ตอนที่ 83
ท่านปรมาจารย์, แล้วพิษในร่างศิษย์…?
เมื่อมันเดินไปก้าวแรก โลหิตและลมปราณก็เดือดพล่าน และมันก็ไม่ได้อยู่ในวัยกลางคนอีกต่อไป แต่กลายเป็นวัยรุ่น ซึ่งเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเป็นสามเท่าจากก่อนหน้านี้
มันย่างไปก้าวที่สอง ร่างของมันก็สั่นสะท้าน ชุดยาวของมันตกลงไป เมื่อมันได้กลายเป็นทารก และความเร็วก็เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าอีกครั้ง ณ ตอนนี้ ตลอดทั้งร่างของมันก็เกือบจะโปร่งใส และแสงสามสีก็เริ่มห่อหุ้มตัวมันไว้
ด้วยการเดินไปก้าวที่สาม ร่างทารกของมัน ก็หดตัวลงกลายเป็นแกนลมปราณที่หมุนคว้าง อีกครั้งที่ความเร็วของมันเพิ่มเป็นสามเท่า ขณะที่มันพุ่งตรงไปที่ทางออก ซึ่งเป็นสายน้ำหมุนวนนั้น
ทั้งสามคนนี้ เป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ เห็นได้ชัดว่า พวกมันจะไม่มายังที่อันตรายเช่นนี้ โดยที่ไม่ได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้าไว้ก่อน สำหรับคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนไม่สามารถทำอะไรได้ทันท่วงที
สำหรับสามคนนี้ ถ้าหนีออกไปได้แม้เพียงคนเดียว มันก็สามารถไปแจ้งข่าวต่อสำนักใหญ่ในดินแดนด้านใต้ และพวกมันก็จะมาสังหารปรมาจารย์เอกะเทวะในภายหลัง
ทุกอย่างนี้ ต้องใช้เวลาในการอธิบาย แต่มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ขณะที่คนทั้งสามพยายามหลบหนี เทียนจีซ่างเหรินเลือกที่จะอยู่ต่อ ดวงตาของมันสาดประกาย มือขวาขยับในรูปแบบการสร้างเวทอาคม
ดวงตาขนาดใหญ่บนชุดยาวของมัน ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตขึ้นมา แสงสว่างผุดออกมาจากดวงตาข้างนั้น สาดออกไปยังเป้าหมาย ไม่ใช่ปรมาจารย์เอกะเทวะ แต่เป็นผู้ฝึกตนสามคน ขั้นสร้างแกนลมปราณที่กำลังหลบหนีนั้น
“เจ้าทำเกินขอบเขตมากไปแล้ว” ปรมาจารย์เอกะเทวะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว มันกระทืบเท้าลงไปบนพื้น เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปทั่ว เสียงร้องอย่างน่ากลัวก็ดังก้องในบริเวณนั้น เมื่อผู้ฝึกตนจากสำนักฉือสุ่ย (สายน้ำหมุน) ผู้ซึ่งกำลังจะหลบหนีไป ทันใดนั้น ก็ถูกผลักให้ล้มเข้าไปในตะเกียงดวงที่สี่
ในเวลาเดียวกัน มือขวาของปรมาจารย์เอกะเทวะ ก็ตบลงไปที่พื้น อากาศก็สั่นไหว เมื่อเวทขอบเขตปรากฎขึ้น ลำแสงสีดำจางๆ พุ่งออกมากลายเป็นหัวกระโหลกสีดำ หมุนวนไปรอบๆ ปรมาจารย์เอกะเทวะ จากนั้นก็พุ่งตรงไปที่ผู้ฝึกตน ซึ่งพยายามจะหลบหนี ด้วยการล่องหนหายตัวไปด้วยแผ่นหยก
ขณะที่ระลอกคลื่นของการเคลื่อนย้ายทางไกล กระจายออกมา หัวกระโหลกสีดำก็ส่งเสียงอันชั่วร้ายออกมา จากนั้นก็หายแวบไป
ต่อมา ปรมาจารย์เอกะเทวะก็ยกมือซ้ายขึ้นไปทางแกนลมปราณ ซึ่งกำลังพุ่งตรงไปยังสายน้ำหมุนวน เพียงชั่วขณะที่มันกำลังจะเข้าไปในสายน้ำนั้น เสียงร้องอันโหยหวนก็ดังออกมา และแกนลมปราณก็ระเบิดขึ้น แต่พลังของมันก็ยังคงอยู่ กลายเป็นแสงสีขาว ขณะที่มันลอยตรงมาที่ปรมาจารย์เอกะเทวะ
ปรมาจารย์เอกะเทวะคว้าจับมันได้กลางอากาศ และภายในแสงสีขาวนั้น ก็เห็นเป็นรูปร่างของผู้ฝึกตน กำลังดิ้นรนไปมาอย่างดุเดือด ปรมาจารย์เอกะเทวะบีบเค้นแสงสีขาว และมันก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นแกนลมปราณสามสี มันโบกสะบัดแขนเสื้อ ส่งแกนลมปราณนี้ไปที่ตะเกียงดวงที่ห้า
ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็โบกสะบัดมือซ้าย กระแทกไปที่แสงซึ่งพุ่งออกมาจากดวงตาบนชุดยาวของเทียนจีซ่างเหริน
