บทที่ 467 บั่นคอหยุนไห่
ภายใต้สายตาที่มองลงมาของจ้าวเฟิง คนระดับสูงต่ำทั่วทั้งสำนักจันทร์สลายล้วนเชื่อฟัง ไม่ขยับเคลื่อนไหวอีก
เจ้าสำนักหยุนไห่และผู้อาวุโสคุมกฎ รวมทั้งสมาชิกบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ของพันธมิตรมังกรโลหะในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวังไร้กำลัง
ก่อนหน้าครึ่งชั่วเวลาน้ำชาเดือด ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เพียงคนเดียวจะสามารถพลิกโต๊ะ กลับกลายเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้
‘สามจ้าวตำหนัก’ ของพันธมิตรมังกรโลหะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแคว้นเมฆา เป็นยักษ์ใหญ่ในตำนาน ทว่ากลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด หนึ่งตาย หนึ่งถูกจับ
สิบผู้อาวุโสหลักที่เหลือส่วนมากมาได้แต่ไม่อาจย้อนกลับ ถูกกำจัด
เวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วน้ำชาเดือด เด็กหนุ่มผู้นี้ใช้วิธีการที่เหนือชั้นในการพิชิตทุกคน
ทั้งหมดฟังดูราวกับเป็นเพียงตำนาน กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดได้เป็นพยานให้แก่ตำนานนี้ด้วยตนเอง
ห่างจากหุบเขาออกไป
กลุ่มภารกิจที่หยางก่านนำเพียงเข้ามาในหุบเขาไม่นาน กระทั่งไม่ทันทำภารกิจทั้ง 49 ภารกิจเสร็จ สถานการณ์ของสำนักจันทร์สลายก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลแล้ว
ไม่สิ ไม่เพียงแค่สถานการณ์ของสำนักจันทร์สลาย อาจเป็นสิบสามแคว้น หรือสถานการณ์ของทั่วทั้งแคว้นเมฆาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล
หยางก่าน หลินฟ่าน หลันเสี่ยวหยวน หยางชิงชัน และศิษย์ของสำนักคนอื่นๆ พลันรู้สึกราวกับฝันไป
เวลาพักผ่อนของเจ้าสำนักหยุนไห่ได้เข้าสู่จุดจบแล้ว
“ศิษย์น้องจ้าวแข็งแกร่งเกินไป ใช้เพียงหนึ่งมือต่อต้านลิขิตสวรรค์ เอาชนะสามจ้าวตำหนักไป นับว่ายากที่จะเชื่อได้โดยแท้”
“ฮ่าฮ่า ในที่สุดพวกเราก็หลุดออกจากสถานะที่เลวร้ายนี่ซะที ไอ้เจ้าสำนักหยุนไห่บัดซบนั่นเหลือเวลาอยู่ไม่ถึงวันแล้ว”
“… เราเกือบจะเข้าใจศิษย์น้องจ้าวผิดไปเมื่อครู่แล้ว”
หัวใจของศิษย์บางคนเต็มไปด้วยความยินดี ทว่าก็มีความละอายปะปนอยู่หลายส่วนเช่นกัน
สำนักจันทร์สลายที่เงียบงันมาตลอดได้ปรากฏเสียงโห่ร้องยินดีขึ้นในที่สุด โดยมากแล้วเป็นศิษย์ระดับล่าง คนระดับสูงบางคนอย่างผู้เฒ่าเจียงและผู้เฒ่ากวน ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เอ่ยแสดงความยินดีต่อกัน สะอึกสะอื้นร่ำไห้
“ผู้อาวุโสหนึ่ง ท่านได้มีศิษย์เช่นนี้ นับว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่สูญเปล่าแล้ว”
แม่เฒ่าหลิวเยว่แย้มยิ้มอย่างสบายใจ สีหน้าปรากฏความริษยาอยู่เจือจาง
ในตำหนักบนหุบเขา
ผู้อาวุโสหนึ่งมองไปยังศิษย์ที่อยู่ไม่ห่างกาย สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยื่นมือออกไปตบยังไหล่ของจ้าวเฟิง
