บทที่ 464 การจู่โจมที่รวดเร็วราวสายฟ้า
เทือกเขานภาจันทร์ ลานหน้าตำหนักกลาง
จ้าวเฟิงถูกล้อมไว้เป็นชั้นๆ ชั้นแรกคือ ‘สามจ้าวตำหนัก’ ที่ล้อมไว้เป็นรูปสามเหลี่ยม จากนั้นจึงเป็น ‘แปดยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง’ และยอดฝีมืออีก 64 คน
กระทั่งรอบเขตเทือกเขายังมีสิบผู้อาวุโสหลักคอยจับตามองอยู่
สำนักจันทร์สลายในอดีตเป็นราวกับแหที่ไร้ทางออก ทำให้ร่างของจ้าวเฟิงมองดูโดดเดี่ยวเป็นพิเศษ
“จ้าวเฟิง เจ้าทำให้นายเหนือผู้นี้คาดไม่ถึงแล้ว ในมือกระทั่งครอบครองหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้เอาไว้สองตน ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ากล้ากลับมายังแคว้นเมฆาและท้าทายพันธมิตรมังกรโลหะของข้า”
หลังจากตื่นตะลึงไปช่วงระยะเวลาสั้นๆ จ้าวตำหนักโหยวหลงก็สมองว่างโล่งไปในที่สุด ในเวลาเดียวกัน สามจ้าวตำหนักก็สบตากันอย่างลึกซึ้งด้วยความรวดเร็ว
ดูเหมือนโอกาสที่จะฆ่าเป้าหมายได้อย่างแน่นอนในยามนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เบื้องหน้าจ้าวเฟิงคือหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬสองตน เมื่อรวมกับตัวเด็กหนุ่มแล้วก็มีพลังต่อสู้เท่าขั้นนายเหนือแท้สามคน ดังนั้นแล้ว ฝ่ายพันธมิตรมังกรโลหะจึงไม่ได้มีความได้เปรียบมากกว่าเท่าใด
หากจ้าวเฟิงจงใจจะหนี พวกเขาพยายามฆ่า โอกาสก็มีไม่มาก
หากจะพูดโดยทั่วไป การจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนหนึ่งจำต้องใช้ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้หลายคนร่วมมือกันจึงจะทำให้แน่นอนได้
หากต้องการจะจัดการยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้สามคน สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนไปและความยากเย็นจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
“จ้าวเฟิง สำนักของข้าขอยอมรับว่าได้ดูแคลนเจ้าไปมาก เจ้าแข็งแกร่งยิ่ง บ้าคลั่งยิ่งนัก การกลับมายังสำนักจันทร์สลายในครั้งนี้ยังใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ หากเจ้าจะลงมือ ข้า หยุนไห่ คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว”
‘เจ้าสำนักหยุนไห่’ ที่อยู่ใจกลางค่ายกลนัยน์ตาราวกับมีม่านหมอก ส่องประกายระยิบระยับ
จ้าวเฟิงทำเพียงแย้มยิ้มบาง ไม่เอ่ยคำใด
การฆ่าเจ้าสำนักหยุนไห่สำหรับเขามันไร้ซึ่งความท้าทาย พันธมิตรมังกรโลหะจึงจะนับเป็นปลาตัวใหญ่
น่าขัน
เจ้าสำนักหยุนไห่ คนสูงศักดิ์ที่แข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นที่เลื่องลือในการวางแผนกลยุทธ์ สุดท้ายแล้วกลับถูกทั้งจ้าวเฟิงและพันธมิตรมังกรโลหะพร้อมใจกันใช้เป็น ‘เหยื่อล่อ’
ในเรื่องนี้ เจ้าสำนักหยุนไห่นับว่าได้รับความอับอายในระดับใดกัน
การพนันของทั้งสอง เขาคือ ‘บุคคลไร้ความสำคัญ’ ที่ไม่แม้แต่จำเป็นจะต้องเอ่ยถึง สามารถดีดกระเด็นไปได้ง่ายๆ
จ้าวเฟิงเองก็จงใจทำเช่นนั้น ให้เจ้าสำนักหยุนไห่ได้สัมผัสความรู้สึกของ ‘มดปลวก’
“ฮี่ฮี่… จ้าวเฟิง ความผิดพลาดตั้งแต่อาจารย์คนแรกของเจ้า เจ้าเมืองกว่านจวิน จนถึงอาจารย์คนที่สอง ผู้อาวุโสหนึ่ง การกระทำนี้ของเจ้า นับว่าข้า หยุนไห่ พ่ายแพ้แล้ว” เจ้าสำนักหยุนไห่หัวเราะ ภายนอกดูยอมรับ ทว่าภายในเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเจ้าเล่ห์
สายตาของจ้าวเฟิงเพ่งมองเล็กน้อย เจ้าสำนักหยุนไห่ผู้นี้กำลังคิดจะเล่นอันใดกัน?
