บทที่ 465 จ้าวตำหนักโหยวหลง
ลานกว้างหน้าตำหนักกลาง
มีชีวิตรอดหรือตายตก ชนะหรือพ่ายแพ้ ทั้งหมดได้ถูกตัดสินแล้ว ไม่ว่าคนระดับสูงหรือระดับต่ำของสำนักจันทร์สลายจะเร่งรีบเพียงใดก็ตอบสนองไม่ทัน
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
หนึ่งในสามจ้าวตำหนัก ‘จ้าวตำหนักปี้จี’ ก็ตายตกอย่างน่าพรั่นพรึง
นายเหนือเซียวเหยาสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ ทรุดอยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ไม่อาจทำใจให้เชื่อถือได้
ตลอดทั้งเหตุการณ์ มีเพียงแค่แปดยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในลานหน้าตำหนักกลาง หลินทง และคนจำนวนน้อยนิดที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน การโจมตีนั้นได้ทำให้ยอดฝีมือจำนวนมากราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว
คนจากพันธมิตรมังกรโลหะหวาดผวา หัวใจหนาวเยือก
ในเสี้ยววินาที หนึ่งในสามจ้าวตำหนักได้พ่ายแพ้สิ้นชีพ
ทว่าการพ่ายแพ้ของนายเหนือเซียวเหยาดูจะทำใจให้ยอมรับได้ยากยิ่งกว่า
ก่อนหน้า พลังอำนาจของนายเหนือเซียวเหยาครอบคลุมไปทั่วทั้งสิบสามสำนัก บีบบังคับให้ผู้อาวุโสทั้งสิบสองคนลงนามในพันธะสัญญาโลหิต มองลงมาอย่างเหยียดหยามทรงอำนาจ อาจกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของนายเหนือเซียวเหยาได้ฝังลึกอยู่ในสมองของสิบสามสำนัก
ทว่าภายใต้การโจมตีที่รวดเร็วราวสายฟ้าของจ้าวเฟิง นายเหนือเซียวเหยากลับไม่มีกระทั่งโอกาสลงมือ
“แพ้… เป็นไปได้อย่างไร…”
นายเหนือเซียวเหยาไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ กระทั่งคิดว่าตนเองฝันไป
เขาผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแคว้นเมฆาจะพ่ายแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร?
ไม่เพียงแค่เขา ยอดฝีมือทั้งหลายในบริเวณนั้นอย่างเจ้าสำนักหยุนไห่ ผู้อาวุโสคุมกฎ หลินทง และกระทั่งสมาชิกของสำนักจันทร์สลายจำนวนมากยังรู้สึกราวกับฝันไป
“ไม่จริง”
ใบหน้างดงามเปราะบางของเจ้าสำนักหยุนไห่บิดเบี้ยว กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความเจ็บปวดนั้นได้ทำให้เขากลับมาสู่ ‘ความจริง’
ลานกว้าง
“นี่… นี่จริงหรือ?”
ผู้อาวุโสหนึ่งมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า รู้สึกราวกับว่าไม่ใช่ความจริง
มือที่สั่นสะท้านของชายชราเอื้อมไปหมายจะสัมผัส ‘ศิษย์’ ของตน ทว่ากลับไม่กล้าวางมือลงไป หวาดกลัวว่าเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้าจะเป็นเพียงความฝัน
จ้าวเฟิงที่อยู่ไม่ห่างเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา ยืนเคียงข้างผู้อาวุโสหนึ่ง ต่อสู้จากระยะไกล
“หากต่อสู้กับขั้นนายเหนือแท้ พื้นที่ภูเขาของสำนักจันทร์สลายจะได้รับความเสียหายจากการโจมตี นี่เป็นหนึ่งในวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด”
จ้าวเฟิงยืนสองมือไพล่หลัง แย้มยิ้มบางพร้อมผงกศีรษะ
เขาไม่ได้ลงมือด้วยตนเองตรงๆ ใน ‘เมืองวงกตมายา’ ตำแหน่งเวลาของมัน จ้าวเฟิงได้หยุดการควบคุมไปแล้ว
ด้วยดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงสามารถใช้ ‘การควบคุมระยะไกล’ ต่อสู้ จัดการสองจ้าวตำหนักไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ในยามนี้
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองกระโจนไปยัง ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ ที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย ชัยชนะอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เขาไม่คิดว่าหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองของจ้าวเฟิงจะมีพิษศพที่รุนแรงเพียงนั้น ทำให้ขั้นนายเหนือแท้ไร้หนทางต่อต้าน
ดังนั้นแล้ว จ้าวตำหนักปี้จีจึงตายตกในเสี้ยววินาที