“เฟิงเอ๋อร์ อาจารย์เคยคิดว่าเจ้าจะกลับมายังสำนักจันทร์สลายในวันหนึ่ง ทว่าไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วเช่นนี้”
ผู้อาวุโสหนึ่งอดที่จะตื้นตันใจไม่ได้
ศิษย์อาจารย์ทั้งสองได้กลับมาเจอกันย่อมมีหลายคำต้องการเอ่ย ทว่าในเวลาสั้นๆ กลับไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้
ผู้อาวุโสหนึ่งสงสัยถึงเหตุการณ์ในการไปยังอาณาจักรนภาของจ้าวเฟิงยิ่งนัก ทว่าชายชราก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปในทันที
เขารู้ว่ามันมีเรื่องอีกมากที่รอให้เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไปแก้ไข
ไม่นาน
จ้าวเฟิงและผู้อาวุโสหนึ่งก็ทะยานร่างไปยังลานกว้างหน้าตำหนักกลางอย่างพร้อมเพรียงกัน
ความยินดีบนใบหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งฉายชัด เทียบกับเจ้าสำนักหยุนไห่แล้วยังมากกว่าสี่เท่า ใบหน้าของเจ้าสำนักหยุนไห่ร้อนฉ่า สีหน้าหม่นหมอง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง นัยน์ตาสั่นระริก
สำหรับ ‘เจ้าสำนักหยุนไห่’ จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจนัก
ในยามนี้ คนทั้งสองราวกับกำลังสลับตำแหน่งกัน
ในสายตาของจ้าวเฟิง จ้าวสำนักหยุนไห่ย่อมเป็นเพียงมดปลวกอย่างไม่ต้องสงสัย ลำบากเพียงดีดนิ้วก็ฆ่าอีกฝ่ายได้ ไร้ซึ่งความใส่ใจอย่างสิ้นเชิง
“นายเหนือเซียวเหยา”
สายตาของจ้าวเฟิงเลื่อนไปยังร่างโทรมๆ ของ ‘นายเหนือเซียวเหยา’ ที่ถูกจับอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าจะเป็นวันนี้ เมื่อเอ่ยถึง ‘นายเหนือเซียวเหยา’ สี่คำนี้ คนระดับสูงบางคนของสำนักจันทร์สลายยังรู้สึกหนาวเยือกขึ้นในใจ
ในอดีต ยามที่นายเหนือเซียวเหยากดดันสิบสามสำนัก มันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ดูแคลนพวกเขายิ่งนัก
“จ้าวเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด เจ้าต้องการ ‘พันธะสัญญาโลหิต’ ที่สิบสองสำนักลงนาม”
สีหน้าของนายเหนือเซียวเหยาราบเรียบ
จะอย่างไรเขาก็คือผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแคว้นเมฆา จิตใจของเขากลับสู่ความเยือกเย็น ค้นหาโอกาสรอดชีวิตที่น้อยนิดด้วยปากของตน
เหตุใดจ้าวเฟิงจึงไม่ฆ่าเขา?
นายเหนือเซียวเหยาไม่สงสัยว่าจ้าวเฟิงจะมีความสามารถในการฆ่าเขาหรือไม่ ในยามนั้น ชะตากรรมของเขาและจ้าวตำหนักปี้จีไม่แตกต่างกัน
ดังนั้น ในเมื่อจ้าวเฟิงไม่ฆ่าเขา บนร่างของเขาต้องมีบางอย่างที่มีคุณค่ามากพอ
นายเหนือเซียวเหยาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็รู้ถึงคำตอบในใจ
นั่นคือพันธะสัญญาโลหิต
ในอดีต ผู้อาวุโสระดับสูงของสิบสองสำนักได้ลงนามในพันธะสัญญาโลหิตภายใต้การบีบบังคับของนายเหนือเซียวเหยา พันธะสัญญาโลหิตมีพลังแห่งฟ้าดิน มีความสามารถในการผูกมัดที่ทรงพลัง มันคือประกับสำหรับฝั่งมังกรโลหะ ไม่อาจที่จะทรยศไม่เชื่อฟังได้
ความสามารถในการผูกมัดนี้ แม้ว่าจ้าวเฟิงจะกลับมายังสำนักจันทร์สลายอย่างแข็งแกร่ง ผู้อาวุโสหนึ่งและคนอื่นๆ ก็ไม่อาจช่วยเหลือเขาได้
