บทที่ 466 ตราเนตรแห่งเทพ
บรรยากาศเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลงอย่างไม่ผ่อนปรน ทันใดนั้น เขาพลันรับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ทะลวงเข้าสู่จิตใจ ราวกับคมดาบที่ไม่อาจมองเห็นได้ทิ่มแทงเข้ามาที่ร่างของเขา
เขาเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มบนยอดเขาอย่างไม่รู้ตัว
ในยามนั้น เด็กหนุ่มที่ปรากฏขึ้นในสายตาของเขามีเรือนผมสีเขียวพลิ้วไหว ดวงตาซ้ายส่องประกายสีเขียวเย็นเยียบวาบ
ฟึ่บ
อากาศปรากฏสายลมที่แหวกออก ยามที่จ้าวตำหนักโหยวหลงได้ยินเสียงนั้น ความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นที่ร่างของเขาแล้ว
ฉัวะ
คมดาบสายลมสีเขียวสว่างนั้นราวกับคมมีดของอากาศ ตัดผ่านเกล็ดสีดำบนร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลง
“เป็นไปได้อย่างไร… ทำลายกายเกล็ดมังกรมารและอาภรณ์มารทมิฬของข้าลงได้?” จ้าวตำหนักโหยวหลงใบหน้าขาวซีดลงอย่างช่วยไม่ได้
เขาตกอยู่ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งของสองหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬมาพักหนึ่งแล้ว แสดงถึงพลังป้องกันที่แข็งแกร่งของจ้าวตำหนักโหยวหลงได้เป็นอย่างดี ในด้านพลังป้องกันกายภาพ จ้าวตำหนักโหยวหลง ในบรรดาผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ เขานับว่ามีความแข็งแกร่งที่โดดเด่น แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในตำแหน่งไร้พ่ายในบรรดาผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
ทว่า ‘คมดาบทะลวงเวหา’ เมื่อครู่ใช้พลังสายเลือดเป็นแหล่งกำเนิด เปลี่ยนมันออกมาผ่าน ‘วิชาดวงตา’ ความเร็วของมันเหนือกว่าการโจมตีทางกายภาพ
การโจมตีนี้แหลมคม ไม่ใช่ทั้งการโจมตีกายภาพและการโจมตีพลังจิต กระทั่งสามารถเพิกเฉยต่อพลังป้องกันทั่วไปได้ บางทีสำหรับพลังป้องกันทั่วไปแล้ว เพียงจ้าวเฟิงใช้วิชามายาก็สามารถเพิกเฉยไปได้เช่นกัน แต่สำหรับ ‘คมดาบทะลวงเวหา’ นี้นับเป็นการโจมตีกายภาพอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่สามารถเมินเฉยต่อพลังป้องกันกายภาพได้โดยสมบูรณ์ ทว่ายังสามารถทำให้พลังป้องกันของเป้าหมายอยู่ในจุดต่ำสุดได้
“หืม? วิชาดวงตานี่ดูคล้ายกับเนตรคมสวรรค์ของถัวป๋าชี่”
เป่ยม่อที่อยู่บริเวณลานกว้างชะงักไปเล็กๆ
จะอย่างไรเขาก็ได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร เคยได้เห็นเนตรคมสวรรค์ของถัวป๋าชี ทั้งสองคนนี้สามารถได้ผลลัพธ์ที่เท่าเทียมกันด้วยวิธีที่แตกต่าง
ยามที่จ้าวเฟิงใช้ ‘คมดาบทะลวงเวหา’ พลังของมันกระทั่งเหนือกว่า ‘เนตรคมสวรรค์’ ของถัวป๋าชีในงานชุมนุมเซียนมังกรไปแล้ว
ทว่าศัตรูครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าผู้ใด
