บทที่ 522 กลับมาอย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นว่าไม่ได้คำตอบแน่แล้ว ทั่วร่างกายของหยูเทียนฮ่าวเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้า แล้วจึงพุ่งทะยานออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางไป
ฝูงชนในเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางล้วนแต่อึ้งกิมกี่
จากคำพูดและกิริยาของหยูเทียนฮ่าว เห็นได้ชัดเลยว่าตัวเขาไม่ได้ให้ความสนใจในงานน้ำชาเซียนมังกรและตัวโอรสสวรรค์สามตาเลยแม้แต่น้อย
“เหอะ! เพียงเท่านี้ก็ไปแล้วงั้นรึ?” ในแววตาของโอรสสวรรค์สามตามีเงาของความโกรธแค้นฉายออกมา ความรู้สึกที่ถูกมองข้ามยิ่งทำให้ใจของเขามอดไหม้ด้วยความโมโห
วูบ!
หลังจากเสียงเย็นชานั้นดังขึ้น ลำแสงเจิดจ้าที่ข่มขวัญผู้คนก็พุ่งทะยานตามหยูเทียนฮ่าวออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางไป
“เจ้ามีปัญหาอะไร!” หยูเทียนฮ่าวหยุดชะงักอยู่ในชั้นเมฆ เอามือไขว้หลังแล้วมองโอรสสวรรค์สามตาอย่างเย็นชา
“หยูเทียนฮ่าว ระหว่างข้ากับเจ้า…ยังติดค้างการประลองกันอยู่”
ทั่วร่างของโอรสสวรรค์สามตาปรากฏไอพลังเป็นชั้นสีทองเรืองรอง ดวงตาที่สามบนหน้าผากของเขาเปิดออกแล้วปล่อยแสงอันเจิดจ้าร้อนแรงสู่เป้าหมาย
กลิ่นอายของพลังดวงตาสีทองที่ไร้รูปร่างพุ่งทะลุไปในอากาศอย่างรวดเร็ว จู่โจมเข้าใส่จนจิตใจสั่นสะท้าน
ถึงจะมีผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้หลายคนมาช่วยกัน ก็เกรงว่าจะรับพลังปะทะนี้ตรงๆ ไม่ไหว
“ไม่เสียทีที่เป็นผู้ชนะงานชุมนุมเซียนมังกรติดกันสองครั้งเมื่อปีก่อนๆ เพียงแต่เสียดายเหลือเกินว่านี่ไม่ใช่ยุคสมัยของเจ้าอีกแล้ว อีกอย่างในรอบร้อยปีมานี้ ตระกูลจินหยางเป็นแค่ลูกไล่ตระกูลหยูของข้าก็เท่านั้น” หยูเทียนฮ่าวพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ
“เจ้าเด็กไม่รู้ความ! ตอนที่ข้าเก็บกวาดคนในโรงประมูลเจินหลงเจ้ายังใส่กางเกงเปิดก้นอยู่เลย…” หว่างคิ้วโอรสสวรรค์สามตากระตุก ไม่โกรธแต่กลับหัวเราะ
แม้ได้ยินเรื่องความผยองของหยูเทียนฮ่าวมานาน ทว่าเขาก็ยังทำให้ผู้คนประหลาดใจอยู่ดี
ต้องรู้ว่าโอรสสวรรค์สามตาก่อนหน้าที่จะพบหยูเทียนฮ่าวก็เป็นผู้ชนะงานชุมนุมเซียนมังกรสองสมัย นับได้ว่าอาวุโสกว่าหยูเทียนฮ่าวด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องประสบการณ์และพลัง โอรสสวรรค์สามตาล้วนแต่เหนือกว่าหยูเทียนฮ่าว
“รบกันเลยเถอะ”
หยูเทียนฮ่าวลงมืออย่างว่องไว ร่างกายมีจิตต่อสู้อันแข็งแกร่งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้แผ่ออกมา
ชื่อเสียงเทพสามตาของอีกฝ่ายเขาเคยได้ยินมาบ้างแล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคู่ควรจะเป็นคู่ประลองของเขาอย่างแท้จริง
“ศึกครั้งนี้ ข้าจะเอาเกียรติยศของตระกูลจินหยางกลับคืนมา”
โอรสสวรรค์สามตาเลือดพลุ่งพล่านทั่วทั้งร่าง เมื่อ ‘ดวงตาที่สาม’ บนหน้าผากจ้องไปที่หยูเทียนฮ่าว พลังไร้รูปร่างของวิชาดวงตาสีทองก็พุ่งทะลุไปในอากาศหมายจะแผดเผาเข้าไปถึงวิญญาณ
ร่างของหยูเทียนฮ่าวค่อยๆ หนักอึ้งเหมือนมีพลังงานบางอย่างบีบรัดทั่วทิศทาง
กรงเล็บสุริยันมังกร!
