนภานั้น ปราณขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นมักจะเปลี่ยนแปลงไปสองถึงสามในสิบส่วน เมื่อเทียบกับระดับของสิบสามแคว้นแล้ว บางทีอาจแข็งแกร่งกว่าหนึ่งเท่าตัว
การเปลี่ยนแปลงนั้นแม้ว่าจะเชื่องช้ายิ่งนัก ทว่าเมื่อมันมากขึ้น โอกาสที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็สูงขึ้น
หากการเปลี่ยนแปลงนั้นมากถึงเก้าสิบในร้อยส่วน โอกาสที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นก็มีมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย
ในยามนี้
เมื่อลุงหลิวส่งกลิ่นอายของขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงออกมา สีหน้าของฮุยเหมาอิงและคนอื่นๆ ก็แปรเปลี่ยนไป
“ปราณครึ่งจิตวิญญาณแท้ เปลี่ยนแปลงไปแล้วกว่าสามสิบถึงสี่สิบในร้อยส่วน”
ผู้คนที่มองดูอย่างสนุกสนานพลันสูดลมหายใจเย็นเยียบ
ความสามารถของผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ
พวกฮุยเหมาอิงทั้งสามคนลมหายใจหนักหน่วง ใบหน้าปรากฏความหวาดกลัวและลังเลขึ้น
หากมีคนสกุลหลิวทั้งสามคอยปกป้อง แม้ว่าพวกเขาจะต้องการจัดการจ้าวเฟิง มันก็แทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้
“ตระกูลหลิวคือผู้ดูแลเขตหลินหลาน ไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลสาขาเลย ด้วยอำนาจของตระกูลหลิวแล้ว พวกเราไม่อาจโจมตีได้”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านข้าง
ฉีจิ่วยืนอย่างองอาจ เรือนผมสีเงินพลิ้วไหว บนร่างปรากฏกลิ่นอายเย็นยะเยือกหนาแน่น รอบกายพลันปรากฏน้ำแข็งขึ้น
มันเป็นความเย็นที่หนาวเยือกไปถึงกระดูก ทำให้สีหน้าของลุงหลิวต้องเปลี่ยนแปลงไป
คิ้วบางงดงามของหลิวถิงยวี่มุ่นเข้าหากันเล็กๆ นางพลันโคจรปราณแท้ในร่างขึ้นป้องกัน เด็กหนุ่มชุดดำใบหน้าขาวซีด แม้จะใช้ปราณแท้ป้องกันแล้วก็ยังคงได้รับความเสียหายอยู่บ้าง
“ฉีจิ่ว เจ้าเพียงต้องดึงความสนใจของตาแก่นั่นไว้ แล้วเราจะแบ่งส่วนแบ่งให้เจ้าสี่ในสิบส่วน”
สีหน้าของฮุยเหมาอิงปรากฏความยินดีขึ้น
ความแข็งแกร่งของฉีจิ่วนั้นเกิดคาด ปราณแท้ที่แพร่กระจายออกจากร่างในยามนี้เพียงพอที่จะต่อต้านลุงหลิวได้
คราแรกจ้าวเฟิงคิดเพียงว่าพลังของอีกฝ่ายนั้นใกล้เคียงกับชางหยูเยว่ในงานพันธิมิตร ทว่าบัดนี้นับว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกับชางหยูเยว่แล้ว
“หมัดเหมันต์นภา”
หมัดของฉีจิ่วปรากฎน้ำแข็งสีฟ้าเย็นเยียบที่มีพลังน่าตื่นตะลึงออกมา แสงสีฟ้าเย็นนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงครึ่งฟุต ทว่าเสียงคำรามนั้นน่าหวาดกลัวนัก มันมุ่งตรงไปยังร่างของคนตระกูลหลิวทั้งสาม
“ทุกคนถอยไป”
ลุงหลิวตะโกนอย่างเคร่งเครียด พลังปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างพลุ่งพล่านออกมากลายเป็นเงามือสีน้ำตาลขนาดยักษ์
