Skip to content

King of Gods 431

King Of Gods

บทที่ 431 : ไล่ล่าข้ามระยะทาง

“มนุษย์ เจ้ามีฝีมือจริงๆ เพียงลงมือก็สามารถทำให้การโจมตีของศัตรูที่ทรงพลังเหล่านี้หยุดลงได้”

น้ำเสียงประหลาดใจปนยินดีของหอคอยพฤกษาปีศาจดังขึ้น

ก่อนหน้านี้ มันต้านรับการโจมตีรุนแรงของเจ็ดยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้และอัจฉริยะในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกนับร้อย เรียกได้ว่าเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก

หลังจากที่จ้าวเฟิงลงมือ สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ

ในยามนี้

อัจฉริยะกว่า 20-30 คน รวมทั้งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อีกสองคนได้ตกลงสู่เมืองวงกตมายาของจ้าวเฟิง

เมืองวงกตมายาใช้ ‘เนตรคุกลวงตา’ เป็นพื้นฐาน เป็นวิชาดวงตาที่มีระยะการโจมตีเป็นวงกว้าง

ในด้านความลึกล้ำของวิชา เมืองวงกตมายานี้ไม่ได้พิเศษไปกว่าเนตรคุกลวงตา

สิ่งที่ยากของเมืองวงกตมายาคือมันเป็นการโจมตีวงกว้าง การสร้างแผนผังเมืองขนาดยักษ์ที่เหมาะสมกับศัตรูจำนวนมากใช้ปริมาณพลังวิญญาณและพลังดวงตาอย่างมหาศาลจนน่าพรั่นพรึง

ก่อนหน้า

ด้วยพลังฝึกตนของจ้าวเฟิง วิชามายาที่มีระยะการโจมตีกว้างเช่นนี้เขาได้เคยคิดวางแผนที่จะลองมาก่อน ทว่ายังไม่ได้ลงมือ

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับ ‘กลยุทธ์เอาคนมากเข้าว่า’ ของศัตรูที่ทรงพลัง

คู่ต่อสู้ที่เผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายก่อนหน้าของเขาเป็นเพียงหนึ่งหรือมากกว่าไม่กี่คน เพียงแค่วิชาดวงตาทั้งสี่แต่เดิมก็นับว่าเพียงพอแล้ว

‘เมืองวงกตมายา’ คือสิ่งที่วิชาดวงตาพัฒนาขึ้นในสถานการณ์บีบบังคับ

“เมืองวงกตมายาใช้รับมือกับ ‘กลยุทธ์เอาคนมากเข้าว่า’ โดยเฉพาะ หากมีกำลังคนจำนวนมากถาโถมเข้ามา ข้าก็จะยอมให้เจ้าเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ทว่ายากที่จะขยับเคลื่อนไหวเข้ามาอีกแม้เพียงหนึ่งก้าว”

จ้าวเฟิงยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ ดวงตาซ้ายราวกับนรกเย็นเยียบอันไร้จุดสิ้นสุด เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวตามสายลม สร้างภาพลักษณ์ลึกลับชั่วร้ายขึ้นมา ทว่าก็ยังให้ความรู้สึกสง่าสูงศักดิ์จากสายเลือดที่ทรงพลัง

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ

เมืองวงกตมายาของจ้าวเฟิงอยู่ที่ช่องว่างของปีศาจต้นไม้ ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าใด พลังล่อลวงของมันก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังค่อยๆ สร้างความมั่นคงให้กับเมืองวงกตมายาอย่างช้าๆ พัฒนาและขยายอาณาเขตของมันไปพร้อมๆ กัน

“ยิ่งพี่ชายให้การสนับสนุนได้มากเท่าใด พลังของวิชาดวงตาของข้าก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเล็กน้อย

สิ้นเสียง

จ้าวเฟิงเพียงรับรู้ได้ถึงแก่นแท้ดวงวิญญาณที่ทรงพลังและบริสุทธิ์ไหล่บ่าเข้ามา มันคือพลังของแกนกลางของดวงวิญญาณของหอคอยพฤกษาปีศาจ

