Skip to content

King of Gods 255

King Of Gods

บทที่ 255 : เมืองหงหู

“…. ถูกแล้ว ข้าคือนักฝึกสัตว์”

ใบหน้าของจ้าวเฟิงยังคงเยือกเย็น เอ่ยรับฉายาสูงส่งไว้อย่างไร้ยางอาย

ลุงหลิวและคนอื่นๆ รู้สึกเชื่อถืออย่างน้อยเก้าสิบในร้อยส่วน

จะอย่างไร พวกเขาก็ได้เห็นด้วยตาตนเองว่าจ้าวเฟิงได้ชี้นำนางแอ่นมรกต คุกคามฮุยเหมาอิงที่อยู่ในนภาที่เจ็ด

บนใบหน้าของเด็กหนุ่มนามหลินตงปรากฏความสงสัยขึ้นหลายส่วน: ไอ้เด็กนี่ที่มาจากดินแดนห่างไกล กลับกลายเป็นนักฝึกสัตว์ที่ได้รับความเคารพนับถือ นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว…

อาณาจักรนภามีอาณาเขตกว้างใหญ่ ทำให้เกิดความต้องการพาหนะที่เป็นนกมาก

ต่อให้เหล่ามนุษย์จะมีความเร็วมากเพียงใด แต่หากระยะทางนั้นไกลกว่าหมื่นลี้ ต่อให้มีใจแต่พละกำลังก็ไม่อาจสนับสนุนได้

ณ ที่แห่งนี้ คนจำนวนมากเลือกที่จะใช้สัตว์วิเศษในการเดินทางมากกว่าการเดินไป บุคคลในชุดทองก่อนหน้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เสือดาวสี่ปีกนั้นไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือเดินทางก็ล้วนมีประโยชน์อย่างมาก

ลองคิดดูว่า หากต้องเดินทางมากกว่าพันลี้หรือหมื่นลี้ในสงคราม การใช้เพียงกำลังขาอย่างเดียวนั้นมันค่อนข้างที่จะน่าหดหู่ไปเสียหน่อย

ดังนั้นแล้ว

การมีสัตว์ขี่วิเศษครอบครองในอาณาจักรนภาจึงเป็นที่แพร่หลาย มันนับได้ว่าเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่ผู้คนแข่งขันแย่งชิงกัน

ดังนั้นแล้ว นักฝึกสัตว์ในอาณาจักรนภาจึงได้รับความนิยมอย่างมาก ทว่ากลับหาได้ยากยิ่งนัก ความหายากนั้นเทียบเคียงได้กับผู้เชี่ยวชาญค่ายกลและนักปรุงยาเลยทีเดียว

ดังนั้น หลังจากที่จ้าวเฟิงยอมรับว่าเขาเป็นนักฝึกสัตว์ สายตาของลุงหลิวจึงมีความดีใจเป็นพิเศษ

“เจ้าเป็นนักฝึกสัตว์แต่แรกแล้ว มิแปลกใจเลยที่จะมีสัตว์เลี้ยงที่ฉลาดและน่ารักเช่นนี้”

ดวงตาใสกระจ่างของหลิวถิงยวี่ส่องประกายยามที่นางมองไปยังจ้าวเฟิง ปรากฏความนับถือขึ้นบางส่วน

ในทั้งสามคนนั้น มีเพียงหลินตงที่สีหน้าทะมึน รู้สึกสงสัยเคลือบแคลง

หากเป็นเหตุการณ์ปกติทั่วไป เขาคงเชื่อไปเกือบครึ่งแล้ว

ทว่าเด็กหนุ่มได้ตัดสินจ้าวเฟิงไปก่อนหน้าแล้ว จึงไม่อาจที่จะยอมรับ ‘ความจริง’ นี้ได้

“ลุงหลิว น้องถิง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีนักฝึกสัตว์ที่เยาว์วัยเช่นนี้มาก่อน”

หลินตงเอ่ยถามขึ้น ยังคงมีความไม่เป็นมิตรต่อจ้าวเฟิง

“ตงเอ๋อร์ อย่าได้เสียมารยาท”