“นายเหนือเซียวเหยา เจ้าฉลาดนัก พันธะสัญญาโลหิตนั่นอยู่ที่ใด?”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างชื่นชม
เขาไม่ชอบความอ้อมค้อม หากนายเหนือเซียวเหยาให้ความร่วมมือสักหน่อย เขาก็จะพิจารณาในโอกาสรอดชีวิตอันน้อยนิดของอีกฝ่าย
“พันธะสัญญาโลหิตถูกข้าเก็บไว้ในที่ลับ หากเจ้าสัญญาได้ว่าจะไม่ฆ่าและทำร้ายข้า ข้าจะมอบพันธะสัญญาโลหิตให้เจ้าแน่นอน”
นายเหนือเซียวเหยาเอ่ยอย่างจริงจัง
“ฮี่ฮี่ เช่นนั้นหรือ? ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ตุกติก”
จ้าวเฟิงเคลือบแคลง
เขามองแมวขโมยตัวน้อยอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่งในทันที
เมี้ยว เมี้ยว
ร่างของแมวขโมยตัวน้อยขยับวูบ จางหายไปไม่อาจมองเห็น
นายเหนือเซียวเหยานิ่งอึ้งไป หลังจากผ่านไปหลายลมหายใจ สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนไป มองไปยังแหวนเก็บของบนมือของเขา
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นอีกรอบ นำเอาม้วนกระดาษเรียบๆ ที่ส่องประกายโลหิตชิ้นหนึ่งออกมา
“เป็นไปได้อย่างไร…”
นายเหนือเซียวเหยาผวาขึ้นมาในที่สุด ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้
แน่นอนว่าพันธะสัญญาโลหิตได้ถูกเขาเก็บซ่อนไว้ในมุมที่ห่างไกลลึกลับที่สุด ทว่าแมวขโมยนั่นกลับมองแล้วรู้ได้ในทันทีเลย?
จ้าวเฟิงหัวเราะแผ่วเบา เปิดพันธะสัญญาโลหิตมองรอบหนึ่งก่อนจะผงกศีรษะ
พันธะสัญญาโลหิตนี้ รายละเอียดภายนอกคือรายชื่อของสิบสองสำนักและพันธะมิตรมังกรโลหิต ม้วนพันธะสัญญาโลหิตนี้จะถูกเก็บไว้กับนายเหนือเซียวเหยานับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
จะอย่างไรเขาก็คือหนึ่งในสี่ยักษ์ใหญ่แห่งพันธมิตร ทว่าสิบสามแคว้นเป็นเพียงดินแดนที่ไม่โด่งดังนักในแคว้นเมฆาทั้งหมด
“ตามบันทึกของตำราโบราณ พันธะสัญญาโลหิตนี่ถูกสร้างขึ้นโดยสำนักความลับสวรรค์ แพร่หลายในอดีต นับแต่บัดนั้น ม้วนกระดาษสัญญาเช่นนี้ก็ค่อนข้างหายาก ไม่ต้องเอ่ยถึงม้วนพันธะสัญญาโลหิตเลย”
จ้าวเฟิงสัมผัสพันธะสัญญาโลหิตอย่างแผ่วเบา
เปรี้ยะ
มือของเขาส่องประกายกระแสไฟฟ้า ม้วนกระดาษพันธะสัญญาโลหิตพลันกลับกลายเป็นขี้เถ้าไป ผู้อาวุโสหนึ่งและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของสำนักจันทร์สลายอดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้ พันธะสัญญาโลหิตถูกทำลาย เช่นนั้นพลังยึดเหนี่ยวของฟ้าดินก็ย่อมไม่หลงเหลืออยู่ ในทางกลับกัน ท่าทีของนายเหนือเซียวเหยาราวกับตายไปแล้วหลายปี บนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ มูลค่าที่เขาขุดค้นขึ้นมาได้ถูกจ้าวเฟิงทำลายจนสลายหายไปในอากาศแล้ว
“ก่อนข้าจะลงมือ ข้าให้โอกาสเจ้าตัดสินใจสิบลมหายใจ”
จ้าวเฟิงที่เตรียมจะฆ่านายเหนือเซียวเหยา พลันต้องการรีดเค้นมูลค่าในตัวของนายเหนือเซียวเหยาไปอีกระดับ
สิบลมหายใจ