มือของโอรสสวรรค์สามตาซึ่งเปล่งพลังแสงสีทองตวัดไปในอากาศ แล้วที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าก็ขยายใหญ่กลายเป็นลำแสงสีทองยาวสิบกว่าจั้งที่มีลูกไฟสีแดงร้อนแรงผุดออกมา
สวบ~
กรงเล็บที่น่าตระหนกนั้นทำให้ฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อร่วมกับการตรึงเป้าหมายของสายเลือดเนตรเซียน วิชากดและวิชาตรึงทั้งสองก็สอดประสานกันอย่างเหลือเชื่อ
ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด หากเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้จิตใจคงอกสั่นขวัญแขวนยากจะรับมือไหว
หยูเทียนฮ่าวยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบไม่หลีก และไม่ได้สนใจว่าจะถูกสายเลือดเนตรเซียนตรึงไว้หรือไม่
“ทำลาย!”
หยูเทียนฮ่าวเพียงแต่ยื่นมือออกมาราวกับไม่ได้คิดอะไรมากมาย ให้ความรู้สึกที่แสนจะจองหองเย่อหยิ่งเหมือนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
ดวงตาเห็นเพียงแค่ฝ่ามือแสงตระการไร้เทียมทาน ราวกับแสงสว่างที่พาดผ่านทั่วฟ้าดินนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของพลังไอสวรรค์ที่แข็งแกร่งไร้ขีดจำกัดและสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้
หากจ้าวเฟิงอยู่ด้วยจะต้องตกใจเป็นแน่ พลังนั้นของหยูเทียนฮ่าวแทบไม่ต่างจากขอบเขตจิตวิญญาณของเหล่าผู้สูงศักดิ์เลย ทว่าพลังของหยูเทียนฮ่าวทะลักออกมาจากร่างของเขาง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
เปรี้ยง…ตูม! บนชั้นเมฆมีเสียงฟ้าร้องครั้งใหญ่ดังขึ้น ผู้คนทั้งในและนอกเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางรู้สึกได้ถึงลมพายุทรายบ้าคลั่งที่พัดปลิวไปทั่ว
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
คนที่คอยชมอยู่บนกำแพงล้วนแต่ถูกพัดกระเด็นด้วยคลื่นลมที่ปะทะอย่างรุนแรง คนทั่วสนามต่างตื่นตระหนกวุ่นวายไปหมด เหล่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริงสูดหายใจลึกแล้วสังเกตสถานการณ์การรบด้วยสีหน้าตกตะลึง
บนท้องฟ้า เห็นเพียงแต่ลำแสงแสงสีทองที่โอรสสวรรค์สามตาปล่อยออกมาถูกตัดทะลุจนแตกกระจาย
อ้าก!
โอรสสวรรค์สามตาถอยร่นไปหลายก้าวแล้วจึงถ่มเลือดลงพื้น ตื่นตระหนกตกใจแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“กลยุทธ์ไร้เทียมทานรึ? ไม่สิ! นี่มันเหมือนกับเข้าไปอยู่ภายในมรดกต่างแดนเลยทีเดียว…”
“โอรสสวรรค์สามตา หากยังไม่ยอมแสดงทักษะที่แท้จริงออกมา เจ้าจะไม่เหลือโอกาสอีกแล้ว” หยูเทียนฮ่าวแค่นยิ้มออกมา
โอรสสวรรค์สามตาสูดหายใจลึก สีหน้ามีแววหนักใจ ก่อนจะประลองเขาคิดว่าหยูเทียนฮ่าวน่าจะด้อยกว่าจ้าวเฟิงอยู่บ้าง เนื่องด้วยฝั่งตรงข้ามไม่ได้มีสายเลือดดวงตาที่แปลกประหลาด จึงคิดว่าตนเองมีโอกาสชนะอยู่ค่อนข้างมาก
แต่เมื่อได้ประลองกันจริงๆ แล้ว โอรสสวรรค์สามตาถึงได้เข้าใจว่าหยูเทียนฮ่าวและตระกูลหยูช่างน่ากลัวเสียจริง ไม่ประหลาดใจเลยที่คนรุ่นบิดาล้วนแต่ตายอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนตระกูลหยู
แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งเช่นจ้าวเฟิงก็ไม่อาจเอาชนะหยูเทียนฮ่าวในงานชุมนุมเซียนมังกรได้
“สามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงอีกาทองเผาโลกา!”
ดวงตาที่สามบนหน้าผากของโอรสสวรรค์สามตาเปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์
ตูม!
เปลวไฟสีทองสามดวงรูปอีกาทองเปลี่ยนร่างเป็นแสงแรงกล้าพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้า หมายจะทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า
ไอร้อนที่มีอานุภาพรุนแรงพุ่งผ่านในอากาศ เผาแม้แต่มวลอากาศที่แสงนั้นวิ่งผ่านไป
ในชั่วขณะนั้นเอง สามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ของโอรสเทพสวรรค์สามตาถูกกระตุ้นไปถึงขั้นสูงสุดแล้ว โดยแบ่งวิญญาณและกายเนื้อออกจากกันเพื่อจะเผาผลาญทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก
“ฮ่าฮ่า! นี่ค่อยดูได้หน่อย”
หยูเทียนฮ่าวหัวเราะเสียงดังแล้วฟาดมืออีกครั้ง
ฝ่ามือไร้เทียมทาน!
สิ่งที่เห็นมีเพียงลำแสงเจิดจ้าลึกลับรูปมือขนาดใหญ่ที่มีเกล็ดน้ำแข็งล้อมรอบ เหมือนกับมันกลืนกินบริเวณท้องฟ้าไปจนหมดสิ้น
ตูม! ลำแสงรูปมือนั้นกระทบกับพลังไอสวรรค์ของฟ้าดิน แรงสั่นสะเทือนกระจายออกเป็นวงกว้าง พลังนั้นสะเทือนฟ้าอย่างรุนแรง ในทุกที่ที่พลังพัดผ่านทุกอย่างล้วนแต่แหลกละเอียด
“สวรรค์…”
เหล่ายอดฝีมือในเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางแทบหยุดหายใจ หัวใจเต้นรัวอย่างรุนแรง
บริเวณรอบรัศมีหลายลี้เหมือนกับโดนฝ่ามือไร้เทียมทานนั้นกลืนกินเดือนดาวและตะวันลงไป ทำให้ทุกอย่างมืดลงราวอับแสง
โอรสสวรรค์สามตาโดนพลังยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตขนาดนั้นฟาดใส่ ก็รู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนด้อยนัก ต่อให้เป็นท่านพ่อหรือผู้อาวุโสในตระกูลก็มิเคยทำให้เขารู้สึกกดดันมากเช่นนี้
ไม่ว่าสามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์จะเคยทำลายสรรพสิ่งมาอย่างไร แต่การโจมตีของเขาราวกับพุ่งผ่านเข้าไปในภูเขาใหญ่ที่ไร้ขอบเขต แล้วโดนพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าปัดป้องออกจนแหลกลาญสิ้น
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ ฝ่ามือนั้นของหยูเทียนฮ่าวมีพลังที่แข็งแกร่งยากจะหาคำบรรยายได้ สามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ของโอรสสวรรค์สามตาที่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ล้วนถูกทำลายจนสลายหายไปด้วยไม่อาจต้านทาน
ตุบ…
เบื้องหน้าลำแสงสีสว่างที่มีเกล็ดน้ำแข็งล้อมรอบ โอรสวรรค์สามตามิอาจต้านรับได้ไหว จึงโดนพลังกระแทกออกไป
เพล้ง! พลั่ก! อึก!
เขากระเด็นตัวหมุนเคว้งในอากาศ จากนั้นกระอักเลือดออกมา ทั่วทั้งร่างเจ็บปวดเหลือประมาณเหมือนร่างจะแตกสลาย
“นี่เป็นพลังที่คนขั้นผู้สูงศักดิ์มีได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกตนจนใกล้จะทะลวงไปถึงขั้นนายเหนือขั้นแท้แล้วก็ตาม แต่ว่าขอบเขตพลังกับสำนึกรู้ในจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ผู้มีความสามารถระดับขั้นผู้สูงศักดิ์เท่านั้นจึงจะทำเช่นนี้ได้….”