การโจมตีของจ้าวเฟิงมุ่งตรงไปยังจุดอ่อนของการป้องกันบนร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลงเป็นพิเศษ นับว่าเป็นช่องว่าง หากจะพูดตามตรงคือมันย่อมได้ผลมากกว่าปกติสองเท่า หากพูดตามทฤษฎี การโจมตีด้วยวิชาดวงตาที่แหลมคมเช่นนี้ได้มีผลในการเพิกเฉยต่อพลังป้องกันทั่วไปในระดับหนึ่ง
แม้จะเป็นเช่นนั้น ระดับพลังป้องกันของจ้าวตำหนักโหยวหลงก็ยังยากที่จะทะลวงฝ่า บริเวณต้นขาปรากฏรอยเลือดลากยาวขึ้น
เป็นเรื่องดีที่ จ้าวเฟิงไม่ได้หวังในวิธีการนี้มากไปนักในการฆ่าหรือทำให้จ้าวตำหนักโหยวหลงบาดเจ็บสาหัส
“โอกาสนี้แหละ”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นชา เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้ามีความสามารถในการควบคุมที่ทรงพลัง ควบคุมหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองมุ่งไปยังจุดบอดอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ โจมตีไปยังแผลบริเวณต้นขาของจ้าวตำหนักโหยวหลง
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬปะทะเข้ากับจ้าวตำหนักโหยวหลงอย่างรุนแรง แขนขาร่างกายของหุ่นเชิดศพพิษพังทลาย แทบจะสูญเสียรูปลักษณ์ไป ทว่าหุ่นเชิดศพพิษไม่รับรู้ความเจ็บปวด ยังคงพัวพันกับจ้าวตำหนักโหยวหลงแนบแน่น
ฟึ่บ
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬอีกตนจับได้เพียงความว่างเปล่า มันจู่โจมต่อไป ทำให้จ้าวตำหนักโหยวหลงต้องป้องกันบาดแผลที่ต้นขา บาดแผลที่ต้นขาของจ้าวจำหนักโหยวหลงยังไม่ทันฟื้นฟูก็ถูกหุ่นเชิดศพพิษจู่โจม ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิง ความเข้าขากันของหุ่นเชิดศพพิษทั้งสองอาจกล่าวได้ว่าไร้ที่ติ
“กรรร ไม่ดีแล้ว”
จ้าวตำหนักโหยวหลงคำรามต่ำ น้ำเสียงกลวงโบ๋นั้นปรากฏความสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวขึ้นหลายส่วน หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งฉีกกระชากกัดข่วนร่างกายของเขา สิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างไม่อาจอธิบายย่อมเป็นพิษรุนแรงของมันที่แพร่ไปทั่วร่าง ทำให้เลือดในร่างจับตัวแข็ง
ในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ
ใบหน้าของจ้าวตำหนักโหยวหลงก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ร่างกายปรากฏความไม่สบายขึ้น พลังสายเลือดที่ใช้ออกเริ่มติดขัด รวมทั้งนี่ยังเป็นเขาที่มีพลังสายเลือดที่มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างมาก ทั้งยังมีธาตุสายมืด ทำให้มีภูมิต้านทานต่อพิษที่สูงมาก
หากเปลี่ยนเป็น ‘นายเหนือเซียวเหยา’ หรือ ‘จ้าวตำหนักปี้จี’ บางทีอาจต้องสิ้นชีพไปแล้ว
ในยามนี้ จ้าวตำหนักโหยวหลงจึงเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดก่อนหน้า จ้าวตำหนัก
ปี้จีจึงตายตกอย่างรวดเร็วและน่าอัปยศเช่นนั้น พิษรุนแรงของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬของจ้าวเฟิงเพียงพอที่จะส่งผลถึงตายต่อขั้นนายเหนือแท้ ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ส่วนมากไม่มีพลังที่จะต่อต้านได้