ส่วนนายเหนือเซียวเหยา ด้วยพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำของเขา ย่อมไม่อาจต่อต้านวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงได้
ควรรู้ว่า ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเทียบกับขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงกระทั่งแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แม้แต่ขนาดของดวงวิญญาณก็เหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด โดยปกติแล้ว ผู้ที่มีขอบเขตจิตวิญญาณด้อยกว่าเขา ลำบากเพียงใช้ ‘สายเลือดดวงตา’ ก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้แล้ว
“ถอย รีบเอาตัวจ้าวตำหนักเซียวเหยาไป”
จ้าวตำหนักโหยวหลงสูดลมหายใจลึก เกล็ดสีดำสนิททั่วทั้งร่างส่องประกาย ดูคล้ายคลึงกับมังกรดำ
เคร้ง เปรี้ยง
การโจมตีของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองมุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลงปรากฏประกายไฟขึ้น ทว่ากลับไม่อาจทะลวงการป้องกันของเป้าหมายไปได้
ควรรู้ว่า เขี้ยวเล็บของหุ่นเชิดศพพิษทั้งสองได้ถูกจ้าวเฟิงเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ทำให้แหลมคมอย่างมาก
นอกจากนั้น หลังจากออกจาก ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ แล้ว หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬยังได้เข้าไปฝึกฝนใน ‘ประคำหมื่นวิญญาณ’ ได้รับวัสดุล้ำค่าเติบโตแข็งแกร่งขึ้น
“จ้าวตำหนัก เรามาแล้ว”
ผู้อาวุโสหลักหลายคนมุ่งเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่สนความเป็นตายของตนเอง
เป้าหมายของพวกเขาย่อมเป็นการป้องกันจ้าวตำหนักโหยวหลง รวมทั้งนำร่างของนายเหนือเซียวเหยาออกไป
กลางอากาศ
หลินทงมีท่าทีลังเล ไม่รู้ว่าตนเองควรจะช่วยเหลือจ้าวเฟิงหรือพันธมิตรมังกรโลหะดี ทันใดนั้นร่างกายและจิตใจของชายหนุ่มก็สั่นสะท้าน เขามองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความขมขื่นหดหู่ครั้งหนึ่ง
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ยังคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ท่าทีราวกับผู้ควบคุมทุกอย่าง
หลินทง หมากตัวนี้เขาย่อมไม่ละเลย
“เนตรมารจันทราชาด”
หลินทงกัดฟันกรอด กระตุ้นการเคลื่อนไหวของสายเลือดดวงตา จัดการผู้อาวุโสหลักบางคน พันธมิตรมังกรโลหะและลัทธิมารจันทราชาด แม้ว่าจะยิ่งใหญ่ถึงขนาดปิดฟ้าได้ ทว่าภัยคุกคามในยามนี้คือหากจ้าวเฟิงจะฆ่าเขาก็สามารถทำได้ด้วยความคิด
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยสีเทาเงินพุ่งกายวาบ ปรากฏขึ้นในลานหน้าตำหนักกลาง
เฟี้ยว
แส้อสรพิษโลหิตลึกลับเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต มัดร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของ ‘นายเหนือเซียวเหยา’ เอาไว้
“จ้าวเฟิงผู้นี้… เหตุใดจึงไม่ฆ่าข้า?”
นายเหนือเซียวเหยาถูกมัดมือ ทว่าไม่ได้ร้อนรน
ในด้านความแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับจ้าวตำหนักปี้จีแล้ว นายเหนือเซียวเหยาไม่แตกต่างมากนัก หากจ้าวเฟิงจะฆ่าเขา แมวขโมยตัวน้อย หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ และหลินทงโจมตีกันคนล่ะทีก็จัดการเขาได้โดยที่เขาไร้หนทางขัดขืนแล้ว
แต่ชัดเจนว่าจ้าวเฟิงไม่ได้วางแผนจะฆ่านายเหนือเซียวเหยาในทันที
ในยามนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์
‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ ตกอยู่ท่ามกลางพายุการโจมตีของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ ทั้งยังมีวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงคอยกดดันอยู่ห่างออกไป
แมวขโมยตัวน้อยจับเป็นนายเหนือเซียวเหยา หลินทงรับผิดชอบในการฆ่าผู้อาวุโสหลักบางคน