ภายในจิตใจของโอรสสวรรค์สามตาสั่นระรัว
ความแตกต่างด้านการฝึกตนของทั้งสองไม่ถึงกับว่ามากนัก แต่ฝ่ามือไร้เทียมทานของหยูเทียนฮ่าวเมื่อปะทะกับเคล็ดวิชาสามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ของเขาแล้ว กลับเป็นว่าตัวเขาพ่ายแพ้จนกลิ้งหลุนๆ ไปไกลหลายร้อยจั้ง
โอรสสวรรค์สามตาฝืนตัวยันร่างขึ้น ใบหน้าซีดเผือด แม้แต่สายเลือดเนตรเซียนยังโดนพลังบางอย่างโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าไม่ใช่คู่ฝีมือของข้า ต่อให้เป็นช่วงที่เจ้ารุ่งโรจน์ที่สุดก็เถอะ” หยูเทียนฮ่าวลดมือลงช้าๆ
เห็นได้ชัดว่าเขามองออกว่าเกิดความเสียหายขึ้นกับไอสวรรค์และสายเลือดดวงตาของโอรสสวรรค์สามตา ถึงขนาดที่ว่าอาจมีอาการบาดเจ็บที่มองไม่เห็นยังไม่ฟื้นคืนกำลังดี
เนื่องจากครึ่งเดือนก่อนจ้าวเฟิงได้ประลองกับโอรสสวรรค์สามตา ฝ่ายหลังได้รับบาดเจ็บมาก็ไม่ใช่น้อย
“หรือว่าเจ้าใช้สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทานในตำนานได้แล้วงั้นรึ?” โอรสสวรรค์สามตาสูดหายใจลึก
“สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทาน? ข้าจะใช้พลังนั้นก็ต่อเมื่อได้พบกับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือมากกว่าข้า และเจ้าไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น”
หยูเทียนฮ่าวยิ้มเยาะแล้วแหวกอากาศบินจากไปอย่างผู้ชนะ
ทั้งร่างกายและจิตใจของโอรสสวรรค์สามตาสั่นไหวอย่างรุนแรง ความรู้สึกทั้งหลายทั้งอับอาย เสียหน้าหรือโกรธแค้นต่างประเดประดังเข้ามา ทำให้สีหน้าเต็มไปด้วยความหมองหม่น
หยูเทียนฮ่าวชนะเขาโดยถือไพ่เหนือกว่า
เขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบและน่าอับอายที่สุด!
การต่อสู้ครั้งนี้ต่างจากยามที่สู้กับจ้าวเฟิงมากนัก หยูเทียนฮ่าวผู้นี้แข็งแกร่ง เก่งกาจ เชื่อมั่นในตัวเองจนอาจจะเรียกได้ว่าหลงตัวเอง เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็ทำลายล้างทุกอย่าง แทบไม่ต้องเสียเวลากล่าวอารัมภบทใดๆ ก่อน
ส่วนจ้าวเฟิงถึงแม้ว่าจะมีจุดแข็งแกร่งเหนือกว่าคือพลังดวงตา แต่ว่าเขากลับมีทีท่า ‘ขอศึกษาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน’
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว โอรสสวรรค์สามตาชื่นชมหยูเทียนฮ่าวมากกว่า จ้าวเฟิงผู้นั้น! มันเป็นก็แค่หัวขโมยที่สกปรกและน่ารังเกียจ!
เมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยาง
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายในเมืองมองหยูเทียนฮ่าวผู้มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งองอาจบินจากไป หัวใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว ในชั่วขณะนั้น คนทั้งหมดนั้นล้วนตระหนักได้ว่ายุคสมัยของโอรสสวรรค์สามตาได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
ยุคสมัยนี้เป็นรัชสมัยของราชาแห่งผู้ถูกเลือกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง
“หยูเทียนฮ่าวจะต้องไปตามหาจ้าวเฟิงเพื่อท้าประลองแน่แล้ว”
“ราชาแห่งผู้ถูกเลือกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหลายสิบยุคสมัย ผู้ใดถึงจะเป็นราชันย์ที่แท้จริง?”