จ้าวตำหนักโหยวหลงตกอยู่ในสภาวะวิกฤต กระตุ้นโคจรสายเลือดทั่วทั้งร่าง แทบจะเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณเพื่อต่อต้านพิษรุนแรงนั้น
ทว่า การต่อต้านดิ้นรนของเขาส่งผลเพียงน้อยนิด
พิษรุนแรงของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬไม่ได้มาจากเพียง ‘แมงป่องยักษ์โบราณ’ ทว่ายังมี ‘เห็ดอินตู๋’ หลอมรวมเข้าไป สำหรับสิ่งมีชีวิตแล้ว มันให้ผลที่ราวกับฝันร้าย
ฉัวะ
จ้าวตำหนักโหยวหลงคำรามโหยหวนพลันกัดฟันกรอด ต้นขาที่ติดพิษสั่นสะท้าน เลือดและเนื้อสาดกระจายออกมา เมื่อต้นขานั้นถูกฉีกเปิดออกมันก็แยกออกจากร่างกาย แหล่งกำเนิดพิษจึงหายไปกว่าเจ็ดส่วน เมื่อทำสิ่งนี้เสร็จ จ้าวตำหนักโหยวหลงก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้อย่างกล้ำกลืน ใบหน้าเขียวอมม่วง กลิ่นอายอ่อนแอลง
ฟึ่บ
จ้าวตำหนักโหยวหลงไม่กล้ารั้งอยู่ กระตุ้นโคจรพลังสายเลือดที่เหลืออยู่ เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ เปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีดำ ทะลวงฝ่าเมฆหายไป
เทือกเขานภาจันทร์
คนระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลายเป็นพยานให้กับการ ‘ทำลายขา’ หนีไปอย่างกระเสือกกระสนของจ้าวตำหนักโหยวหลง รู้สึกหวาดผวา
“กระทั่งจ้าวตำหนักโหยวหลงยังพ่ายแพ้…”
ในลานกว้าง ‘นายเหนือเซียวเหยา’ ที่ถูกจับใบหน้าขาวซีด ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่นสิ้นหวัง ใจสั่นระริก
ในบรรดาสี่จ้าวตำหนัก พลังฝึกตนของ ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ สูงที่สุด มรดกสายเลือดแข็งแกร่งที่สุด แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งแคว้นเมฆาก็ยังอาจกล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง
มันยากที่จะคาดคิด
ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของพันธมิตรมังกรโลหะจะต้องกระทั่งล่าถอย หลบหนีเพื่อรักษาชีวิตรอด
บนยอดเขา
“เขาดันหนีไปได้…”
จ้าวเฟิงมองตามทิศทางที่จ้าวตำหนักโหยวหลงหลบหนีไป สีหน้าปรากฏความคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
ส่วนมากเป็นเพราะพลังสายเลือดของจ้าวตำหนักโหยวหลง ทางกายภาพแล้วแข็งแกร่งกว่าเขามาก มรดกสายเลือดของอีกฝ่ายดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับมังกรปีศาจโบราณอยู่
จ้าวเฟิงอยากจะไล่ตามไป ทว่าดูเหมือนจะมีความสามารถไม่พอที่จะทำเช่นนั้น
การต่อสู้นี้ทำให้ดวงตาซ้ายปรากฏความอ่อนล้าขึ้นอีกครั้งแล้ว
พลังฝึกตนของจ้าวตำหนักโหยวหลงสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง มุ่งแต่เพียงจะหลบหนี ความเร็วกระทั่งทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกว่าตามไม่ทัน
“หืม”
จ้าวเฟิงค้นพบว่าปราณจิตวิญญาณในร่างของตนเองได้สั่นสะท้านส่งเสียงคำรามของสายฟ้าและสามลมออกมาแผ่วเบา กลิ่นอายดุดันที่ไม่อาจมองเห็นแพร่กระจาย สร้างแรงกดดันน่าสะพรึง ให้ความรู้สึกว่าเตรียมพร้อมจะสร้างเรื่อง
สีหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏความยินดีขึ้น พลังฝึกตนของตนเองได้เข้าสู่ ‘จุดเปลี่ยน’ ที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้แล้ว
หรืออีกนัยหนึ่ง
ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงต้องการ เขาสามารถบรรลุ ‘ขั้นนายเหนือแท้’ ได้ในทันที ไม่มีแรงต่อต้านมากนัก ด้วย ‘จุดเปลี่ยน’ นี้ทำให้จ้าวเฟิงล้มเลิกความคิดที่จะไล่ล่าจ้าวตำหนักโหยวหลง
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นจ้าวจำหนักโหยวหลงหรือศัตรูที่ทรงพลังคนอื่นๆ จ้าวเฟิงไม่อาจมองเมินปล่อยให้หลบหนีไปได้ง่ายๆ
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเข้าเล็กๆ เปิดดวงตาเทพเจ้า เปลี่ยนเป็นธาตุน้ำที่ราบเรียบ
นัยน์ตาซ้ายที่ส่องประกายสีน้ำเงินราวอัญมณีได้ปรากฏระลอกคลื่นขึ้น กลับกลายเป็นน้ำวนขนาดเล็ก สุดท้ายแล้วจึงควบรวมกันสร้าง ‘จุดแสงสีน้ำเงินอมดำ’ ตามมาด้วยคลื่นพลังจิตที่สั่นสะท้าน พุ่งทะยานฝ่าอากาศออกไป
ในเวลาเดียวกัน จ้าวตำหนักโหยวหลงที่หนีห่างออกไปนับพันลี้พลันรับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายอย่างแปลกประหลาด
“ความรู้สึกเมื่อกี้?”
ร่างกายของจ้าวตำหนักโหยวหลงรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งเกาะติดอยู่ลางๆ
ทว่าเขาในยามนี้ร่างกายติดพิษรุนแรง เสียขาไปข้างหนึ่ง ทั้งยังต้องใช้วิชาในการกดพิษนี้ไม่ให้อาละวาด ความรู้สึกลางๆ เมื่อครู่หายไปอย่างรวดเร็ว ห่างออกไปพันลี้ สำนักจันทร์สลาย
“ตอนนี้ปล่อยเจ้าไปก่อน ทว่าข้าใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าสร้างตราเนตรแห่งเทพในร่างของเจ้า มันเลือนรางยิ่งนัก ยากที่จะทำลาย”
มุมปากของจ้าวเฟิงเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย็น
ตราแห่งเทพคือตราพลังจิต กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ยังสามารถใช้ได้
ทว่า ‘ตราแห่งเทพ’ ของจ้าวเฟิงกลับสร้างขึ้นโดยมีศาสตร์แห่งดวงวิญญาณเป็นพื้นฐาน หลอมรวมเข้ากับวิชาอันลึกล้ำของสายเลือด ใช้ออกโดยดวงตาเทพเจ้า
เขาใช้ ‘ตราแห่งเทพ’ ด้วยพลังวิญญาณและพลังดวงตาตราลงบนร่างกายของเป้าหมายอย่างแม่นยำและเลือนลาง ย่อมยากที่จะรับรู้และทำลายได้
มีเพียงแค่ขอบเขตจิตวิญญาณของอีกฝ่ายเหนือกว่าจ้าวเฟิงมาก หรือค้นคว้าในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณและวิชาพลังจิตมาก มิเช่นนั้นในเวลาสั้นๆ ก็ไม่อาจทำลายตรานี้ได้
เมื่อใช้ ‘ตราแห่งเทพ’ เสร็จสิ้น จ้าวเฟิงก็สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งคร่าวๆ ของอีกฝ่ายได้ผ่านดวงตาเทพเจ้า แม้ว่าระยะทางจะห่างไกลยิ่งนักก็ตาม
เมื่อทำทั้งหมดแล้ว
สายตาของจ้าวเฟิงจึงกลับไปยังสนามรบในสำนักจันทร์สลาย