ลุงหลิวตวาดอย่างเคร่งเครียด เอ่ยแทรกคำของอีกฝ่ายขึ้น

นักฝึกสัตว์นั้น สำหรับในตระกูลเล็กๆ แล้วนับว่ามีไม่มากและหายากยิ่งนัก

ในตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานนั้นมีเพียงนักฝึกสัตว์ฝึกหัดที่รับผิดชอบในการเลี้ยงดูสัตว์ขี่วิเศษในแต่ล่ะวันซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าหากจะทำให้สัตว์ปีศาจเชื่องจริงๆ นั้นยากนัก

ก่อนหน้า ตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานเองก็มีนักฝึกสัตว์อย่างเป็นทางการอยู่ ทว่ากลับอยู่ได้ไม่นานก่อนที่ตระกูลอื่นจะดึงเอาตัวไป

“สถานะของข้าไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวแก่ผู้ใด”

จ้าวเฟิงเหลือบตามองหลินตงครั้งหนึ่งอย่างเฉยชา ทว่าเสียงที่ดังออกไปกลับเต็มไปด้วยพลัง

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยผงกศีรษะอย่างจริงจังพร้อมกับยกอุ้งเท้าของมันเพื่อยืนยันให้กับผู้เป็นเจ้าของ

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ลุงหลิวและหลิวถิงยวี่ก็ยิ่งเชื่อมั่นโดยไร้ซึ่งข้อสงสัย

หลิวตงรู้สึกอ่อนใจอยู่เล็กน้อย ทว่าไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งอื่นใดอีก

หากไม่ใช่นักฝึกสัตว์ จ้าวเฟิงที่เป็นเด็กหนุ่มจากต่างแดนผู้หนึ่งที่มีพลังฝนนภาที่หกย่อมยากที่จะได้ครอบครองนางแอ่นมรกตที่เป็นสัตว์วิเศษได้

“น้องชายนักฝึกสัตว์ ข้อตกลงก่อนหน้ายังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่?”

ในแววตาของหลิวถิงยวี่ส่องประกายเจ้าเล่ห์ขึ้น

ลุงหลิวเผยรอยยิ้มเจิดจ้าขึ้น “จากข้อตกลงก่อนหน้า หากแมวขโมยตัวน้อยต้องการที่จะติดตามเรา เจ้าจะไม่ขัดขวางใช่หรือไม่?”

“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น ทว่าต้องการสัตว์วิเศษจากมือของนักฝึกสัตว์คงไม่ง่ายเช่นนั้น”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยที่นั่งอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่มกระโดดตีลังกา หางแกว่งไกวไปมา ใบหน้าเผยความเย่อหยิ่งขึ้น ปฏิเสธข้อเสนอของคนของหลิวถิงยวี่ทั้งหมด

ผลลัพธ์นี้ไม่ได้ทำให้ลุงหลิวประหลาดใจ

หากแมวขโมยตัวน้อยเปลี่ยนใจได้ง่ายดาย จ้าวเฟิงก็นับว่าทำให้ชื่อเสียงของนักฝึกสัตว์ต้องมัวหมองแล้ว

ลุงหลิวถอดถอนใจ “หากเป็นเช่นนี้ โปรดน้องชายช่วยให้เวลาถิงเอ๋อร์สักหนึ่งร้อยวันเถิด นอกจากนั้นเจ้ายังเป็นนักฝึกสัตว์ เจ้าย่อมมิต้องกังวลว่าเราจะใช้วิธีการสกปรกใดๆ”

“ข้าไม่ได้กังวลอันใด ทว่าเวลาหนึ่งร้อยวันนั้น…”

จ้าวเฟิงจงใจเผยท่าทีลังเล

จนถึงยามนี้ เป้าหมายของเขาได้สำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว

“ฮี่ฮี่ น้องชายกำลังตามหาหญิงสาวสกุลหลิวอยู่มิใช่หรือ? เป้าหมายการเดินทางของเราในครั้งนี้คือหนึ่งในเจ็ดตระกูลสาขาของตระกูลหลิว ตระกูลหลิวหงหู”

ลุงหลิวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ตระกูลหลิวหงหู

ในใจของจ้าวเฟิงยินดีอย่างมาก ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลสาขาของตระกูลหลิวได้

“ตระกูลหลิวหงหู เคยเป็นผู้นำของหงหูอยู่ช่วงหนึ่ง โปรดรอให้ไปถึงที่นั่นก่อน น้องชายจะได้ตามหาคนได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้นั้น ตระกูลหลิวหงหูมีตำราบรรพบุรุษที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ย่อมมีประโยชน์ในการตามหาคนมาก”

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเริ่มหวั่นไหว เขาก็เอ่ยเพิ่มขึ้นเพื่อลบความลังเลนั้น

บนเรือข้ามนภาก่อนหน้า ลุงหลิวก็ได้รู้แล้วว่าจ้าวเฟิงต้องตามหาคนผู้หนึ่ง

“เป็นอย่างนั้นได้นับว่าดี”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ

เป็นเช่นนั้นย่อมดี

หลิวถิงยวี่กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจและเริ่มเล่นกับแมวตัวน้อย

ลุงหลิวทอดถอนใจอย่างโล่งอก หากสามารถสร้างสัมพัน์อันดีต่อนักฝึกสัตว์ที่มีความสามารถเช่นนี้ได้ ตระกูลหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานย่อมมีแต่ได้ ไม่มีเสีย

หลายคนไม่ได้สังเกตว่า

จ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยมองหน้ากันครั้งหนึ่ง ในดวงตาปรากฏความยินดี

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าการแสร้งทำเป็น ‘นักฝึกสัตว์’ นั้นเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงจงใจเพื่อที่จะได้อาศัยคนทั้งสามนี้ในการตามหาเบาะแสอื่นๆ ต่อไป

เหล่าผู้ที่ทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจก่อนหน้าได้ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าไปในหนึ่งในเจ็ดตระกูลสาขา สำหรับภารกิจในการหาตามหาคนนับว่าเป็นตัวช่วยได้อย่างมาก

ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงได้สัญญาว่าจะมอบผลึกเริ่มต้นระดับต่ำหนึ่งร้อยผลึกให้กับแมวขโมยตัวน้อยเป็นการตอบแทน

หากไม่ใช่เพราะแมวขโมยตัวน้อย เด็กหนุ่มคงไม่สามารถเข้าใกล้ตระกูลหลิวได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ กระทั่งอาจสร้างความเคลือบแคลงขึ้น

ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงก็ลอบบ่นพึมพำอยู่ในใจว่า “ท่านอาจารย์ ภารกิจส่งจดหมายนี้ท่านให้ข้อมูลมาน้อยนัก ในอาณาจักรนภาที่กว้างใหญ่ ผู้ที่มีสกุลหลิวนั้นมีนับร้อย ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าหลิวฉินซินนั้นมีนับไม่ถ้วน”

ความจริงแล้ว จ้าวเฟิงได้เข้าใจผู้อาวุโสหนึ่งผิด

ชายชรานั้นไม่ได้ไปยังอาณาจักรนภาและไปพบ ‘คนผู้นั้น’ มานานแล้วจึงรู้ข้อมูลเฉพาะไม่มากนัก แม้ว่าจะเคยรู้จักกับ ‘คนผู้นั้น’ มันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว

เป้าหมายที่แท้จริงของผู้อาวุโสนั้นคือการสร้างที่อยู่ให้กับจ้าวเฟิง สำหรับสถานการณ์ของสิบสามแคว้นนับว่าไม่มีหวังมากนัก

หลังจากข้าม ‘สายธารกราดเกรี้ยว’ มาแล้ว จ้าวเฟิงและพวกลุงหลิวทั้งสามก็ได้เดินทางไปด้วยกันอย่างเป็นทางการ

แม้ว่าลุงหลิวจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหลิวสาขา ทว่าการข้ามสายธารกราดเกรี้ยวไปยังอีกฝั่งหนึ่งนั้นไม่ได้ทำบ่อยนัก

