บทที่ 432 : ลู่เทียนอี้
ศิษย์ทั้งสามสำนักแหงนศีรษะมองไปยังท้องนภา จิตใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ดวงวิญญาณถูกกดทับไว้ด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายจนลมหายใจติดขัด
ท่ามกลางชั้นเมฆ
‘เนตรสวรรค์’ ราวกับยืนเสมอเคียงกับท้องนภา ส่องประกายสีฟ้าใส สายตาไร้ความรู้สึกจับจ้องลงไปเบื้องล่าง
“ดวงตานั่นดูคุ้นเคยนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
เย่หยานหยูและคนอื่นๆ ยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ที่เดิมอย่างไม่อาจทำใจให้เชื่อได้
อัจฉริยะจากสามสำนักสมองว่างโล่ง ดวงตานั้นเหมือนกับดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงยิ่งนัก
ชื่อกุ้ยจากตำหนักผาดำสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเป็นคนแรกที่ตระหนักถึงเจ้าของดวงตานั้นได้
ในยามนี้
เนตรสวรรค์ได้ข้ามผ่านระยะทาง ฉกฉวยความได้เปรียบจากมุมมองเบื้องบน สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับอัจฉริยะจากสามสำนัก ทำให้เกิดความอึดอัดกระวนกระวาย
“ชื่อกุ้ย เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าดวงตาที่ปรากฏขึ้นนี่มีความสามารถอันใด?”
ในใจของผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเย่หยานหยูปรากฏความไม่สบายใจอย่างลึกล้ำขึ้น
ท่าทีที่เนตรสวรรค์แสดงออกมา รวมทั้งตำแหน่งที่สูงกว่าทำให้ดูลึกล้ำราวกับบ่อน้ำ ทำให้ผู้คนไม่อาจคาดคะเนสิ่งใดได้
“ข้ารู้เพียงจำกัด ในยามนี้เพียงมั่นใจได้ว่าดวงตานี้สามารถแกะรอยจากระยะไกลได้ รวมทั้งสามารถสร้างแรงกดดันทางจิตวิญญาณ ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงเคยใช้วิชานี้ข้ามผ่านระยะทางกว่า 100-200 ลี้ ทำลาย ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ของข้าลงได้”
บนใบหน้าของชื่อกุ้ยปรากฏความหวาดกลัวขึ้นครอบคลุม
ในยามนั้น จ้าวเฟิงใช้ตำแหน่งที่สูงกว่าปะทะวิชาดวงตากับเขาเป็นครั้งแรก
“ข้ามผ่านระยะทางกว่า 100-200 ลี้?”
เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนสีหน้า
แม้ว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ยังยากที่จะสามารถใช้วิธีการเช่นนั้น ข้ามผ่านระยะทางกว้างไกลโจมตีได้
นอกจากนั้น
การข้ามผ่านระยะทางของดวงตาของจ้าวเฟิงนั้นมีขีดจำกัดอยู่ที่เท่าใดกัน?