พรึบ
เงามือสีน้ำตาลนั้นได้ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มันได้ยกขึ้นสูงก่อนพุ่งเข้าปะทะกับการโจมตีของฉีจิ่ว
ร่างของเด็กหนุ่มผมเงินล่าถอย แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างเย็นเยียบ เริ่มที่จะโจมตีชายชราอย่างรุนแรง
“ฉีจิ่วผู้นี้แข็งแกร่งนัก พลังโจมตีเทียบเคียงได้กับชางหยูเยว่ ทว่าการเคลื่อนไหวและการป้องกันนับว่าเหนือกว่า อาจกล่าวได้ว่าหากชางหยูเยว่ไม่ได้เข้าใจเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ นับว่าเขาแข็งแกร่งกว่าครึ่งขั้น”
จ้าวเฟิงคิดในใจ
แน่นอนว่าหากพูดถึงอายุ เมื่อเทียบกับจ้าวเฟิงและชางหยูเยว่แล้วคนผมเงินผู้นี้มีอายุมากกว่าประมาณ 5 ปี หลังจากที่ชางหยูเยว่ได้ทำความเข้าใจเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบแล้ว พลังของนางย่อมเติบโตขึ้นในระดับใหม่โดยสิ้นเชิง
“โจมตี”
ฮุยเหมาอิงตวาดลั่น นำคนผู้อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณในนภาที่เจ็ดไปฆ่าพวกจ้าวเฟิงทั้งสาม
ความแข็งแกร่งของหลิวถิงยวี่นับว่าไม่เลว ด้วยพลังฝึกตนในนภาที่หกยังสามารถป้องกันการโจมตีของผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดคนหนึ่งได้อย่างมั่นคง
หลิวตงรับมือกับคนในนภาที่เจ็ดอีกคน ทว่ายังปรากฏความยากลำบากไม่น้อย
“ไอ้เด็กหัวเขียว ส่งนางแอ่นมรกตมาเดี๋ยวนี้ หากทำเช่นนั้น นอกจากหักแขนขา เราจะไว้ชีวิตเจ้า”
ฮุยเหมาอิงเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา
ในขณะที่ฉีจิ่วดึงความสนใจลุงหลิว พวกเขาที่อยู่ในนภาที่เจ็ดทั้งสามก็นับว่าเพียงพอที่จะบดขยี้พวกจ้าวเฟิงทั้งสามแล้ว
“ฮี่ฮี่ จริงหรือ? ข้ายินยอมที่จะมอบนางแอ่นมรกตให้ แต่มันก็เป็นต่อเมื่อเจ้ามีความสามารถเพียงพอที่จะรับมันไปเท่านั้น”
จ้าวเฟิงนำมือประกบกัน เรียกหานางแอ่นมรกตที่ร่อนบินอยู่ให้ลงมา
หืม?
ฮุยเหมาอิงชะงักไปเล็กๆ
เมื่อมันมองลงไปข้างล่าง นางแอ่นมรกตก็ได้กลายเป็นเส้นแสงสีฟ้าที่ยากจะมองเห็น พุ่งตรงออกราวสายฟ้าตรงไปยังร่างของฮุยเหมาอิง
คิกคิก
ฮุยเหมาอิงยืนนิ่ง บนไหล่ปรากฏบาดแผลเล็กน้อย เขาใช้พลังป้องกันตนเองและหลบหลีกได้ทัน มิเช่นนั้นอาจถูกโดนตัดเป็นสองท่อนไปแล้ว
ขนทั่วทั้งร่างของนางแอ่นมรกตนั้นบางเช่นปีกจักจั่น แหลมคมราวใบมีด เมื่อรวมกับความคล่องแคล่วและความเร็วของมันแล้ว พลังโจมตีของมันนับว่าแข็งแกร่งนัก
ดังนั้นแล้ว ภายใต้การโจมตีนั้นฮุยเหมาอิงได้เปิดช่องว่างไปชั่วครู่ จึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“ไอ้เด็กเวร”
ฮุยเหมาอิงชะงักไป ความโกรธเกรี้ยวพลุ่งพล่าน พยายามที่ฆ่านางแอ่นมรกตแทนที่จะครอบครองมัน
ทว่านางแอ่นมรกตนั้นคือสัตว์ปีศาจในนภาที่เจ็ด ความเร็วชั้นแนวหน้า การโจมตีน่าพรั่นพรึง มันจะรับมือได้ง่ายดายเพียงนั้นหรือ?
ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิง นางแอ่นมรกตได้เริ่มใช้วิธีการโจมตีแบบสายฟ้าแล่บ ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มุดดิน พุ่งอ้อม ไม่อาจคาดเดาได้ บีบบังคับให้ฮุยเหมาอิงตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
คนหลายคนที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ นิ่งอึ้งก่อนจะพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
“เป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กหนุ่มผมเขียวนั่นจะเป็นนักฝึกสัตว์ เทพผู้ควบคุมโลก”
“นักฝึกสัตว์ ในอาณาจักรนภานี้นับเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมและหายากนัก”
ในยามนี้
จากการต่อสู้ของทั้งคู่ จ้าวเฟิงพึงพอใจอย่างมาก เขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเอง เพียงใช้เคล็ดพลังจิต ใช้นางแอ่นมรกตในการต่อสู้ ก็คุกคามฮุยเหมาอิงได้
“ความเร็วและพลังโจมตีของนางแอ่นมรกตนั้นไร้ที่ติ จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวคือการป้องกัน ภายใต้การควบคุมของข้า…”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้น ใบหน้าปรากฏความยินดี
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขาเข้าใจถึงการเคลื่อนไหวและจุดอ่อนของฮุยเหมาอิงอย่างชัดเจน ทำให้นางแอ่นมรกตนั้นอาจเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่อาจเอาชนะได้ แม้ว่าพลังของฮุยเหมาอิงจะแข็งแกร่งก็มิอาจทำอันใดได้
ยิ่งไปกว่านั้น อีกด้านหนึ่ง
ลุงหลิวและฉีจิ่วต่อสู้กัน สายตากวาดมองไปยังกลุ่มของหลิวถิงยวี่ทั้งสาม
ความจริงแล้ว ลุงหลิวนั้นได้ผละออกห่างอย่างจงใจ ต้องการให้พวกหลิวถิงยวี่ได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริง
หลิวถิงยวี่ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง พรสวรรค์ยอดเยี่ยม พลังต่อสู้ดียิ่ง สามารถรับมือกับผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดได้อย่างง่ายดาย กระทั่งอาจเป็นฝ่ายที่ชนะ
ส่วนเด็กหนุ่มนามหลิวตงก็สามารถต่อต้านผู้ที่มีพลังในนภาที่เจ็ดได้อย่างไม่เลวร้าย
ทว่า
ผู้ที่ทำให้ลุงหลิวรู้สึกคาดไม่ถึงมากที่สุดคือจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มผมเขียวจากต่างแดนผู้นี้มิได้เปลืองแรงมากนัก อาศัยปักษาที่เป็นพาหนะในการบีบบังคับให้ฮุยเหมาอิงที่แข็งแกร่งต้องข้าตาจน
จะอย่างไร พลังของฮุยเหมาอิง นอกจากฉีจิ่วแล้วก็เหนือกว่าอีกสามคน
“อืม ด้วยคลื่นพลังที่พิเศษแบบนี้ เขาได้ใช้เล็ดวิชาลับบางอย่างในการควบคุมนางแอ่นมรกตให้ต่อสู้ หรือเป็นว่า… เขาคือนักฝึกสัตว์?”
ลุงหลิวสัมผัสถึงพลังบางอย่างภายในร่างของจ้าวเฟิงได้
นักฝึกสัตว์นั้นเป็นอาชีพที่หายาก การที่จะสามารถฝึกสัตว์ปีศาจให้กลายเป็นพาหนะได้จะต้องมีความเชี่ยวชาญเพียงพอในการสื่อสารกับพวกมัน
หากมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง มันก็ยิ่งเป็นข้อได้เปรียบ
ความจริงแล้ว
จ้าวเฟิงมีโอกาสหลายครั้งที่จะควบคุมนางแอ่นมรกตให้คร่าชีวิตฮุยเหมาอิง จบการต่อสู้นี้ลง
ทว่าเขาก็คิดที่จะทำความเข้าใจในความแข็งแกร่งของคนสกุลหลิวทั้งสามด้วย
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยนั่งบนไหล่ของเด็กหนุ่ม ผายอุ้งเท้าของมันออก กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข โบกธงส่งเสียงให้กำลังใจผู้คน
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แทบจะไม่ได้ปรบมือ
นั่นทำให้พวกฮุยเหมาอิงและคนที่เหลือแทบจะระเบิดออกด้วยความโกรธ
ลุงหลิวชะงักงัน รู้สึกราวกับหนึ่งคนและหนึ่งแมวนั้นทำเพียงมองปาหี่ฉากหนึ่ง
“ฮี่ฮี่ ใช่แมวขโมยตัวน้อยนั่นให้กำลังใจข้าหรือไม่?”