ผู้คนบนกำแพงเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางแอบเกิดความตื่นเต้นและความคาดหวังเล็กๆ
“จินหยางเฉิงเทียน ไม่คิดเลยนะว่า ‘ทวีปบุปผาคราม’ ของเจ้าจะมีอัจฉริยะที่น่ากลัวเช่นนี้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะเซียนมังกรระดับหัวกะทิใน ‘สามตำหนักเซียน’ ก็คงไม่เก่งไปกว่าคนผู้นี้”
ชายวัยรุ่นคิ้วเข้มปรากฏตัวข้างกายโอรสสวรรค์สามตา
โอรสสวรรค์สามตาไม่ตอบ แต่นั่นคือการยอมรับกลาย ๆ
“อัจฉริยะเช่นทั้งสองคนนี้ หากแนะนำไปให้ ‘สามตำหนักเซียน’ ก็ถือว่าเป็นความชอบไม่น้อย” ชายคิ้วเข้มคนเดิมเอ่ยต่อโดยมีท่าทีของความตื่นเต้นอยู่บ้าง
“แนะนำให้พวกเขาไปสามตำหนักเซียนงั้นหรือ? ไม่มีทาง! ไม่ได้เด็ดขาด!” โอรสสวรรค์สามตาเอ่ยเสียงต่ำ
“จินหยางเฉิงเทียน นี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะได้ทำคุณงามความดีครั้งใหญ่เลยนะ หากมีการตบรางวัลให้สำนักล่ะก็ ทั้งข้าและเจ้าอาจจะได้โอกาสครั้งใหม่เพราะความดีครั้งนี้”
ชายหนุ่มคิ้วเข้มไม่พอใจเล็กน้อย
“อันดับแรก หยูเทียนฮ่าวผู้นั้นไม่มีทางเข้าร่วมกับสามตำหนักเซียนได้ คนตระกูลหยูมีความสัมพันธ์เบื้องหลังอันลึกซึ้งกับพวกต่างแดน ยิ่งคนผู้นี้คืออัจฉริยะระดับหัวกะทิยิ่งไม่มีวันที่จะส่งไปยังสามตำหนักเซียน หากว่าข้าทายไม่ผิดล่ะก็ ที่หยูเทียนฮ่าวรีบเร่งจะประลองกับจ้าวเฟิง น่าจะเพราะไม่นานหลังจากนี้เขาจะออกจากทวีปบุปผาครามรุดหน้าไปต่างแดน เขาอาจจะเก่งกล้ายิ่งกว่าสามตำหนักเซียนด้วยซ้ำ” โอรสสวรรค์สามตาอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ผู้อ่อนวัยกว่าไม่แปลกใจ ในเมื่ออาณาเขตต่างแดนกว้างใหญ่ ยังมีอาณาจักรต่างๆ อีกมากมาย ทวีปบุปผาครามก็เป็นเพียงแค่เมล็ดงาเม็ดเล็กเท่านั้น
“แต่ว่าจ้าวเฟิงผู้นี้ ปูมหลังของเขาคงไม่มีสายสัมพันธ์เช่นนี้แน่” ชายอ่อนวัยคิ้วเข้มยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ
“เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้! ถ้าหากเจ้าหัวขโมยสกปรกคนนั้นเข้าร่วมสามตำหนักเซียน พวกเราตระกูลจินหยางจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเหล่าสำนักอื่น…”
โอรสสวรรค์สามตาเกือบจะหลุดปากไปแล้วว่าหากให้จ้าวเฟิงเข้าร่วมสามตำหนักเซียน สายเลือดเนตรเซียนของเขาก็จะไม่เป็นที่พูดถึงอีกต่อไป ทุกอย่างของเขาจะอยู่เพียงในเงาของจ้าวเฟิง
หลายเดือนหลังจากนั้น
อาณาจักรนภา ณ สาขาหลักของลัทธิโลหะเลือด
ฟิ้ว!
เงาสายฟ้าบินมาอย่างรวดเร็ว ข้ามขอบฟ้ามาแล้วร่อนลง ณ สาขาหลัก
“ข้ากลับมาแล้ว”
ผู้มาเยือนคือชายหนุ่มผมสีน้ำเงิน จ้าวเฟิงนั่นเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ การที่ได้พูดคุยกับคนในระดับผู้สูงศักดิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสลัทธิมารจันทราชาดอย่างใกล้ชิด ความหวาดเสียวเช่นนั้นทำให้เขายังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย
ยังดีที่ระหว่างทางกลับมาเขาตรวจสอบจนรู้แน่ชัดว่าไม่โดนผู้ใดติดตาม
ในตอนนี้กลับมาที่ลัทธิโลหะเลือดเขาก็วางใจได้ เพราะที่นี่ก็มีผู้สูงศักดิ์อยู่เช่นกัน