ครืนนน

ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงพลันถูกชำระล้าง ราวกับว่าได้รับหยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิที่ชุ่มช่ำ

ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าวิญญาณของเขาได้ไปแช่ในน้ำพุร้อน กระทั่งอาการบาดเจ็บทางจิตใจและอาการบาดเจ็บเรื้อรังบางอย่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เยี่ยม”

ในใจของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี เมื่อหอคอยพฤกษาปีศาจยินยอมมอบ ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ ให้ด้วยตนเอง ประสิทธิภาพในการดูดกลืนก็ดีกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดวงวิญญาณของเขาจึงขยายใหญ่ขึ้น ขอบเขตจิตวิญญาณเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง

เมืองวงกตมายามั่นคงยิ่งขึ้น ทั้งยังขยายใหญ่ขึ้น

จำนวนของอัจฉริยะที่ตกลงสู่ ‘เมืองวงกตมายา’ ยังคงเพิ่มขึ้น อัจฉริยะที่สามารถต่อต้านพลังของมันได้มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ

ตุบ

เหล่าอัจฉริยะร่วงลงจากกลางอากาศปะทะกับพื้นดิน กลายเป็นปุ๋ยให้กับหอคอยพฤกษาปีศาจครั้งแล้วครั้งเล่า

อัจฉริยะที่ตกอยู่ภายใต้ ‘เมืองวงกตมายา’ ของจ้าวเฟิงจะถูกล่อลวงไปยังทางออกหรือช่องว่าง ทว่าจริงๆ แล้วเป็นทางลงสู่พื้น

อัจฉริยะผู้ที่ค้นพบทางออก อาจกล่าวได้ว่าเป็นการค้นพบบานประตูสู่ความตายเสียมากกว่า

“ต้องฆ่าจ้าวเฟิงจึงจะสามารถช่วยเหลือศิษย์ของสามสำนักได้”

ใบหน้างดงามของเย่หยานหยูเย็นเยียบ จิตสังหารข้นคลั่กปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ในมือปรากฏดาบสีใสขึ้น

สายตาของนางไปหยุดอยู่ที่จงหว่านเอ๋อร์

จ้าวเฟิงในวันนี้แตกต่างจากในอดีต การที่จะฆ่าเขาจำเป็นต้องใช้การร่วมมือกันระหว่างยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงสองคนขึ้นไปจึงจะมีโอกาส

จ้าวเฟิงอยู่ภายใต้ร่มเงาของหอคอยพฤกษาปีศาจ อาจกล่าวได้ว่ามีความได้เปรียบด้านพื้นที่ที่ไม่อาจเทียบเคียง

ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปย่อมไม่อาจที่จะเข้าใกล้อีกฝ่าย มิเช่นนั้นคงกลายเป็นอาหารเสริมให้ปีศาจต้นไม้ไป

ที่สำคัญ จ้าวเฟิงยังมีหุ่นเชิดศพที่มีพลังเทียบเท่ากับขั้นนายเหนือแท้ถึงสามตัว ทั้งหุ่นเชิดศพพิษทั้งสองยังเป็น ‘พิษ’ ที่สามารถคร่าชีวิตของผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอีกด้วย

ในสถานการณ์ปกติ ในบรรดาอัจฉริยะทั้งหมด ณ ที่แห่งนั้น มีเพียงเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ที่สามารถคุกคามจ้าวเฟิงได้

เมื่อเผชิญหน้ากับข้อเสนอของเย่หยานหยู ใบหน้างดงามของจงหว่านเอ๋อร์ก็เผยความลังเลออกมา

“ไม่ดีหรอก”

ในน้ำเสียงอ่อนหวานของจงหว่านเอ๋อร์ปรากฎความสิ้นหวังปะปนอยู่

“อันใดนะ?”

เย่หยานหยูประหลาดใจ

“เย่หยานหยู ดูเหมือนเจ้าจะถูกความแค้นและรู้สึกผิดบดบังดวงตา ทำให้ดื้อด้านยิ่งนัก ฆ่าจ้าวเฟิงหรือ? หรือจะฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจ? ไม่ว่าจะอย่างใดเราก็ต้องสูญเสียอย่างมาก คนฝ่ายเรากี่คนกันที่ต้องสละชีพ? ทั้งหมดนี่มันคุ้มค่าหรือ?”