ใบหน้าของหลิวถิงยวี่ปรากฏความยินดี ใช้พลังทั้งหมดที่มีบีบบังคับให้คู่ต่อสู้ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า
นางไม่เห็นความครุ่นคิดบนใบหน้าของแมวขโมยตัวจ้อยนั้น
“หนึ่งคนหนึ่งแมวนี้น่าชังนัก ทำเพียงนั่งมองอย่างสนุกสนาน ไม่แม้แต่จะลงมือ”
หลิวตงไม่คิดเช่นนั้น ได้ตัดสินใจตัวของจ้าวเฟิงไปก่อนหน้าแล้ว
คู่ต่อสู้ในนภาที่เจ็ดของเขานั้นใช้กระบวนท่ารุนแรง ยากที่จะตอบโต้ หากจ้าวเฟิงยื่นมือเข้าช่วย อย่างน้อยก็อาจถ่วงรั้งไว้ได้นานขึ้น
แต่ว่าหนึ่งคนหนึ่งแมวนี้ ชัดเจนแล้วว่าไม่อยากจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว
หลังจากต่อสู้อย่างยาวนาน หลิวตงก็แทบที่จะต้านไม่ไหว
“เกือบแล้ว”
ลุงหลิวผงกศีรษะ ปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างสั่นระริก กลิ่นอายพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ชายชราพลันโจมตีในทันที
ตัวเขาคือผู้อาวุโส ปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วกว่าสามสิบถึงสี่สิบในร้อยส่วน ชายชราไล่ต้อนฉีจิ่วอย่างดุดันและเอาชนะในครั้งเดียว
ทว่าความแข็งแกร่งของฉีจิ่วนั้นเหนือคาด เขายืนหยัดด้วยเกราะน้ำแข็งบนร่างที่มีพลังป้องกันอันน่าตื่นตะลึง
ไม่เพียงเท่านั้น
ทั่วทั้งร่างของฉีจิ่วปรากฎพลังสายเลือดออกมา น้ำแข็งรอบกายคล้ายส่งเสียงคำราม พลังต่อสู้ของชายหนุ่มเพิ่มสูงขึ้น
“น่ากลัวนัก มิคาดในร่างของฉีจิ่วผู้นี้มีพลังสายเลือด”
ลุงหลิวประหลาดใจ
สถานการณ์ปัจจุบันนั้นอาจกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งหนทางถอยแล้ว
เขาคิดว่าตัวเขาจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย ไม่คิดว่าฉีจิ่วผู้นี้จะยากที่จะสลัดหลุด
ในยามนี้
จ้าวเฟิงได้ผงกศีรษะ “ฮี่ฮี่ แมวขโมยตัวน้อย ถึงตาเจ้าออกโรงแล้ว”
“เมี้ยว เมี้ยว”
แมวตัวจ้อยส่ายหัวไม่ยินยอม
เด็กหนุ่มไม่รอให้มันตอบรับ หยิบใบหูของมันและโยนตรงไปยังร่างของฮุยเหมาอิงในทันที
อันใดกัน
ฮุยเหมาอิงที่กำลังต่อสู้อยู่กับนางแอ่นมรกตสังเกตเห็นแมวขโมยตัวน้อยที่คล้ายกับลูกบอลยางที่ถูกจ้าวเฟิงขว้างมา
ดวงตาของเขาปรากฏประกายเย็นเยียบ สะบัดนิ้วไปยังร่างของสัตว์ตัวเล็ก
พรึบ
ในยามนั้นเอง แมวตัวน้อยพลันจางหายไปจากสายตาของเขา
มันไม่รอให้อีกฝ่ายตอบสนอง แมวขโมยตัวน้อยกางกรงเล็บและขวนเข้าไปที่คอของอีกฝ่ายในทันที
พรวด
โลหิตพุ่งออกจากลำคอของฮุยเหมาอิงราวน้ำพุ ร่างของคนล้มลง
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยออกมาจากการอำพรางตัว
“แมวตัวนี้สามารถอำพรางตัวได้”
“แมวนี่น่ากลัวนัก มิคาดว่าจะสามารถฆ่าฮุยเหมาอิงได้ในครั้งเดียว”
สีหน้าของผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ กลับกลายเป็นขาวซีดไป
ชัดเจนว่าแมวขโมยตัวนี้ของจ้าวเฟิงมิใช่สัตว์เลี้ยงธรรมดาทั่วไป
หลังจากที่ฮุยเหมาอิงถูกจัดการ สถานการณ์ก็ได้เอนเอียงไปอีกครั้ง
ฉีจิ่วมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึกครั้งหนึ่งก่อนจะล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ท่านลุงหลิวถอนหายใจเฮือก ปาดเหงื่อที่ปรากฏขึ้น พึมพำเอ่ยว่าเกือบควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่ได้แล้ว
สายตาของชายชราเปลี่ยนแปลงไปขณะที่มันจับจ้องไปยังร่างของจ้าวเฟิง ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ข้าขอถามน้องชายหน่อยเถิด เจ้าใช่นักฝึกสัตว์หรือไม่?”
นักฝึกสัตว์?
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงความคาดหวังและเคารพในแววตาของลุงหลิว
“อืม… ใช่ ข้าคือนักฝึกสัตว์”
ความคิดของจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงไป ผงกศีรษะยอมรับ