บทที่ 521 ระวังรอบคอบ
ภายใต้แสงอาทิตย์
ป่าทึบผืนนั้นราวกับโดนพลังบางอย่างทำให้แสงแดดหักเหออกไปทิศทางอื่นจนหมดสิ้น ทำให้ที่แห่งนั้นมืดมิดเหมือนม่านราตรีขยายออกไป
กลางอากาศเหนือป่า
ร่างกายของผู้นำตระกูลจินหยางกับผู้อาวุโสหมวกฟางกระเสือกกระสนราวกับปลาหนีชิว[1]ที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด
ฟุ่บ ฟุ่บ!
ในความมืดมิดมีเงามีดเยียบเย็นสองเล่มพุ่งทะลุร่างของทั้งสองอย่างแม่นยำ
เดิมทีผู้นำตระกูลจินหยางไม่มีทางจะหลบหลีกและโต้กลับใบมีดนั้นได้อยู่แล้ว เงามีดจึงพุ่งแม่นยำไปยังหัวใจ หมดโอกาสรอดชีวิต
“เจ้า….”
ผู้นำตระกูลจินหยางยังพยายามเงยหัวขึ้น ทำได้เพียงฝืนตัวเองจนได้เห็นรูปร่างของผู้อาวุโสจี้ซาก็เท่านั้น
พรวด!
เขาล้มตัวลงในกองเลือด ความรู้สึกหวาดกลัวปนความประหลาดใจและไม่ยินยอมเด่นชัดในนัยน์ตาที่เบิกโพลง จู่ๆ โดนสังหารโดยไม่รู้ตัว ผู้นำตระกูลจินหยางจะรู้สึกคับแค้นใจเพียงใด? ขนาดก่อนจะตายเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายมีนามว่าอย่างไร?
ทางด้านของผู้อาวุโสหมวกฟางสามารถขยับร่างกายได้เพียงครึ่งร่างเท่านั้น เงาใบมีดยังคงปักทรวงอกทะลุผ่านหัวใจ
“ผู้สูงศักดิ์ที่ใช้วิชาเงาสังหาร หรือว่า…ท่านคือมือสังหารเงาจี้ซาผู้นั้น?” ใบหน้าของผู้อาวุโสหมวกฟางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด เมื่อยามไอจึงมีเลือดกระฉูดออกมา
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเงยหน้าขึ้นมอง ‘เงามงกุฎ’ ของผู้ลงมือสังหารตน
อีกฝั่งหนึ่ง จ้าวเฟิงซึ่งยืนอยู่ที่เดิมพยายามระงับความรู้สึกหนาวยะเยือกในอก”นี่น่ะหรือคือพลังของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมิใช่ว่าจ้าวเฟิงไม่เคยเห็น
ในโรงประมูลเฉิงหลงของอาณาจักรในคราวก่อนหรืองานชุมนุมเซียนมังกรหลังจากนั้น เขายังได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้สูงศักดิ์มาแล้ว
จ้าวลัทธิโลหะเลือดก็ถือว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเช่นเดียวกัน
แต่การที่ได้เห็นพลังของคนระดับผู้สูงศักดิ์อย่างแท้จริง นี่นับได้ว่าเป็นครั้งแรก
“พลังของผู้นำตระกูลจินหยางเป็นคู่ต่อสู้ของระดับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นกำเนิดได้อย่างแน่นอน แล้ว ไหนจะยังผู้อาวุโสหมวกฟางที่แข็งแกร่งกว่าและยังมีสายเลือดดวงตา หากตอนนี้ข้าต้องรับมือกับคนทั้งสองคงลำบากไม่ใช่น้อย…”
เวลาผ่านไปซักพักใจของจ้าวเฟิงจึงสงบลงได้
เดิมเขาคิดว่ากำลังรบของเขารับมือคนในระดับต่ำกว่าระดับผู้สูงศักดิ์ได้สบายๆ ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้อยู่ขั้นขอบเขตแก่นกำเนิดก็น่าจะรับมือได้ไม่มากก็น้อย
ทว่าตอนนี้ดูๆ แล้วการคาดคะเนของเขาเหมือนว่าจะ ‘คลาดเคลื่อน’ ไปเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสจี้ซาท่านนี้ มิใช่ผู้สูงศักดิ์ธรรมดา ที่เขาฝึกนั้นเป็นวิชาเงาสังหารที่พิสดารนัก! ยามอยู่ที่ลัทธิมารจันทราชาด เขารับผิดชอบลอบสังหารยอดฝีมืออันดับต้นๆ จำนวนหนึ่งในทวีป เหล่าผู้สูงศักดิ์ที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็ไม่น้อย
ครั้งหนึ่งในช่วงยุคที่รุ่งเรืองที่สุด เขาเคยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลอบล้อมสังหารมือดาบเย่อู๋เสีย ซึ่งเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว”
เสียงของเจ้าหอโครงกระดูกดังขึ้นในหัวเขา
วิชาเงาสังหาร
จ้าวเฟิงรู้สึกเย็นเฉียบไปถึงขั้วหัวใจ ที่แท้ผู้อาวุโสจี้ซาท่านนี้มิใช่ระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดา แต่เป็นผู้สูงศักดิ์ที่เชี่ยวชาญในวิชาลอบสังหารเป็นอย่างยิ่ง
มิน่าสายเลือดเนตรเซียนของผู้นำตระกูลจินหยางจึงมิอาจรู้สึกถึงผู้อาวุโสจี้ซาซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ หนักไปกว่านั้นคนทั้งสองถูกหั่นเป็นชิ้นง่ายดายราวหั่นผักทีเดียว
“ผู้อาวุโสจี้ซา คิดไม่ถึงเลยว่าท่านฟื้นพลังเหมือนในอดีตแล้ว จัดการเจ้ากุ้งฝอยสองตัวนี้ได้ว่องไวเสียจริง”
จ้าวเฟิงพูดเรื่อยๆ ไม่ได้แสดงความประหลาดใจใดๆ ออกมา
กุ้งฝอยสองตัว?