คำตอบนั้น จ้าวเฟิงรับรู้เป็นอย่างดี
ดวงตาเทพเจ้าของเขาสามารถมองได้ไกล จะอย่างไรแต่เดิมตัวตานี้ก็สามารถเดินทางข้ามระยะทางได้ไกลยิ่งนักอยู่แล้ว
ด้วยพลังฝึกตนที่เพิ่มขึ้นวันแล้ววันเล่า ระยะการมองของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง แม้จะเรียกได้ว่า ‘เนตรพันลี้’ ก็ไม่นับว่าเกินเลย
ประการแรก
จ้าวเฟิงในซากปรักหักพังสือเฉิงไม่ได้ถูกปิดกั้นประสาทสัมผัสอีกต่อไป การมองข้ามผ่านไปในระยะสองพันลี้ไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด
แน่นอนว่ายิ่งมองไปไกล พลังดวงตาที่ใช้ก็ยิ่งมาก
โดยปกติแล้ว จ้าวเฟิงย่อมไม่ฟุ่มเฟือยเช่นนั้น
“เป็นความรู้สึกนี้…”
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกระโดดขึ้นไปบนชั้นเมฆกลางเวหา ได้มุมมองที่สูงกว่า
ระดับความสูงนั้น มุมมองนั้นราวกับเขาได้มองไปด้วยสายตาของปักษา เป็นผู้ควบคุมฟ้าดินสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง สร้างความตื่นเต้นให้ยิ่งนัก
แน่นอนว่า
ในระหว่างนั้น พลังดวงตาของจ้าวเฟิงย่อมถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
“หืม? แม้ว่าจะใช้ไปมากอยู่ ทว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วดูเหมือนจะเสียไปน้อยลงสองเท่าอย่างเห็นได้ชัด”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
การใช้ดวงตาข้ามผ่านระยะทางในยามนี้ นับว่าเป็นการถือโอกาสใช้การสนับสนุนจากแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาเพื่อทดสอบดู
หลังจากการวิเคราะห์
อย่างแรก การใช้ดวงตาข้ามผ่านระยะทางนี้ พลังที่เสียไปขึ้นอยู่กับระยะทาง
ยิ่งระยะทางห่างไกลเท่าใด พลังวิญญาณของดวงตาก็จะถูกใช้ไปมากขึ้น
ในทางกลับกัน
จ้าวเฟิงในบัดนี้ข้ามผ่านระยะทางไปเพียง 5-6 ลี้ พลังที่เสียไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของครั้งก่อน
“อีกปัจจัยหนึ่งคือหากระหว่างใช้ดวงตาข้ามผ่านระยะทางแล้วสร้างแรงกดดันหรือโจมตี พลังที่เสียไปก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว
จ้าวเฟิงคิดถึงการข้ามผ่านระยะทางเพื่อทำลาย ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ครั้งก่อน
แต่ในยามนี้
ขอบเขตจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสองเท่า ทั้งยังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณอย่างแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาคอยหนุนหลัง ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังมากนัก
หลังจากผ่านไปหนึ่งหรือสองสามหายใจ จ้าวเฟิงจึงเข้าใจสภาวะนี้อย่างสมบูรณ์
ภายใต้สภาวะดวงตาข้ามผ่านระยะทาง เขายังคงมีส่วนเชื่อมโยงกับร่างเนื้ออยู่ ทว่าไม่อาจควบคุมให้ร่างขยับเคลื่อนไหวได้
เด็กหนุ่มยังค้นพบอีกว่าในสภาวะนี้ การรับรู้เชื่อมต่อกับฟ้าดินและจิตวิญญาณได้เข้าสู่ระดับที่น่าเหลือเชื่อ กระทั่งเหนือกว่าขอบเขตจิตวิญญาณของเขา
มันคือสภาวะเดียวกับสภาวะแก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน ทว่าเขาสามารถเข้าสู่สภาวะดวงตาข้ามผ่านระยะทางได้ง่ายดายกว่า
รวมทั้ง
การควบคุมดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังแข็งแกร่งกว่าเดิมเมื่อเทียบกับยามปกติถึงสองเท่าตัว
เขาสามารถควบคุมและหลอมรวมเข้ากับฟ้าดินได้อย่างไม่อาจเทียบเคียงกับยามปกติ ทั้งแรงกดดันทางจิตวิญญาณนั้นยังไม่ต้องเอ่ยถึง แม้ว่าผู้สูงศักดิ์จะมาก็ยังต้องเปลี่ยนสีหน้า
“ไม่รู้ว่าภายใต้สภาวะนี้จะสามารถใช้วิชาดวงตาได้หรือไม่”
จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นเต้น
โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ได้ผ่านไปหลายลมหายใจ
ศิษย์จากสามสำนักตื่นตะลึง ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อเนตรสวรรค์ที่สร้างแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็นออกมา ทำให้ใจหล่นวูบ
“เจ้าตัวบัดซบจ้าวเฟิง หากมีฝีมือก็จงออกมาประลองกันตรงๆ อย่าได้หลบซ่อนคอยแอบมองอยู่เบื้องหลัง นี่จะนับว่าเป็นวิถีของลูกผู้ชายได้อย่างไร”
สีหน้าของหลี่หงมืดทะมึน ความรู้สึกด้อยกว่าและกระวนกระวายทำให้เขาหวาดกลัวและหงุดหงิด
“ใช่แล้ว หากมีฝีมือก็จงออกมาประลองกันตรงๆ สิ”
อัจฉริยะจากสามสำนักแสดงท่าทีดุร้ายกราดเกรี้ยวออกมา เอ่ยออกมาติดๆ กัน
เนตรสวรรค์ท่ามกลางท้องนภาปรากฏท่าทีขบขันเย้ยหยันออกมา
“ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์”
น้ำเสียงเย็นเยียบลึกลับดังก้องขึ้นในสมองของพวกเขา
ครืนนน
ภาพที่พวกเขาเห็นมีเพียงแค่ดวงตาใหญ่โตนั้นกลายเป็นราวกับนรกอันเย็นเยียบที่แผ่ขยายออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ส่องประกายสีฟ้าหม่นหมอง ส่งลำแสงเย็นเยียบหนาเท่ากำปั้นออกมาอย่างกะทันหัน
ลำแสงเย็นเยียบโปร่งใสนั้นมีความเร็วที่ยากจะรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ เพียงเสี้ยวพริบตาก็มาถึงเป้าหมาย
“ระวัง”
เย่หยานหยูตะโกนเตือนออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในเสี้ยววินาทีนั้น ไอสวรรค์บนโลกก็พลันควบรวมกันสร้างบรรยากาศเย็นเยียบ ต้นกำเนิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากเนตรสวรรค์
เปรี้ยง
แสงสว่างจ้าราวกับสายฟ้าฟาดลงผ่านความว่างเปล่า ส่องสว่างด้วยพลังไอสวรรค์เหมันต์อันทรงพลังไร้ที่สิ้นสุด ในเวลาเดียวกันก็สร้างกลิ่นอายเก่าแก่สูงศักดิ์ออกมา
ฟุ่บ เปรี้ยง
หลี่หงไม่ทันได้เคลื่อนไหวก็ถูกลำแสงเย็นเยียบที่ทรงพลังอย่างไม่อาจคาดคะเนทะลวงผ่านร่างกายและดวงวิญญาณ
มีหรือที่เขาจะคาดคิดว่าเนตรสวรรค์นั่นจะสามารถโจมตีได้ตรงๆ ทั้งยังรวดเร็วเพียงนี้
ระยะโดยรอบหนึ่งลี้ที่มีหลี่หงเป็นจุดศูนย์กลางถูกแช่แข็ง บริเวณนั้นได้กลายเป็นดินแดนน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก
ร่างกายของหลี่หงแข็งค้างไม่เคลื่อนไหว อ้าปากกว้างมองเหม่อไปอย่างโง่งม
ร่างกายของเขาถูกน้ำแข็งแช่ กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งเสมือนจริง
“ไม่คิดว่าเนตรสวรรค์นี่ไม่เพียงแค่สามารถช่วงใช้ไอสวรรค์ ทว่ายังสามารถเพิ่มพลังของวิชาดวงตาของข้าได้ด้วย”
มุมมองของจ้าวเฟิงยังคงอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ
การโจมตีเมื่อครู่ใช้พลังไปมหาศาล ใช้พลังในการใช้ ‘ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์’ มากกว่าปกติหลายเท่าตัว
ทว่าผลลัพธ์นั้นชัดเจน
การเชื่อมต่อกับฟ้าดินของเนตรสวรรค์แข็งแกร่งยิ่งนัก ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ ที่จ้าวเฟิงใช้เมื่อครู่มีพลังเพิ่มขึ้นมหาศาล ไอสวรรค์เองก็ตอบสนองอย่างมกามาย
ในสภาวะนั้น ขอบเขตจิตวิญญาณ และพลังอำนาจของจ้าวเฟิงกระทั่งเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ อาจกล่าวได้ว่ามันเกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้
“มนุษย์ พลังในแหล่งกำนิดจิตวิญญาณข้ากำลังลดลงอย่างรวดเร็ว”
น้ำเสียงโหยหวนของหอคอยพฤกษาปีศาจดังขึ้น
“ที่เสียไป มิใช่ว่าข้าก็กำจัดผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงไปได้คนหนึ่งหรือ?”