ทว่าสิ่งที่เจ้าสำนักหยุนไห่เอ่ยเองก็เป็นความจริงอย่างไร้ข้อกังขา
เจ้าสำนักหยุนไห่สามารถก้าวขึ้นมายังตำแหน่งนี้ได้ ไม่ได้พึ่งพาเพียงพลัง ทว่ายังมีแผนการที่เจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาดด้วย นานมาแล้ว เจ้าสำนักหยุนไห่ได้บดขยี้เจ้าเมืองกว่านจวินที่เป็นหนึ่งในกลุ่มศิษย์ในการแข่งขันของสำนักที่โหดร้าย หลอมรวมและกลายมาเป็นผู้อาวุโสรุ่นใหม่ จากนั้น ในสงครามสำนัก เจ้าสำนักหยุนไห่ก็ฉวยโอกาสขายตนเองให้กับพันธมิตรมังกรโลหะ ฆ่าเจ้าสำนักที่งดงาม ทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนักในครั้งเดียว
หลังจากที่หยุนไห่ได้ครอบครองตำแหน่งเจ้าสำนัก สำนักจันทร์สลายก็พัฒนาขึ้นวันแล้ววันเล่า ตำแหน่งในสิบสามสำนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งติดหนึ่งในห้า
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งอย่างผู้อาวุโสหนึ่งยังพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าสำนักหยุนไห่
ต้องยอมรับว่าเจ้าสำนักหยุนไห่ผู้นี้มีพลังและสติปัญญาที่เหนือกว่าคนทั่วไป
“ถูกแล้ว อาจารย์ทั้งสองของข้าพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แต่นับแต่ข้า ทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไป”
จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธความจริง
แพ้ก็คือแพ้ ชนะก็คือชนะ
ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ในหลายสิบปีแรก เจ้าสำนักหยุนไห่ก็คือผู้ชนะ
แม้ว่าแรกเริ่มจ้าวเฟิงจะเข้ามาในสำนักจันทร์สลาย ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดภายใต้พลังอำนาจอันยากจะเทียบของเจ้าสำนักหยุนไห่
“นำคนมา”
สายตาของเจ้าสำนักหยุนไห่เย็นชา เขาพลันโบกมือ
ยอดเขาห่างออกไปพลันปรากฏร่าง 2-3 ร่างขึ้น
ด้านซ้ายและขวาคือชายวัยกลางคนในชุดสีทองกับเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้หนึ่ง
คนทั้งสองจับ ‘ชายชราผมยาว’ เอาไว้
“ผู้อาวุโสหนึ่ง”
คนระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลายพลันอุทานออกมาพร้อมกัน สายตาจำนวนมากมองไปยัง ‘ชายชราผมยาว’ ที่ปรากฏขึ้นบนยอดเขา
ชายชราผมยาวผผู้นั้นคือผู้อาวุโสหนึ่งของสำนักจันทร์สลาย
สำหรับบุรุษวัยกลางคนและเด็กหนุ่มหน้าขาวที่อยู่ข้างเขาก็คือผู้อาวุโสเซว่และคงหยวนเฮ่า
“จ้าวเฟิง ในการทดสอบยอดนภา เจ้ากำจัดข้าออกมา ทำลายโอกาสมหาศาลของข้า วันนี้เจอกัน ข้าจะทำให้เจ้าต้องลิ้มรสความรู้สึกนั้น”
ใบหน้าขาวละมุนของคงหยวนเฮ่าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
ก่อนหน้า เขาได้เข้ามาในสำนักจันทร์สลาย มีพรสวรรค์ ‘กายผันแปร’ เป็นเช่นบุตรแห่งสวรรค์ ถูกผู้อาวุโสเซว่รับเป็นศิษย์
ทว่าในการทดสอบยอดนภา ในรอบแรกเขาได้ถูกจ้าวเฟิงกำจัด
ตั้งแต่นั้น
แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะสูง ทว่ายังแตกต่างกันจ้าวเฟิง เป่ยม่อ และคนอื่นๆ อยู่ 1-2 ส่วน