เสียงระเบิดดังก้องอยู่ในอากาศ และรอยร้าวขนาดใหญ่มากมาย ก็ปรากฎขึ้นบนเวทขอบเขต ซึ่งปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้น โลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเทียนจีซ่างเหริน
และใบหน้าของมันก็เริ่มซีดขาว ดวงตาของมันไม่ได้มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่กลับส่องประกายด้วยแสงแปลกๆ ขณะที่มันถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
พลังแห่งชีวิตจำนวนมากมาย รวมเป็นกระแสพุ่งตรงไปที่ปรมาจารย์เอกะเทวะ ผสมผสานเข้ากับร่างของมัน ทำให้ใบหน้าฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ มันยืนไพล่หลังมองไปยังเทียนจีซ่างเหริน
“ร่างจำแลงขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งนี้ เป็นของใคร? เจ้าบังอาจมารวมตัวกับเจ้าเด็กสร้างแกนลมปราณเหล่านี้มาจัดการข้า?”
“ท่านไม่ได้มีชื่อเสียงอันจอมปลอมอย่างแท้จริง, ปรมาจารย์เอกะเทวะ” เทียนจีซ่างเหรินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เสียงของมันแหบแห้ง
“สามารถบอกได้เพียงแค่เห็นในแวบแรกว่า ข้าคือร่างจำแลง, อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อจัดการเจ้า ถ้าไม่มีข้า ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณพวกนี้ คงไม่กล้าที่จะมาที่นี่ จริงๆ แล้ว มีเรื่องเกี่ยวกับโชคลาภจากสวรรค์ ที่ข้าอยากจะพูดคุยกับท่าน” ริมฝีปากของมัน สั่นเล็กน้อยเมื่อมันพูดจบ
ปรมาจารย์เอกะเทวะขมวดคิ้ว แววครุ่นคิดอยู่ในดวงตาของมัน
ทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างสีดำก็แวบขึ้นมาด้านบนของพวกมัน กระโหลกสีดำปรากฎขึ้นอีกครั้ง ในปากของมันมีแกนลมปราณสามสีวางอยู่ มันลอยตรงไปที่ด้านข้างของปรมาจารย์เอกะเทวะ ซึ่งโบกสะบัดแขนเสื้อ และแกนลมปราณก็ลอยไปที่ตะเกียงดวงที่หก กลายเป็นแสงไฟลุกไหม้ขึ้นมา
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ หัวใจเมิ่งฮ่าวก็เต้นราวรัวกลอง เขามองไปที่เทียนจีซ่างเหริน ซึ่งกลายเป็นว่า จริงๆ แล้ว มันก็เป็นแค่ร่างจำแลง และอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง! เมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูด เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่า สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ช่างซับซ้อนเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนัก
“ถ้าร่างจำแลงนี้ อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง, แล้ว…ร่างจริงของมันจะอยู่ที่ขั้นไหน?” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นึกไปถึงยาพิษสามสีเม็ดนั้นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ” เทียนจีซ่างเหรินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ดินแดนด้านใต้กำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
“ท่านหมายถึงเซียนแห่งรุ่งอรุณ? ข้าไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่เมื่อท่านมาที่นี่ ด้วยพลังของวิญญาณแรกก่อตั้ง ข้าก็จะถือโอกาสเสริมกำลังให้ตัวเองอีกสักเล็กน้อย” ดวงตาของมันส่องประกาย เมื่อมันก้าวเท้าไปข้างหน้า และยกมือตรงไปยังเทียนจีซ่างเหริน
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ, ท่านน่าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้นะ ท่านเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นตัดวิญญาณ ท่านกล้าที่จะต่อต้านเซียนแห่งรุ่งอรุณจริงๆ?” ใบหน้าของเทียนจีซ่างเหรินหมองคล้ำลง เมื่อมันมองเห็นปรมาจารย์เอกะเทวะยกนิ้วขึ้นมา