คนของสำนักจันทร์สลาย นำโดยเจ้าสำนักหยุนไห่ ผู้อาวุโสคุมกฎ และยอดฝีมือบางส่วนพยายามที่จะหลบหนีออกไปหลายครั้ง โดยเฉพาะยามที่จ้าวเฟิงไล่ล่าจ้าวตำหนักโหยวหลง เจ้าสำนักหยุนไห่และคนอื่นๆ ได้เริ่มทะลวงฝ่าออกไปแล้วราว 1-2 รอบ ต้องการที่จะออกจากสำนักจันทร์สลาย
ทว่า หลินทง รวมทั้งแมวขโมยตัวน้อยย่อมไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
เมี้ยว เมี้ยว
ร่างของแมวขโมยตัวน้อยสั่นวูบ ปรากฏขึ้นกลางอากาศและจางหายไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่มันปรากฏขึ้นในอากาศ มันจะวาดกรงเล็บแมวของมันตามมาด้วยเสียง ‘ผัวะ’ บนใบหน้าของคน
ลานกว้างหน้าตำหนักกลาง
บนใบหน้าของคนระดับสูงของสำนักที่นำโดยเจ้าสำนักหยุนไห่ปรากฏรูปอุ้งเท้าแมวร้อนฉ่า แม้ว่าพลังของแมวขโมยตัวน้อยจะไม่ใช่จุดเด่น ทว่าการโจมตีด้วยกรงเล็บของมันกลับมีผลในการสร้าง ‘ความมึนงง’ ในระดับหนึ่ง
ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป เมื่อถูกตบด้วยตรงเล็บของมันใบหน้าจะร้อนฉ่า รู้สึกมึนงงไม่อาจฟื้นตัวได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“ฮี่ฮี่ ทุกคนดูจะเล่นกันสนุกสนานเชียว…”
เสียงหัวเราะคิกคักดังก้องไปทั่วลานกว้าง
ในยามนี้ การต่อสู้ระหว่างจ้าวเฟิงและสามจ้าวตำหนักได้ปิดม่านลงแล้ว
สามจ้าวตำหนัก หนึ่งตาย หนึ่งถูกจับ สามารถกระเสือกกระสนหลบหนีไปได้เพียงหนึ่งคน
เสี้ยววินาทีที่เสียงนั้นเงียบลง
ลานกว้างหน้าตำหนักกลาง ไม่ว่าจะเป็นคนระดับสูงหรือต่ำของสำนักจันทร์สลายต่างก็ตกอยู่ในความอึมครึม ร่างของเจ้าสำนักหยุนไห่และคนอื่นๆ ที่วางแผนจะหลบหนีออกไปแข็งค้าง จิตใจสะท้านเฮือกขึ้นในทันที
สายตาจำนวนมากมองไปยังยอดเขา เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่ยืนสองมือไพล่หลังบนริมฝีปากระบายไปด้วยรอยยิ้มบาง ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและหวาดกลัวจนสิ้นเสียง
ตลอดการเอาชนะสามจ้าวตำหนัก เด็กหนุ่มผู้นั้นทำเพียงควบคุมในระยะไกลอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ลงมือด้วยตนเอง
ทันใดนั้น หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬก็แบ่งออกเป็นสองทาง รับหน้าที่ในการไล่ล่าคนที่หลบหนี รวมทั้งคนที่หลงเหลืออยู่ของพันธมิตรมังกรโลหะ
“อ๊ากกก”
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬมีพลังต่อสู้ในขั้นนายเหนือแท้ มี ‘พิษ’ รุนแรงต่อผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แทบจะทันทีที่มันกระโจนเข้าไปหา ชีวิตของเป้าหมายก็ปลิดปลิว
เหล่าผู้อาวุโสหลักที่ปรากฏตัวขึ้นล้วนถูกหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬฆ่าตายในเสี้ยววินาที ในยามนี้ ความหวาดกลัวก็ได้ถูกควบคุมไว้โดยจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์
เจ้าสำนักหยุนไห่ ผู้อาวุโสคุมกฎ และคนอื่นๆ มีท่าทีราวกับตายไปแล้วหลายปี คนระดับสูง 1-2 คนกระทั่งเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นดัง ‘ตุบ’ หวาดกลัวเสียจนปัสสาวะราด