“ฮี่ฮี่… จ้าวเฟิง เจ้ามั่นใจว่าเจ้าเพียงคนเดียวจะเอาชนะได้ เหมือนกับอาจารย์ทั้งสองของเจ้ายิ่งนัก”
บนใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าสำนักหยุนไห่ปรากฏความยินดีขึ้น
ผู้ที่จับตามองอยู่
สามจ้าวตำหนักดวงตาส่องประกายสว่างจ้า
หากสามารถใช้อาจารย์ของจ้าวเฟิงข่มขู่ได้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เปรียบไปโดยสิ้นเชิง ทว่าอย่างน้อยก็ยังทำให้จ้าวเฟิงต้องยั้งมือเพราะกลัวว่าจะทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย
“จ้าวเฟิง ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตเจ้า หากเจ้าตัดแขนข้างหนึ่ง หรือทำลายหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ไปด้วยตนเอง ข้าจะไว้ชีวิตอาจารย์ของเจ้า”
ใบหน้าของเจ้าสำนักหยุนไห่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
เขาจะไม่ให้จ้าวเฟิงฆ่าตัวตายเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตของผู้อาวุโสหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ จ้าวเฟิงไม่ใช่คนโง่ หากเขาตาย ผู้อาวุโสหนึ่งก็ไม่เหลือโอกาสรอดชีวิตแล้ว
ดังนั้นแล้ว
เจ้าสำนักหยุนไห่ฉลาดยิ่งนัก ให้จ้าวเฟิงตัดแขนหรือทำลายหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้แทน แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้จ้าวเฟิงตายได้ ทว่ายังสามารถทำให้พลังต่อสู้ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวลดลงได้ในระดับหนึ่ง
“ฉลาด”
สามจ้าวตำหนักอดที่จะชนชมเจ้าสำนักหยุนไห่ บุคคลไร้ความสำคัญนี้ไม่ได้
ทว่า การข่มขู่ของเจ้าสำนักหยุนไห่จะสำเร็จหรือ?
ตามธรรมเนียมแล้ว โอกาสสำเร็จของมันค่อนข้างมาก จะอย่างไรเจ้าสำนักหยุนไห่ก็ไม่ได้ต้องการชีวิตเป็นประกัน
ในยามนี้
คนระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลายเงียบงันลง จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่ถูกล้อมอยู่ลึก
“ฮี่ฮี่ เจ้าสำนักหยุนไห่ใจกว้างยิ่งนัก”
จ้าวเฟิงกลับแย้มยิ้มออกมาอย่างคาดไม่ถึง
หัวใจของเจ้าสำนักหยุนไห่หนาวเยือก เป็นไปได้หรือไม่ที่จ้าวเฟิง เด็กนี่จะไร้ความรู้สึก ไม่สนใจความเป็นตายของผู้อาวุโสหนึ่ง
“น่าเสียดายนัก ไม่ว่าเจ้าจะคาดคำนวณไว้อย่างไร หมากตานี้ก็ยังขาดไปช่องหนึ่ง ยามที่ข้าก้าวเท้าเข้ามาในสำนักจันทร์สลาย ทุกสิ่งก็อยู่ในการควบคุมของข้าหมดแล้ว”
รอยยิ้มเย้ยหยันบนริมฝีปากของจ้าวเฟิงเหยียดกว้างขึ้นไปอีก
ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของข้า
เจ้าสำนักหยุนไห่ สามจ้าวตำหนัก คนระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลาย และยอดฝีมือจำนวนมาก ณ ที่นั้นหัวใจสั่นสะท้าน
“ไม่ดีแล้ว หยุดวิชาดวงตาของเขาไว้เร็ว”
“ใครก็ได้ ไปจับผู้อาวุโสหนึ่งเอาไว้”