การวางแนวกำลังที่แข็งแกร่งของ ‘สามจ้าวตำหนักและสิบผู้อาวุโสหลัก’ แห่งพันธมิตรมังกรโลหะพังทลายแหลกสลายลงในระยะเวลาอันสั้น
คนระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลายได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด รู้สึกตั้งตัวไม่ทัน ท่าทีนิ่งอึ้ง
“อันใดกัน… เหตุใดทั้งๆ ที่สามยักษ์ใหญ่ของพันธมิตรมังกรโลหะลงมือแล้วยังไม่อาจเอาชนะเขาได้เช่นนี้”
บนใบหน้าของเจ้าสำนักหยุนไห่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง การเปลี่ยนแปลงในเสี้ยวพริบตานี้เกินกว่าที่เขาจะวางแผนได้
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งหมดนี่เป็นเพียงแค่เหยื่อล่อที่จ้าวเฟิงโยนลงมา เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการไล่ฆ่าจ้าวตำหนักและคนระดับสูงของพันธมิตรมังกรโลหะ”
เป่ยม่อพยายามกดความตื่นตะลึงไว้ในใจ วิเคราะห์สถานการณ์
การพนันครั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือหยุนไห่ต่างก็เป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ
ในยามนี้ การต่อสู้ได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว
ผู้อาวุโสหลักที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือนายเหนือเซียวเหยาจะถูกฆ่าอยู่ที่ลานกลาง
ฉัวะ
ประกายแสงของกริชเล่มหนึ่งตัดผ่านอากาศ
ลำคอของผู้อาวุโสหลักที่ติดอันดับหนึ่งในสามปรากฏโลหิตพุ่งเป็นสาย ล้มลงสิ้นใจในทันที
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกลับไปยังไหล่ของนายเหนือเซียวเหยา เก็บกริชโปร่งใสสีดำในมืออย่างรวดเร็ว
“เฮือก”
เพียงหนึ่งลมหายใจ นายเหนือเซียวเหยาก็ถูกอุ้งเท้าของแมวขโมยตัวน้อยตบจนมึนงง สิบผู้อาวุโสหลัก มี 4-5 คนที่ถูกหลินทงและแมวขโมยตัวน้อยฆ่า ผู้อาวุโสหลักที่เหลือหนีออกไปด้านนอกอย่างลนลาน หรือไม่ก็ถูกฆ่ากับจ้าวตำหนักโหยวหลง
“ความแข็งแกร่งของจ้าวตำหนักโหยวหลงมากมายยิ่งนัก ดูจะเหนือกว่าเมื่อเทียบกับผู้คุ้มครองศพโลหิต บางทีอาจอยู่ในระดับเดียวกับเย่หยานหยู”
จ้าวเฟิงมองการต่อสู้ด้วยมุมสูง
ด้วยพลังต่อสู้ของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ มันยากที่จะทำลายพลังป้องกันของ ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’
พลังฝึกตนของจ้าวตำหนักโหยวหลงสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง พลังสายเลือดยอดเยี่ยม ทั้งร่างกาย พลัง การป้องกัน และด้านอื่นๆ ล้วนถูกเพิ่มพูนขึ้นอย่างชัดเจน
“ดูเหมือนว่าการฆ่าจ้าวตำหนักโหยวหลงนี่จะยากอยู่บ้าง”
จ้าวเฟิงไม่บุ่มบ่ามเข้าใกล้ หากต่อสู้ซึ่งๆ หน้า จ้าวเฟิงจะไร้ซึ่งความได้เปรียบ โดยเฉพาะยามที่เด็กหนุ่มยังไม่บรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ ทว่าในทางกลับกัน ร่างกายของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งหมดแข็งแกร่ง เหมาะสมกับหน้าที่โล่เนื้อ
นอกจากนั้นยังมีอีกสองปัจจัย
อย่างแรก สถานการณ์ภายในของสำนักจันทร์สลายยังไม่มั่นคง
อย่างที่สอง การทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้จะส่งผลต่อประตูหุบเขาสำนักจันทร์สลาย
“เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียว
กลุ่มเพลิงอัสนีวายุก้อนหนึ่งระเบิดขึ้นบนร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลง โจมตีทั้งร่างกายและดวงวิญญาณไปพร้อมกัน ร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลงส่งเสียงครางออกมา เพลิงอัสนีวายุอาละวาดไปทั่วทั้งร่าง แทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณ
“กายเกล็ดมังกรมาร”
จ้าวตำหนักโหยวหลงคำรามครั้งหนึ่ง ราวกับเสียงของอเวจี ทำให้ดวงวิญญาณตั้งสั่นสะท้านอย่างหวาดผวา ในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างกายของเขาพลันปรากฏเกล็ดแสงสีดำสนิทครอบคลุมเกล็ดสีดำบนร่างก่อนจะประสานเข้าเป็นหนึ่งเดียว พลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับมังกรมารที่ปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์