จ้าวเฟิงยังคงไม่หวั่นไหว
หากเป็นยามปกติ เขาย่อมไม่กล้าลงมือเช่นนั้นง่ายๆ
ทว่าบัดนี้ขอบเขตจิตวิญญาณของเขากระทั่งแข็งแกร่งกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ ทั้งยังมีแหล่งพลังขนาดยักษ์จากแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาคอยสนับสนุน
ในกระบวนการ
ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มได้กลืนกินพลังของ ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ ไปอย่างรวดเร็ว
ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงได้รับแก่นแท้พลังจิตที่บริสุทธิ์มหาศาล พลันเข้าใจรับรู้ถึงแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาจำนวนมากในครั้งเดียว
ในเวลาหลายลมหายใจ
ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขอบเขตจิตวิญญาณเองก็พัฒนาขึ้นอย่างมั่นคง
“แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษานับว่าสมกับคำเล่าลือ กระทั่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังมีประโยชน์อย่างมาก”
จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี
ดวงวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินกว่าจะอธิบาย ขอบเขตจิตวิญญาณเองก็สามารถเทียบกับขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงได้
ใกล้พื้นดิน
“ศิษย์พี่หลี่หง”
ศิษย์จากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างอุทานออกมา ใบหน้าซีดขาว
พวกเขาทำได้เพียงมองไปยังเนตรสวรรค์ที่ส่งลำแสงเย็นเยียบรุนแรงนั่นออกมา ทำให้หลี่หงกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งสิ้นสติไปอย่างไร้หนทาง
“ศิษย์พี่หลี่”
ผู้คนมุ่งหน้าตรงไปทำลายชั้นน้ำแข็ง ทว่าหลี่หงกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
กลิ่นอายพลังชีวิตบนร่างของเขายังไม่หายไป ทว่ากลับไม่มีสตินึกคิด
“การโจมตีวิญญาณธาตุน้ำแข็งที่เย็นเยียบทำให้ดวงวิญญาณของเขาเข้าสู่สภาวะจำศีลอย่างสมบูรณ์ มีเพียงแค่ราชาในขอบเขตปราณเทวะจึงจะมีโอกาสปลุกเขาให้ตื่นได้”
ใบหน้าของชื่อกุ้ยเต็มไปด้วยความอ่อนแรง อดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปไม่ได้
การโจมตีนั้นของจ้าวเฟิง บางทีจากผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ คงไม่มีผู้ใดโชคดีหลบหนีไปได้
ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอย่างหลี่หงยังถูกกำจัดด้วยหนึ่งการมอง
แม้จะเป็นเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ก็มีโอกาสเพียงห้าส่วนที่จะสามารถต่อต้านได้
ในเสี้ยวพริบตา
อัจฉริยะจากสามสำนักที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นต่างอึ้งตะลึง บางคนกระทั่งคุกเข่าหดตัวร่างสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวอยู่บนพื้น แทบจะคารวะเนตรสวรรค์ที่อยู่บนฟากฟ้านั้น
“ทุกคนสบายใจเถอะ วิชาที่เกินกว่าระดับพลังของตนเองเช่นนั้นย่อมไม่อาจใช้ซ้ำๆ ได้”
หัวใจของชื่อกุ้ยค่อนข้างสงบ
เขาในยามนี้นับได้ว่าไร้ซึ่งพลังต่อต้านโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องการที่จะเสียพลังในการปะทะกับจ้าวเฟิงอย่างเปล่าประโยชน์
หกยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ เหลือเพียงสี่คนที่ยังสามารถต่อสู้ได้ ชื่อกุ้ยและหลี่หงนับว่าไร้ซึ่งความสามารถใดๆ ไปแล้ว