สามจ้าวตำหนักพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ ตะโกนขึ้นในทันที
ตุบ
บนยอดเขา ผู้อาวุโสเซว่และคงหยวนเฮ่ากระอักเลือดล้มลงบนพื้น สิ้นสติไป
ทว่าทั้งหมดนั้น ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเพียงมองคนทั้งสองผ่านๆ เท่านั้น
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
สิบผู้อาวุโสหลักที่ล้อมอยู่รอบๆ หลังจากได้รับคำสั่งก็รีบทะยานร่างไปยังผู้อาวุโสหนึ่งบนยอดเขาในทันที
ตราบเท่าที่สามารถจับ ‘ผู้อาวุโสหนึ่ง’ ไว้เป็นตัวประกันได้ อย่างน้อยก็สามารถสร้างความยุ่งยากให้จ้าวเฟิงได้
ในเวลาเดียวกัน
พร้อมกับที่สามจ้าวตำหนักเอ่ยตะโกนอย่างตกใจ ร่างก็ขยับไหว มุ่งตรงไปจู่โจมจ้าวเฟิง
“เนตรคุกลวงตา เมืองวงกตมายา”
นัยน์ตาราบเรียบของจ้าวเฟิงหมุนวนสั่นกระเพื่อม ปรากฏน้ำวนลึกลับขึ้นจางๆ มีพลังดึงดูดรุนแรง
ผู้คนในที่แห่งนั้นจิตใจพุ่งวูบ
ลานกว้างหน้าตำหนักกลางหายไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นแทนคือเมืองโบราณกว้างใหญ่ เมืองโบราณนั้นปกคลุมด้วยหมอกหนา ผังเมืองซับซ้อนวุ่นวาย เหมือนกับเขาวงกตขนาดยักษ์
ในยามนี้ คนทั้งหมดในลานกว้างหน้าตำหนักกลางได้ออกท่าทางแปลกประหลาด บ้างก็ขยี้ศีรษะ เคลื่อนไหวมั่วซั่ว ค้นหาทางออก
‘เมืองวงกตมายา’ ใช้เนตรคุกลวงตาเป็นพื้นฐาน ขยายระยะของวิชาลวงตา ใช้สายเลือดดวงตาสร้าง ‘เขาวงกตลวงตา’ สร้างความสับสนงุนงงให้กับสิ่งมีชีวิตในพื้นที่
ก่อนหน้าในซากปรักหักพังสือเฉิง จ้าวเฟิงเคยใช้ ‘เมืองวงกตมายา’ นี่ครั้งหนึ่ง
ในยามนั้น เขามีแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาคอยสนับสนุน ทั้งยังอยู่ในสภาวะเนตรสวรรค์ ทว่าได้สร้าง ‘โครงสร้างวิชาลวงตา’ ของเมืองวงกตมายาไว้แล้ว
การใช้ครั้งต่อมา จ้าวเฟิงสามารถใช้ดวงตาเทพเจ้าคัดลอกออกมาได้ตรงๆ ไม่จำเป็นต้องวางโครงสร้างจินตนาการอีกครั้ง
โดยไม่อาจมองเห็น
จ้าวเฟิงใช้ ‘เมืองวงกตมายา’ อีกครั้ง พลังดวงตาที่ต้องใช้ไปน้อยลงอย่างมาก แม้ว่าจะไม่มีจิตวิญญาณพฤกษาคอยสนับสนุนก็ยังสามารถใช้ออกได้อย่างง่ายดาย
“อันใดกัน”
“เหตุใดคนในลานกว้างหน้าตำหนักกลางจึงวิ่งขึ้นๆ ลงๆ เช่นนั้น”
สมาชิกสำนักจันทร์สลายจำนวนมากที่ล้อมอยู่สีหน้าตื่นตะลึงงุนงง พลังลวงตาของ ‘เมืองวงกตมายา’ ครอบคลุมลานกว้างทั้งหมด ในลานกว้าง สามจ้าวตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุดดิ้นรนอย่างหนัก คนอื่นๆ ที่ตกอยู่ในพื้นที่ใบหน้าว่างโล่ง
เมื่อผ่านไปชั่วครู่
ผู้ที่ดิ้นรนสำเร็จเป็นคนแรกคือ ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ พลังฝึกตนของเขาสูงที่สุด มากถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง
อันดับสองคือ ‘จ้าวตำหนักปี้จี’ ที่แทบจะไม่ช้าไปกว่าจ้าวตำหนักโหยวหลง พลังต่อสู้ของนางอาจไม่เก่งกาจในสี่จ้าวตำหนัก ทว่านางก็เชี่ยวชาญในวิชามายา
คนสุดท้ายจึงเป็นนายเหนือแท้เซียวเหยา
“จ้าวเฟิงนั่นหายไปไหนแล้ว?”