“ทุกๆ ห้าปี ตระกูลสาขาหลิวผู้ดูแลเขตหลินหลานจะแนะนำอัจฉริยะ 1-2 คนไปยังตระกูลย่อย…”

ลุงหลิวไม่ได้ปิดบังเป้าหมายของการเดินทาง

จ้าวเฟิงเผยสีหน้าเข้าใจอย่างชัดเจน การ ‘แนะนำ’ เช่นนี้นั้น ยามที่เขาอยู่ที่หมู่บ้านใบไม้เขียว เขาเองก็โชคดีที่ได้ครองอันดับหนึ่ง

ตอนนั้น เขาและจ้าวเสวี่ยก็ถูกแนะนำไปเมืองประกายอรุณในฐานะตัวแทนของตระกูลจ้าว ทว่าสุดท้ายต่างคนต่างก็มีทางเดินเป็นของตนเอง

หลิวถิงยวี่และหลิวตงทั้งสองนั้นได้ถูกแนะนำโดยตระกูลในระดับใกล้เคียงกัน ด้วยประสบการณ์ของจ้าวเฟิงแล้ว มันจะคล้ายคลึงกันเพียงใด?

นอกจากนั้น เด็กหนุ่มยังเห็นว่าพรสวรรค์ของหลิวถิงยวี่นั้นห่างไกลจากหลิวตงนัก เส้นทางในอนาคตของทั้งสองย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าพรสวรรค์ของหลินตงเองก็นับว่าดี ทว่ามันอยู่ในระดับเดียวกับศิษย์พี่หยางก่านเท่านั้น

พรึบ

ลุงหลิวแตะไปที่กระเป๋าที่ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษที่ข้างเอว หมอกได้ปรากฏขึ้นเบาบางก่อนจะกลายเป็นอินทรีย์ยักษ์ขนคราม มันกางปีกทั้งสองของมันออกกว้างราวๆ สิบหลา

จ้าวเฟิงไม่มีกระเป๋าเก็บสัตว์วิเศษ ทำได้เพียงมองอย่างอิจฉาเท่านั้น

“ขึ้นมา”

ลุงหลิวได้อยู่บนแผ่นหลังของมันที่กว้างพอให้คนหลายคนนั่ง

พลังของอินทรีย์ยักษ์ขนครามนั้นอยู่ในนภาที่เจ็ด ทว่าความเร็ว ความหายากและมูลค่าของมันยังคงด้อยกว่านางแอ่นมรกตของจ้าวเฟิง

ทว่านกตัวนี้สามารถบรรทุกคนได้เกือบสิบคน นับว่าเป็นข้อดีที่นางแอ่นมรกตเทียบไม่ได้

จากสายธารกราดเกรี้ยวสู่ตระกูลหลิวหงหูนั้นไม่ไกลนัก เทียบเท่าได้กับระยะทางของครึ่งแคว้นเมฆา

ระหว่างทางพวกเขาได้บินผ่านเทือกเขาและแม่น้ำที่งดงาม ทำให้จ้าวเฟิงได้เปิดหูเปิดตานัก

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มีไอสวรรค์หนาแน่น พลังกองทัพรุ่งเรือง กระทั่งในโลกยังมีคนนับสิบอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ มิต้องเอ่ยถึงยุทธภพเลย

บนท้องฟ้ามักปรากฏนกพาหนะ บางครั้งได้เห็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

เมื่อเทียบแล้ว ลุงหลิวนับว่าไม่ได้พิเศษอันใดมากนัก

โดยปกติแล้ว ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในอาณาจักรนั้นมีอยู่จำนวนมาก

ทว่าเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้นั้นหายากนัก

ขั้นนายเหนือแท้ ไม่ว่าจะเป็นยามใดก็อยู่ที่จุดสูงสุด เพียงพลิกฝ่ามือก็สร้างเมฆได้ พลิกอีกครั้งทำให้สายฝนพร่ำ เป็นเช่นผู้ควบคุม