เสียงระเบิดดังก้องออกมา เมื่อกลุ่มหมอกอันแข็งแกร่ง เริ่มกระจายออกมาล้อมรอบตัวมันไว้ ปรมาจารย์เอกะเทวะส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชา
กลุ่มหมอกเดือดพล่าน และเสียงกระหึ่มกึกก้องผสานเข้าด้วยกัน กับเสียงกู่ร้องของเทียนจีซ่างเหริน จนดูเหมือนว่าถ้ำแห่งเซียนกำลังจะถล่มลงมา ตอนแรก ดูราวกับว่าเวทขอบเขตที่อยู่รอบๆ กำลังจะสลายตัว แต่พวกมันก็เริ่มซ่อมแซมตัวเอง ให้กลับเป็นเหมือนเดิม
เมิ่งฮ่าวมองดูด้วยความตกใจ ขณะที่เวทขอบเขตกำลังเปลี่ยนไปมา ระหว่างสลายตัว และซ่อมแซม กลุ่มหมอกยกร่างของเทียนจีซ่างเหรินสูงขึ้นไปในอากาศ
มันส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัวออกมา เมื่อถูกกลุ่มหมอกบีบรัด ทำให้โลหิตกระจายออกมาจากร่าง และชโลมย้อมเสื้อผ้าของมัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“เยาชู่, หลางเยียน! (คาถาควันสุนัขป่า)” เสียงอันน่ากลัวของปรมาจารย์เอกะเทวะ ดังเข้าไปในกลุ่มหมอก ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังกลืนร่างของเทียนจีซ่างเหรินอยู่
ลึกลงไปด้านใน แสงสว่างเจิดจ้าบาดตาพุ่งออกมา และเห็นเป็นเงาเลือนลางของเปลวไฟและควัน ทุกอย่างมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ได้ยินแต่เสียงร้องอย่างน่ากลัวเท่านั้น
“ปรมาจารย์เอกะเทวะ, ข้าไม่สามารถทำอะไร ถ้าไม่มีร่างจำแลงนี้, แต่อย่าคิดว่า จะกลืนกินข้าได้อย่างง่ายดาย!”
ภาพและความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ ดูเหมือนว่ากำลังจะกระแทกไปที่เมิ่งฮ่าว การต่อสู้นี้ไม่สามารถอธิบายในแง่ของวิชาเวทได้ เขาไม่สามารถแม้แต่จะคิดคำพูดให้สอดคล้องกับมันได้
เสียงอันทรงพลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ และเสียงกู่ร้องของเทียนจีซ่างเหริน ทำให้เมิ่งฮ่าวตระหนักได้ดีว่า การต่อสู้ครั้งนี้ร้ายกาจเกินกว่าขั้นสร้างแกนลมปราณไปอีกมากนัก
เขาจ้องมองไปด้วยสายตาอันว่างเปล่า จิตใจหมุนเคว้งคว้าง ราวกับว่าประตูใหม่แห่งเส้นทางเดินของชีวิตได้เปิดออก นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกตนอย่างแท้จริงเป็น นี่คือเส้นทางที่แท้จริงของการต่อต้านสวรรค์ นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้ฝึกตน
เวลาสั้นๆ ผ่านไป ระหว่างนั้นเสียงระเบิดยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นกลุ่มหมอกก็เริ่มแคบลง จากนั้นก็กลับมาล้อมอยู่รอบตัวปรมาจารย์เอกะเทวะ เมื่อเขามองเข้าไปดูใกล้ๆ เมิ่งฮ่าวก็ต้องตกใจ เมื่อตอนนี้ ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของปรมาจารย์เอกะเทวะ ดูคล้ายคลึงกับเทียนจีซ่างเหรินเป็นอย่างยิ่ง
มันดูราวกับว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะได้ยึดครองร่างของเทียนจีซ่างเหรินไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นรูปร่างหน้าตานั้นก็เริ่มละลายไป จนกระทั่งเทียนจีซ่างเหรินได้หายไปโดยสิ้นเชิง ถูกดูดซับอย่างสมบูรณ์แบบ
เครื่องหมายผนึกสีดำจำนวนมากมาย หมุนไปรอบๆ ตัวปรมาจารย์เอกะเทวะ ขณะที่ตัวมันลอยขึ้นไปในอากาศ ปลดปล่อยบรรยากาศอันแปลกประหลาดออกมา
ในมือของมันได้ถือร่างคนตัวเล็กๆ เอาไว้ ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง แต่ดวงตาปิดลง มันดูเหมือน…เทียนจีซ่างเหริน
นี่คือวิญญาณเริ่มก่อตั้งของมัน!