สามจ้าวตำหนักตื่นตะลึง
ลานกว้างหน้าตำหนักกลางไม่เหลือร่องรอยร่างของจ้าวเฟิงแล้ว
“ฮี่ฮี่ ข้าอยู่นี่”
เด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้ายืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งกับผู้อาวุโสหนึ่ง
ศิษย์และอาจารย์ทั้งสองแย้มยิ้ม
บัดซบ สามจ้าวตำหนักกราดเกรี้ยวสุดหัวใจ พวกเขาถูกจ้าวเฟิงปั่นหัวเล่น
ที่จ้าวเฟิงใช้ ‘เมืองวงกตมายา’ เป็นเพราะต้องการจะหลบหนี
“หืม เขาไม่ได้เอาหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้สองตนไปด้วย”
จ้าวตำหนักปี้จีอุทานเสียงเบา นัยน์ตางดงามสว่างจ้า
หุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองนั่นอยู่ใกล้นาง หากสามารถแย่งชิงหุ่นเชิดศพทั้งสองนี่มาครอบครองได้ นางย่อมสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นได้มาก
“ฆ่าเจ้าก่อนคนแรก”
จ้าวเฟิงบนยอดเขา นัยน์ตาซ้ายเปลี่ยนเป็นเนตรเหมันต์ แผ่ขยายออกเป็นนรกอันเย็นเยียบไร้ที่สิ้นสุด พลังเย็นเยียบแช่แข็งดวงวิญญาณครอบคลุมร่างกายและจิตใจของจ้าวตำหนักปี้จี
ไม่ดีแล้ว สตินึกคิดของจ้าวตำหนักปี้จีแข็งค้างเชื่องช้า
ฟุ่บ
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองอยู่ใกล้นัก กระโจนเข้ามาใกล้ข่วนฟันเลือดเนื้อของจ้าวตำหนักปี้จี ‘พิษ’ ที่มีความรุนแรงถึงตายสำหรับผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ทำให้จ้าวตำหนักปี้จีสิ้นชีพในเสี้ยววินาที ไม่อาจต้านทาน
ตุบ
ไม่รอให้ปฏิกิริยาของอีกสองจ้าวตำหนักมาถึง ร่างงดงามอ่อนหวานราวหยกของจ้าวตำหนักปี้จีก็ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น โลหิตสาดกระจายกลายเป็นแอ่งเลือด
นางตายแล้ว
ฟึ่บ ฟึ่บ
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองมุ่งตรงไปยัง ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ ที่แข็งแกร่งที่สุด เตรียมจู่โจม จ้าวตำหนักโหยวหลงผวาไป ขนทั่วทั้งร่างตั้งชัน รับรู้ว่าเป้าหมายต่อไปของจ้าวเฟิงคือเขา
ทว่า เขาก็ยังคงประเมินจ้าวเฟิงต่ำเกินไป
จ้าวเฟิงมีงาน ‘มากมาย’ เกินไป ต้องการที่จะทำให้การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจฆ่าสามจ้าวตำหนักในครั้งเดียว
เนตรคุกลวงตา
สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงโคจรอีกครั้ง
ตุบ
ในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งร่างของ ‘นายเหนือเซียวเหยา’ ก็เปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ ท่าทีอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ทรุดลงกับพื้น