หลังจากผ่านไปหลายวัน

อินทรีย์ยักษ์ขนครามได้เข้าไปยังทะเลสาบกว้างแห่งหนึ่ง

เมืองหงหูนับว่ามีชื่อเสียงในอาณาจักรอยู่บ้าง หากจะเรียงลำดับตระกูลและอาณาเขตของที่แห่งนี้ก็สามารถจัดได้มากกว่าสิบลำดับขึ้นไป

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้กวาดสำรวจ ไอสวรรค์ของที่แห่งนี้นับว่าหนาแน่นนัก โอกาสที่สมบัติสวรรค์จะปรากฏก็สูงเช่นกัน

“ในอาณาเขตหงหู ตระกูลหลิวย่อยนั้นคือหนึ่งในสามตระกูลย่อยที่ทรงอำนาจในเมืองหงหู”

ลุงหลิวมาที่นี่หลายครั้งจึงได้ยกตัวอย่างให้จ้าวเฟิงเห็น

ทว่าความเป็นจริงนั้น เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มได้มองเห็นพื้นที่อันยิ่งใหญ่ของเมืองหงหูก่อนหน้านี้แล้ว กระทั่งรับรู้ถึงโครงสร้างเมืองคร่าวๆ รับรู้ทุกสิ่งในการกวาดตามองเพียงครั้งเดียว

ทั่วทั้งเมืองหงหูนั้นมีลักษณะเป็นเหมือนรูป ‘หัวใจ’

ส่วนหนึ่งที่ยื่นเข้าไปในพื้นตรงกลางของหงหูก็คือ “เกาะป้านต่าว” ซึ่งเกือบจะถึงจุดศูนย์กลางของเมืองหงหูแล้ว

เมืองหงหูนั้นอยู่ที่คาบสมุทร กลางเมืองจึงซับซ้อนและมีชายแดนที่กว้างใหญ่

หลังจากที่อินทรีย์ยักษ์ขนครามบินเข้าไปในเมืองหงหู พวกลุงหลิวจึงได้เริ่มระมัดระวัง

บนท้องนภาของเมืองหงหูมักจะปรากฏผู้แข็งแกร่งที่มักอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่จิตวิญญาณที่แท้จริงและกระทั่งขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผ่านไปมา

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้มองสถานการณ์ทั้งหมดด้วยความชื่นชม ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบว่าสิบสามแคว้นนั้นนับเป็นสถานที่ทุรกันดารโดยแท้

ตระกูลหลิวหงหูได้มีอาณาเขตอยู่ที่ทิศตะวันออกของเมืองหงหู ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่

เมื่อเข้าไปในเมืองหงหูแล้วมีกฏที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ สัตว์วิเศษประเภทนกขนาดใหญ่ต้องใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บสัตว์วิเศษ ไม่อนุญาตให้นำเข้าเมืองได้

จ้าวเฟิงรู้สึกหดหู่เล็กๆ เขาไม่มีกระเป๋าเก็บสัตว์วิเศษ ทั้งในยามนี้เขาเองก็ยังไม่อาจซื้อได้เช่นกัน

“หยุด”

ทหารหลายคนได้พุ่งเข้าไปขัดขวางเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว

ความจริงแล้ว นางแอ่นมรกตของเขานับเป็นนกขนาดใหญ่ จะอย่างไรมันก็มีขนาดตัวยาวหลายฟุต หากไม่มีความต้องการจะสร้างเรื่องขุ่นเคืองกับผู้อื่นก็ยังต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยของส่วนรวม

กลางอากาศในเมืองหงหูปรากฏนกทหารลาดตระเวน พลังอยู่ในในนภาที่ห้าถึงเจ็ด บางกลุ่มกระทั่งมีผู้นำอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

จ้าวเฟิงมีสองตัวเลือก

หนึ่ง เข้าไปในเมือง ให้นางแอ่นมรกตอยู่นอกเมืองไปก่อนชั่วคราว

ทว่าหากนางแอ่นมรกตนี้อยู่ภายนอกมันก็ง่ายต่อการถูกพบเจอโดยยอดฝีมือผู้อื่น

สอง ล้มเลิกการเข้าเมือง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!