กลุ่มหมอกกระจายหายไป และทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบ ไม่มีรอยแตกปรากฎให้เห็นบนเวทขอบเขตอีก ดูเหมือนว่า มันอยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานในการฟื้นฟูตัวเองจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ปรมาจารย์เอกะเทวะโบกสะบัดแขนเสื้อ วิญญาณแรกก่อตั้งของเทียนจีซ่างเหริน ก็พุ่งลงไปในตะเกียงดวงที่เจ็ด วิญญาณเริ่มต้นเป็นเหมือนเช่นน้ำมัน และพลังชีวิตของเทียนจีซ่างเหริน ก็กลายเป็นเปลวไฟ ขณะที่ตะเกียงลุกไหม้ขึ้น
แสงของตะเกียง กระจายไปทั่วถ้ำแห่งเซียน ส่องสว่างทุกสิ่งทุกอย่างด้วยแสงอันริบหรี่ ให้ความรู้สึกทั้งน่าหวาดหวั่น และน่ากลัว
ปรมาจารย์เอกะเทวะมองไปรอบๆ และสายตาของมันก็จ้องไปที่เมิ่งฮ่าว มันพยักหน้าเล็กน้อยให้เขา จากนั้นก็หมุนตัว กำลังจะกลับเข้าไปในรอยแยกกว้างใหญ่บนพื้น
เมิ่งฮ่าวก้าวไปข้างหน้าช้าๆ สองสามก้าวด้วยความกังวล ประสานมือ โค้งคำนับ พูดเสียงดังออกมาว่า “ท่านปรมาจารย์, เพื่อที่จะนำคนเหล่านี้มาที่นี่, ศิษย์ได้กลืนยาพิษไปหลายเม็ด ท่านปรมาจารย์, ได้โปรดช่วยขจัดพิษให้ด้วย?”
“มันก็แค่พิษอันเล็กน้อย, ข้าสามารถขจัดมันได้ง่ายเหมือนกับการหายใจ แค่รออีกไม่นาน ข้าจำเป็นต้องดูดซับวิญญาณเริ่มต้นนี้ รวมถึงร่างจริงของคนผู้นี้ด้วย จากนั้นข้าค่อยขจัดพิษให้เจ้า ไม่ต้องกังวลไป อืม, เจ้าทำได้ดีมาก ข้ามีของจะให้เจ้า เอานี่ไป นี่คือค่าตอบแทนของเจ้า”
ด้วยการไม่หันกลับมามอง ปรมาจารย์เอกะเทวะโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ส่งหินลมปราณระดับต่ำพุ่งตรงมาที่เมิ่งฮ่าว มันกำลังจะเริ่มก้าวเท้าเข้าไปในรอยแยกนั้น
เมิ่งฮ่าวจ้องไปที่หินลมปราณธรรมดาระดับต่ำ ด้วยสายตาอันว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง เขากัดฟัน และพูดขึ้นอีกครั้ง
“ของตอบแทนคือ หินลมปราณระดับต่ำนี้?”
“หินลมปราณระดับต่ำ?” มันพูดเสียงเย็นชา “นั่นก็ใช่แล้ว มันคือหินลมปราณระดับต่ำ แต่ถ้าเจ้ามองดูใกล้ๆ มันใช่หินลมปราณระดับต่ำจริงๆ?” มันกระโดดลงไปในรอยแยก
เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ มองกลับไปยังหินลมปราณในมืออีกครั้ง ขณะที่เขาเห็นปรมาจารย์เอกะเทวะหายเข้าไปในรอยแยก เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านปรมาจารย์, ท่าน…อีกนานแค่ไหน ก่อนที่ท่านจะขจัดพิษให้ศิษย์?”
“ไม่นาน คงในเร็วๆ นี้ ข้าคงใช้เวลาแค่สาม, บางทีก็คงห้าร้อยปี อืม, ข้าจำเป็นต้องกลับไปนั่งกัมมัฏฐานเพียงลำพังในตอนนี้แล้ว” มันพึมพำกับตัวเอง เกี่ยวกับความยากลำบากในการขจัดพิษ
และความจริงที่ว่า พลังฝึกตนของมันยังไม่กลับคืนมาสมบูรณ์พร้อมเหมือนเดิม มันไม่คุ้มที่จะช่วยขจัดพิษให้เขา ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีแผนการใหญ่ที่ต้องขบคิดอีกมาก
สำหรับหินลมปราณ…จริงๆ แล้ว มันก็เป็นแค่หินลมปราณระดับต่ำธรรมดาทั่วไป มันไม่เคยเจอศิษย์รุ่นเยาว์ที่ถูกหลอกลวง แล้วปริปากบ่นมาก่อน มันเคยทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วในอดีต มันได้หลอกลวงผู้ฝึกตนมากมาย เมื่อย้อนกลับไปในวันที่ยังเป็นสำนักผนึกอสูร
มันส่งเสียงกระแอมไอแห้งๆ เพื่อปัดทุกสิ่งทุกอย่างออกให้พ้นไปราวปัดสวะ มันก้มหัวลง และหายเข้าไปในรอยแตกนั้น ทันทีที่มันเข้าไป รอยแตกนั้นก็ปิดลงในทันที