จงหว่านเอ๋อร์แสดงสีหน้าเด็ดขาดออกมา

เย่หยานหยูชะงักไป

ใช่แล้ว

เพื่อที่จะฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจ อัจฉริยะจากสามสำนักได้สูญเสียไปมากเกินไปแล้ว

และการสูญเสียของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างนับว่ารุนแรงที่สุด เมื่อรวมหยูลั่วแล้ว มีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งหมดสามคนที่ต้องสิ้นชีพ

สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเก่า จ้าวเฟิงใช้วิชามายาที่มีระยะส่งผลกว้าง ครอบคลุมอัจฉริยะจำนวนมากเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะคนใดต่างก็ตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา

“คนของตำหนักมารจันทราทั้งหมด… ถอย”

จงหว่านเอ๋อร์มองไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าที่อยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ด้วยสายตาลึกล้ำครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำสั่งออกไปในที่สุด

ไม่นาน

อัจฉริยะจากตำหนักมารจันทราก็ช่วยเหลือกันล่าถอย ลากร่างของศิษย์สำนักเดียวกันที่ตกอยู่ใน ‘เมืองวงกตมายา’ ออกไปด้วยกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

สำหรับผู้คนที่ถอยออกไปนั้น จ้าวเฟิงปิดตาข้างหนึ่ง มุ่งเป้าไปยังอัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างอย่างจงใจ

“ตำหนักผาดำทั้งหมดถอย”

ชื่อกุ้ยได้สติกลับมาเมื่อใดไม่มีผู้ใดรู้ ออกคำสั่งหลังจากจงหว่านเอ๋อร์

เขาเชี่ยวชาญในวิชาดวงตา เข้าใจดีว่าสภาพของจ้าวเฟิงในเวลานี้น่าพรั่นพรึงเพียงใด

ความสามารถของสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงไม่อาจประเมินได้ อย่างน้อยชื่อกุ้ยก็ไม่เคยพบเจอสายเลือดที่พิเศษมากไปกว่านี้ บางทีอาจมีเพียงแค่ ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ ในตำนาน หรือมรดกสายเลือดดวงตาในระดับเดียวกันจึงจะสามารถไล่ต้อนจ้าวเฟิงได้

นอกจากนั้น

ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงยังเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ ทั้งยังมีแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลัง ปริมาณพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมหาศาล พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

ในสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง นอกจากเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์แล้ว คงไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านดวงตาของจ้าวเฟิงได้

“ถอย”

เย่หยานหยูเอ่ยพร้อมด้วยอาการกัดฟันกรอด นำกองกำลังล่าถอย ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดแค้นไม่เต็มใจ

บางทีหากใช้พลังของสามสำนักรวมกันอาจฆ่าจ้าวเฟิงได้ และอาจกระทั่งสามารถฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจได้

ทว่าการที่จะไปถึงจุดนั้นจำต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนไปมหาศาล สุดท้ายแล้วจะมีผู้เหลือชีวิตรอดสักกี่คนกัน?

สิ่งที่ได้รับและสิ่งที่สูญเสียไม่อาจเทียบกันได้

เป็นเพราะตระหนักได้ถึงจุดนี้ เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวมแล้ว จงหว่านเอ๋อร์จึงล่าถอย จะอย่างไรความขุ่นแค้นระหว่างตำหนักมารจันทราของนางกับจ้าวเฟิงก็ไม่ได้มากมาย

“ศิษย์น้องเย่ อย่าบอกข้าว่าพวกเรา…”

ในใจของหลี่หงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ข้าต้องการที่จะฆ่ามันมากกว่าท่านนับสิบเท่า แต่ว่าคนของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมากมายเท่าใดกันที่ต้องตายจึงจะสามารถแก้แค้นให้กับการตายของหยูลั่วและคนอื่นๆ ได้?”