หัวใจของนายเหนือเซียวเหยาหนาวเยือก ลมหายใจติดขัด เขามองเห็นประกายจิตสังหารที่แล่นผ่านดวงตาของจ้าวเฟิงอย่างชัดเจน นายเหนือเซียวเหยาไม่กล้าสงสัยว่าจ้าวเฟิงจะรู้สึกลังเลมีจิตใจงดงามขึ้นมาในการจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้สักคน
สัญชาตญาณของเขาถูกต้อง ในซากปรักหักพังสือเฉิง ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่ตายด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิง ทั้งทางตรงและทางอ้อมก็ไม่น้อย
“สิบ… เก้า… แปด… เจ็ด…”
คนระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลายนิ่งอึ้ง มองจ้าวเฟิงตัดสินความเป็นตายของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนหนึ่ง
ความคิดของนายเหนือเซียวเหยาแล่นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วจึงกัดฟันเอ่ยขึ้น “เดี๋ยว”
“จำไว้ว่าเจ้ามีโอกาสเดียว”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
นายเหนือเซียวเหยาสูดลมหายใจลึก ใช้มือหนึ่งสัมผัสไปยังแหวนเก็บของและนำพันธะสัญญาโลหิตที่ว่างเปล่าม้วนหนึ่งออกมา
“เยี่ยม เจ้าทำสำเร็จ”
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายเจิดจ้า
นายเหนือเซียวเหยาไม่ประหลาดใจ ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านพลังที่ ‘เหนือกว่า’ ขั้นนายเหนือแท้ได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นจ้าวเฟิงที่สามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างง่ายดาย
ชั่วครู่ต่อมา จ้าวเฟิงและนายเหนือเซียวเหยาก็ได้ทำพันธะสัญญาโลหิตกันต่อหน้าสายตาของทุกคน
การทำพันธะสัญญาโลหิตคือการที่ทั้งสองฝ่ายเอ่ยคำสัญญาขึ้นมา
รายละเอียดของสัญญาคือ
นายเหนือเซียวเหยาจะดูแลสำนักจันทร์สลายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กลายเป็นผู้พิทักษ์ มีหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของสำนักจันทร์สลาย ไม่อาจทรยศ ไม่อาจไม่เชื่อฟัง และอื่นๆ
ทว่าจ้าวเฟิงต้องไม่ทำร้ายนายเหนือเซียวเหยาโดยไร้สาเหตุ และหากอีกฝ่ายตกอยู่ในอันตรายต้องให้ความปลอดภัยในระดับหนึ่งด้วยความพยายามสูงสุด
หลังจากที่พันธะสัญญาโลหิตเสร็จสิ้น จ้าวเฟิงจึงเก็บม้วนกระดาษไป
นายเหนือเซียวเหยาเคร่งเครียดอยู่ในใจ การจะแย่งชิงพันธะสัญญาโลหิตกลับมาจากจ้าวเฟิง ยอดฝีมือในระดับนี้ ความหวังมีเพียงน้อยนิดและยิ่งเวลาผ่านไป ความหวังนี้ย่อมใกล้เคียงศูนย์ขึ้นไปเรื่อยๆ
จ้าวเฟิงคือราชาแห่งผู้ถูกเลือกของทวีปบุปผาคราม ความสำเร็จในอนาคตไม่อาจคาดประเมินได้
ยามที่นายเหนือเซียวเหยาลงนามในพันธะสัญญาโลหิตยอมเป็นคนของสำนักจันทร์สลาย เจ้าสำนักหยุนไห่และคนอื่นๆ ก็ใจหล่นวูบไปพร้อมกัน
“จ้าวเฟิง.. เราเองก็สามารถทำพันธะสัญญาโลหิต จงรักภักดีต่อเจ้าไปตลอดได้เช่นกัน”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสคุมกฎสั่นสะท้าน
ฉัวะ
จ้าวเฟิงวาดมือออก คมดาบสายลมที่ปรากฏกระแสไฟฟ้าแล่นวูบวาบผ่าร่างของผู้อาวุโสคุมกฎเป็นสองส่วน