เปรี้ยง เปรี้ยง
แขนทั้งสองของจ้าวตำหนักโหยวหลงวาดออก ส่งร่างของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬกระเด็นลอยออกไป ยากที่จะจินตนาการถึงพละกำลังที่น่าพรั่นพรึงของเขายิ่งนัก
รูม่านตาของจ้าวเฟิงหดเล็กลง เมื่อสายเลือดของจ้าวตำหนักโหยวหลงถูกใช้ พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายในยามนี้ นอกจากด้านพลังโจมตีแล้วก็เทียบเท่าได้กับเย่หยานหยู ในบางด้านยังกระทั่งเหนือกว่า
ไม่เพียงเท่านั้น
เขาสีดำบนหน้าผากของจ้าวตำหนักโหยวหลงยังส่องประกายสีม่วงดำขึ้นจางๆ สามารถต่อต้านผลของ ‘เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า’ ทั้งยังมีผลในการดูดกลืนในระดับหนึ่ง
“เป็นพลังสายเลือดที่เสริมร่างกายได้ยอดเยี่ยมนัก จ้าวตำหนักโหยวหลงผู้นี้ควรแล้วที่ถูกเรียกว่าเป็นหัวหน้าของสี่จ้าวตำหนัก”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งเครียด
แม้ว่าจะไม่ใช้พลังสายเลือด หากเซียวเหยาและปี้จี จ้าวตำหนักทั้งสองร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถสร้างแรกคุกคามได้เท่ากับจ้าวตำหนักโหยวหลง
การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของจ้าวเฟิง ‘เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า’ กลับไม่อาจสร้างอาการบาดเจ็บรุนแรงให้แก่จ้าวตำหนักโหยวหลงได้
“จะอย่างไรข้าก็ยังไม่บรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ การทำความเข้าใจอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณเองก็ยังมีขีดจำกัดอยู่มาก เปลวเพลิงอัสนีวายุในร่างอาจมีหนทางในการพัฒนาเหลืออยู่”
ความคิดของจ้าวเฟิงไหลไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่กลับมายังแคว้นเมฆา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้
แน่นอนว่า หากต่อสู้ยืดเยื้อ โอกาสของจ้าวเฟิงก็ดูจะมากกว่าจ้าวตำหนักโหยวหลง เพราะจ้าวตำหนักโหยวหลงเพิ่มพลังต่อสู้ด้วยพลังสายเลือด สามารถใช้ติดต่อกันได้จำกัด ทว่าหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองของจ้าวเฟิงไม่หวาดกลัวความเหนื่อยล้า ยอดเยี่ยมในสงครามยืดเยื้อ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสำนักจันทร์สลายในยามนี้ได้ทำให้จ้าวเฟิงไม่อาจไล่ล่าได้อย่างไม่ยั้งคิด
“ในระหว่างที่พลังสายเลือดระเบิดออกมา ข้ามั่นใจว่าจะไม่ถูกฆ่า กระทั่งมีโอกาสที่จะฆ่าจ้าวเฟิงได้”
นัยน์ตาของจ้าวตำหนักโหยวหลงส่องประกายเย็นเยียบ เขาแน่ใจว่าในการต่อสู้ซึ่งๆหน้า จ้าวเฟิงไม่อาจที่จะต่อต้านเขาได้
ในยามนี้ จ้าวเฟิงที่อยู่บนยอดเขาสบตากับจ้าวตำหนักโหยวหลงที่กำลังล่าถอยสั้นๆ
มุมปากของจ้าวเฟิงปรากฏรอยยิ้มขำขันขึ้นจางๆ
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องประกายสีฟ้าหม่น ความเย็นเยียบกัดกร่อนไปถึงดวงวิญญาณทิ่มแทงเข้าสู่สตินึกคิดของจ้าวตำหนักโหยวหลง
ในเสี้ยวพริบตา
จ้าวตำหนักโหยวหลงถูกครอบคลุมด้วยบรรยากาศเย็นเยียบ การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงอย่างมาก
เคร้ง เปรี้ยง เปรี้ยง
การโจมตีของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี่ยังเป็นเพราะร่างกายที่เสริมด้วยสายเลือดของจ้าวตำหนักโหยวหลงแข็งแกร่งอย่างมาก หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนอื่นคงยากที่จะต่อต้านได้หลายลมหายใจ
“เป็นสายเลือดดวงตาที่น่าชังนัก ในระหว่างต่อสู้ยังเปลี่ยนแปลงธาตุไปมาได้เสียอีก”
ความคิดที่จะโจมตีตอบโต้จ้าวเฟิงของจ้าวตำหนักโหยวหลงพังทลายลงในทันที
สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเปลี่ยนกลับไปเป็นสีเขียวอีกครั้ง ดวงตาสีเขียวนั้นส่องประกายสีเขียวเจิดจ้าเย็นเยียบ ราวกับ ‘คมดาบสีเขียว’ ที่ไม่อาจมองเห็น