เย่หยานหยูส่ายศีรษะอย่างขมขื่น

หลังจากที่จงหว่านเอ๋อร์ยอมแพ้ นางก็รู้ว่าการฆ่าจ้าวเฟิงนับว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว

มีเพียงแค่การที่นางและจงหว่านเอ๋อร์ร่วมมือกันจึงจะมีโอกาสราวๆ ห้าถึงหกส่วนในการฆ่าจ้าวเฟิง และมีเพียงแค่การที่ศิษย์พี่ลู่เทียนอี้มาถึงจึงจะมีโอกาสฆ่าจ้าวเฟิงได้อย่างแน่นอน

“ฮ่า… มนุษย์พวกนี้ถอยแล้วหรือ?”

หอคอยพฤกษาปีศาจคำรามออกมายาวนาน ในใจเต็มไปด้วยความยินดีล้นปรี่อย่างไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้

อัจฉริยะจากสามสำนักล่าถอยไปจนหมด หลงเหลือไว้เพียงซากศพราวๆ 10-20 ศพ

สิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้แต่เดิมก็เหลืออยู่เพียงหก ทว่าก่อนที่ทั้งหมดจะล่าถอย จ้าวเฟิงได้ใช้ ‘เนตรคุกลวงตา’ คร่าชีวิตของหนึ่งในยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ภายในเขาวงกต

อัจฉริยะจากสามสำนักมีท่าทีหดหู่ ราวกับพวงไข่ของพวกเขาถูกโจมตี

“สิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ มิคาดว่าจะสูญเสียไปถึงครึ่ง”

อัจฉริยะที่เห็นภาพนั้นคิดอย่างหวาดกลัว

จ้าวเฟิงที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้มองตามร่างที่ถอยห่างไป 4-5 ลี้อย่างรวดเร็วของอัจฉริยะจากสามสำนัก ก่อนจะเปิดปากเอ่ย”พี่ชาย อย่าได้สบายใจไป จงโบยคนพาลยามที่มันตกลงไปในน้ำ(1)”

“ได้”

หอคอยพฤกษาปีศาจเชื่อในคำพูดของจ้าวเฟิง

มันเองก็เข้าใจเช่นกันว่าการล่าถอยของสามยอดสำนักอาจไม่ใช่สิ่งที่ถาวร

สำหรับศัตรูแล้ว การลงมือให้เด็ดขาดคือสิ่งที่ดีที่สุด

“แต่ว่าคนพวกนี้ล่าถอยไปกว่า 5-6 ลี้แล้ว เกินกว่าที่ระยะของรากข้าจะโจมตีได้ เจ้าจะจัดการกับพวกมันอย่างไร”

หอคอยพฤกษาปีศาจเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

“มีกระบวนท่าหนึ่งที่น่าลอง”

นัยน์ตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก

ในยามนี้เด็กหนุ่มมีแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาคอยหนุนหลัง จึงคิดที่จะทดลองกระบวนท่านั้น

เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว

จ้าวเฟิงก็อดที่จะสูดลมหายใจลึกไม่ได้ เข้าสู่สภาวะแก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน ทุกการเคลื่อนไหวการกระทำราวกับว่าเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อม

นี่คือสิ่งที่เขาคัดลอกมาจากซินอู๋เหิน บัดนี้ขอบเขตจิตวิญญาณของเขามีระดับสูงขึ้นกว่าเดิม ให้ความรู้สึกราวกับว่าจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของขั้นนายเหนือแท้ได้ด้วยสภาวะนี้

ในเวลาเดียวกัน บ่อน้ำเย็นเยียบลึกล้ำในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็ขยายออกอย่างไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นอายกลับกลายเป็นแหลมคมยิ่งขึ้น

กลิ่นอายเก่าแก่โบราณที่น่าพรั่นพรึงอย่างไม่อาจอธิบายแพร่กระจายออกจากร่างของจ้าวเฟิง

ในวินาทีนั้น ร่างของหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็พลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวกระวนกระวาย”กลิ่นอายนี่มาจากในยุคบรรพกาล เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นหนึ่งในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ… เป็นไปไม่ได้”

หอคอยพฤกษาปีศาจรู้สึกว่าพลังของ ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ ได้หลอมรวมเข้ากับร่างของจ้าวเฟิงอย่างไม่อาจควบคุม