“ข้าหาประโยชน์ในตัวเจ้าไม่ได้”
น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนดังก้องไปทั่วทั้งลานกว้าง ผู้คนที่นำโดยเจ้าสำนักหยุนไห่หวาดกลัวจนร่างสั่นสะท้าน คุกเข่าลงพื้นดัง ‘ตุบ’ ปัสสาวะราดด้วยความหวาดกลัว
สายตาของจ้าวเฟิงเบนไปยังร่างที่สงบปากสงบคำร่างหนึ่ง: “ศิษย์พี่เป่ยม่อ”
“จะฆ่าก็ฆ่า แล้วแต่ศิษย์น้องต้องการ”
ใบหน้าของเป่ยม่อเต็มไปด้วยความหดหู่สิ้นหวัง
“ศิษย์พี่เป่ยม่อ ท่านควรรู้ดีว่าข้าจะไม่ฆ่าท่าน แม้ว่าท่านจะเคยทรยศท่านอาจารย์ก็ตาม”
จ้าวเฟิงยังคงสงบนิ่งขณะพูดถึงเรื่องที่น่าอึดอัดใจ
สีหน้าของเป่ยม่อแข็งเกร็ง
เขาได้คาดเดาไว้ว่าจ้าวเฟิงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์นี้แล้วไว้ชีวิตเขาจริงๆ
“แน่นอนว่ามันต้องมีเงื่อนไข”
จ้าวเฟิงพาบทสนทนาไปอีกระดับ
“เงื่อนไขอันใด?” เป่ยม่อถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กๆ
“ข้าจะให้เจ้าฆ่าหยุนไห่ด้วยตนเอง เอาศีรษะของเขาไปขอขมาท่านอาจารย์ เจ้าเมืองกว่านจวิน”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเรียบง่าย
“จ้าวเฟิง… บัดซบ”
เจ้าสำนักหยุนไห่กรีดร้องอย่างอาฆาต
เขาเพียงกำลังจะเสียสติก็ถูก ‘กรงเล็บแมว’ ตบจนมึนงง คนของสำนักจันทร์สลายบางคนอดที่จะนิ่งอึ้งไปไม่ได้
จ้าวเฟิงไม่ได้ลงมือฆ่าหยุนไห่ ทว่ากลับให้เป่ยม่อลงมือ นี่มันเรื่องอันใดกัน
ทว่าผู้ที่รู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังสามารถคาดเดาถึงเหตุผลที่แท้จริงได้อย่างรวดเร็ว
จุดแรก เป่ยม่อคือศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดที่เจ้าสำนักหยุนไห่ฝึกฝนมาอย่างสุดตัว
หากให้หยุนไห่ตายด้วยน้ำมือของศิษย์ที่โดดเด่นและเขาคาดหวังไว้มากที่สุด มันนับว่าเป็นการเหยียดหยามฉีกหน้าแบบใดกัน
จุดที่สอง บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าสำนักหยุนไห่และเจ้าเมืองกว่านจวิน
หยุนไห่เคยแย่งชิงคนรักของเจ้าเมืองกว่านจวิน เหยียดหยามดูแคลนอีกฝ่ายอย่างมาก สุดท้ายแล้วยังแย่งชิงเอาเป่ยม่อ ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมผู้นี้ไป
ทว่าบัดนี้ เงื่อนไขของจ้าวเฟิงคือให้เป่ยม่อลงมือฆ่าหยุนไห่ด้วยตนเอง นำศีรษะของคนไปมอบขอขมาเจ้าเมืองกว่านจวิน
ดังนั้นแล้ว บุญคุณความแค้น เหตุและผลทั้งหมดจะกลับมาสมดุล ดินกลับเป็นดิน ฝุ่นกลับเป็นฝุ่น
“ได้ ข้ารับปากเจ้า”
เป่ยม่อไม่แม้แต่จะคิด ในมือปรากฏดาบสีดำราวน้ำหมึกเล่มหนึ่งฟันออกดัง ‘ฉัวะ’ โลหิตสาดกระจาย ศีรษะของเจ้าสำนักหยุนไห่ร่วงหล่นลง
ในยามนี้ พลังฝึกตนของเป่ยม่อและเจ้าสำนักหยุนไห่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ทว่าเจ้าสำนักหยุนไห่ถูกกรงเล็บแมวของแมวขโมยตัวน้อยทำให้มึนงง ไม่อาจตอบสนองได้ทัน สุดท้ายก็กลายเป็นศพนอนนิ่ง
เป่ยม่อลงมืออย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว ความเด็ดขาดของเด็กหนุ่มทำให้คนต้องสะท้าน มันราวกับว่าไม่ผ่านสมองเลยแม้แต่น้อย