“ถอย”
“รีบถอยออกจากหุบเขานี่”
เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์มองไปยังเนตรสวรรค์บนท้องนภาอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง นำอัจฉริยะจากสามสำนักล่าถอยไปด้วยความเร็วสูงสุด หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ
เนตรสวรรค์จางหายไปจากชั้นเมฆ
เฮ้อ
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกลับมายังร่างเนื้อพร้อมพ่นลมหายใจยาวเหยียด
การโจมตีข้ามผ่านระยะทางเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ พลังดวงตาของเขาก็สูญเสียไปกว่าสามถึงสี่ส่วน ทั้งนี่ยังมีแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาคอยสนับสนุน ระยะทางไม่ห่างไกล และปัจจัยอื่นๆ อีก
ตามปกติแล้ว จ้าวเฟิงย่อมไม่ใช้มันง่ายๆ
“มนุษย์ แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของข้าถูกใช้ไปเกือบหนึ่งในสาม”
หอคอยพฤกษาปีศาจทั้งยินดีและกังวลไปในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่มันยินดีคือมันสามารถทำให้อัจฉริยะจากสามสำนักล่าถอยไปได้สำเร็จ ทั้งยังทำให้พลังต่อสู้โดยรวมของยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้อ่อนแอลงมากกว่าครึ่ง
ที่น่าเศร้าคือ สิ่งที่มันเสียไปมีมากมาย
พลังในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเกือบหนึ่งในสามเป็นปริมาณที่ยากจะคาดคะเน
ส่วนหนึ่งถูกดูดกลืนไปโดยจ้าวเฟิง อีกส่วนถูกใช้ไป
ในตอนนี้เอง
“พี่จ้าวเฟิง ซากวิหารกำลังจะไปถึง ทว่ามีข่าวร้าย อัจฉริยะอันดับหนึ่งในสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ‘ลู่เทียนอี้’ กำลังมุ่งหน้าไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว”
น้ำเสียงของจ้าวหยูเฟ่ยดังขึ้นในสมองของเด็กหนุ่ม
ลู่เทียนอี้
จ้าวเฟิงจิตใจหนาวเยือก คนผู้นี้คืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอัจฉริยะจากสามสำนักที่เข้ามาในซากปรักหักพัง มีคำเล่าลือว่าพลังฝึกตนของเขาบรรลุถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาเทพเจ้า มองห่างออกไปหลายร้อยลี้ เห็นร่างของชายหนุ่มร่างท้วมท่าทีเกียจคร้านผู้หนึ่งกำลังเข้าใกล้หุบเขาลึกลับนี้
หุบเขาลึกลับถูกล้อมไปด้วยกระแสลมที่แปรเปลี่ยนไร้ซึ่งความแน่นอน
สายลมนั้นเพียงพอที่จะป้องกันผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้
ชายหนุ่มผู้นั้นโบกมืออย่างเกียจคร้าน
ฟึ่บ เปรี้ยง
เงาฝ่ามือสว่างจ้าที่มีพลังราวกับจะสามารถทำลายดวงวิญญาณเข่นฆ่าเทพเจ้าปรากฏขึ้น พลังรุนแรงนั้นได้ฉีกกระชากสายลมแปลกประหลาดรอบหุบเขา สร้างทางขึ้น
“ลมแปลกประหลาดด้านนอกหุบเขา ส่วนที่มีกระแสลมแรงกระทั่งสามารถฉีกกระชากร่างของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าคนผู้นี้กลับใช้เพียงหนึ่งฝ่ามือทะลวงฝ่าเข้ามาได้”
จ้าวเฟิงจิตใจสั่นสะท้าน
ชายหนุ่มผู้นั้นโจมตีอย่างง่ายๆ กลายเป็นน้ำวนดึงดูดไอสวรรค์ เหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไป ที่มีเพียงยามที่จ้าวเฟิงอยู่ในสภาวะ ‘เนตรสวรรค์’ จึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้ ทั้งมันยังกระทั่งแข็งแกร่งกว่า
“ศิษย์พี่ลู่”
ศิษย์สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่กำลังหลบหนีอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