“ฮี่ฮี่ เป็นเช่นนี้เอง”

เด็กหนุ่มที่เป็นต้นกำเนิดกลิ่นอายเก่าแก่ลึกลับท่ามกลางพุ่มไม้พลันแย้มยิ้มขึ้น

หอคอยพฤกษาปีศาจรู้สึกราวกับว่าร่างกายของอีกฝ่ายสูญเสียสตินึกคิด ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว เป็นเช่นรูปปั้น

สติของจ้าวเฟิงจางหายไปจากร่างกาย มุมมองสายตาปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆ

ในเวลาเดียวกัน

อัจฉริยะจากสามสำนักที่ถอยออกไปในระยะ 5-6 ลี้ ออกจากระยะการโจมตีของรากของหอคอยพฤกษาปีศาจ

อัจฉริยะจำนวนมากอยู่ในอาการหวาดกลัว อดที่จะมองย้อนหลังไปยังทิศทางของหอคอยพฤกษาปีศาจไม่ได้

“ทุกคนวางใจเถอะ ต่อให้เด็กนั่นมีความกล้ามากกว่านี้สักร้อยเท่าก็ไม่กล้าที่จะตามมาหรอก”

“ไอ้ตัวเลวร้ายนั่น ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของมันคือหอคอยพฤกษาปีศาจ หากมันกล้าที่จะตามมาก็ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย”

ในฝูงชนปรากฏน้ำเสียงไม่พึงพอใจขึ้นบ้าง

ทว่าในวินาทีนั้น อัจฉริยะที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นพลันรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากระวนกระวายขึ้น

ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด มีดวงตาดวงหนึ่งมองทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของพวกเขาอย่างไร้ความรู้สึกจากด้านบน

แรงกดดันที่ชวนให้กระวนกระวายนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

อัจฉริยะที่มีพลังฝึกตนต่ำรู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนเองหนาวเยือก ราวกับร่างกายเปลือยเปล่าท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงและสายลมเย็นเยียบ

“สวรรค์ นั่นมัน…”

อัจฉริยะหลายคนแหงนศีรษะขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ร่างกายแข็งทื่อราวก้อนหิน เหม่อมองไปอย่างโง่งม น้ำเสียงสั่นสะท้าน

อัจฉริยะจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่างก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า มีอาการหวาดผวา

เมื่อใดไม่มีผู้ใดรู้

ท่ามกลางชั้นเมฆได้ปรากฏเนตรสวรรค์สีฟ้ากระจ่าง ราวกับเครื่องประดับของฟ้าดิน ส่องประกายสีฟ้าลึกล้ำ มองลงมาด้วยสายตาไร้ความรู้สึก

“ดวงตานั่นมัน…”

หัวใจของเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์สั่นสะท้าน

อัจฉริยะจำนวนมากที่มีพลังไม่ถึงขั้นนายเหนือแท้ถูกแรงกดดันบีบคั้นจนหายใจแทบไม่ออก ร่างกายและจิตใจนสั่นสะท้าน

“ดวงตานั่น… มีความสามารถอันใดกัน?”

ชื่อกุ้ยสูดลมหายใจลึก

แม้ว่ามันจะเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเผชิญหน้ากับเนตรสวรรค์ ทว่าครั้งก่อนดวงตานั้นไม่ได้เผยความสามารถของมันออกมาอย่างชัดเจน

ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองและความเหนือชั้นอย่างไม่อาจมองเห็นที่ดวงตานั้นสร้างทำให้ชื่อกุ้ยตื่นตะลึง เพียงแค่มองขึ้นไป สัญชาตญาณก็บอกเขาแล้วว่าดวงตานี้ย่อมมีความสามารถที่ไม่อาจจินตนาการได้อยู่เป็นแน่

แต่นี่ก็เป็นการทดสอบของจ้าวเฟิงเช่นกัน

———————————————————————————————————

หมายเหตุ

(1): 痛打落水狗 จงโบยคนพาลยามที่มันตกลงไปในน้ำ หมายถึง จงโหดเหี้ยมต่อคนชั่วแม้ว่าพวกเขาจะล้มลงไปแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!