สตรีในชุดคลุมด้านข้างได้ยินแล้วประหลาดใจ ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
หนึ่งในคนที่ถูกฆ่าเป็นถึงผู้นำตระกูลสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป ส่วนอีกคนมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจินหยาง พลังนับว่าอยู่เหนือขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมากมาย
แน่นอนว่าจ้าวเฟิงเอาแต่ยืนพูดไม่ลำบากอะไร หากต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งสองจริงๆ เขาอาจจะหนีไปไวยิ่งกว่ากระต่ายก็เป็นได้
“เจ้าหอโบราณ หากท่านได้ฟื้นคืนพลังสูงสุดมา เคล็ดวิชาทั้งหลายแหล่ก็คงไม่ด้อยไปกว่าข้า”
ผู้อาวุโสจี้ซามิได้ประหลาดใจอะไร และมิได้รู้สึกถึงความจองหองในคำพูดของจ้าวเฟิงด้วย
“เจ้าหอโบราณ! ที่แท้แล้วเจ้าคือ…” ทั้งใจและกายของผู้อาวุโสหมวกฟางสั่นไหวอย่างรุนแรงเสียจนพูดไม่ออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ ขมขื่น และเสียใจภายหลัง
หากทั้งสองคนได้รู้ว่าคนที่พวกตนตามฆ่าคือเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาดในกาลก่อน เกรงว่าหากมอบความกล้าให้อีกสักร้อยเท่าพวกเขาก็ไม่กล้าคิดเช่นนี้
อึก!
ผู้อาวุโสหมวกฟางทนพิษบาดแผลได้ไม่เท่าไหร่ก็สิ้นลมหายใจไป
ผู้อาวุโสจี้ซาชำนาญศาสตร์ด้านการฆ่า ถึงแม้ว่าไม่ได้เล็งไปยังจุดตาย แต่การฆ่าคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก
เวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น
ผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางล้วนแต่ล้มลงจมกองเลือดตามกันไป
ไม่มีผู้ใดเห็นแน่ชัดถึงวิธีการที่พวกเขาโดนปลิดชีพรวมถึงการลงมือของผู้อาวุโสจี้ซา
จ้าวเฟิงเองก็ไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ
ครืน!
เงามืดที่คลุมอยู่เหนือบริเวณนั้นหดกลับไปอย่างฉับพลัน เหลือก็เพียงแต่ผู้อาวุโสจี้ซาที่อยู่ในเงามืดคดโค้ง”จ้าวหอโบราณ ท่านไปยั่วโมโหอะไรผู้นำตระกูลจินหยางกัน ข้าพอได้ยินข่าวคราวทั้งหลายแหล่มา ท่านกำลังรับผิดชอบดูแลเขตหนึ่งในแดนเหนืออยู่งั้นรึ…”
ผู้อาวุโสจี้ซาร่อนลงข้างกายของจ้าวเฟิง
เมื่อได้สัมผัสผู้อาวุโสจี้ซาในระยะใกล้ๆ เช่นนี้ ความรู้สึกเย็นจับขั้วหัวใจก็ตีขึ้นมาในใจของชายหนุ่ม
สถานการณ์ในตอนนี้ของเขาราวกับเดินอยู่บนเส้นเหล็กที่พาดระหว่างเหวสูง
ถึงแม้ว่าก่อนเกิดเรื่อง จ้าวเฟิงได้คาดการณ์ไว้ว่าผู้ที่สะกดรอยตามเขามาอาจเป็นถึงระดับผู้สูงศักดิ์ แต่ทว่าผู้อาวุโสจี้ซาคนนี้มิใช่ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาๆ เขาเชี่ยวชาญในวิชาลอบสังหารเป็นอย่างมาก อยู่ต่อหน้าคนเช่นเขาโอกาสจะโต้กลับอาจไม่มีด้วยซ้ำ
ในสถานการณ์เช่นนี้เขายิ่งมิอาจแสดงความตื่นตกใจ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนจับได้
ในเวลาเดียวกันเขาก็เตือนเจ้าหอโครงกระดูก หากเกิดความผิดพลาดใดขึ้น เพียงความนึกคิดเดียวของเขาก็ทำให้เจ้าหอจบลงที่ความตายได้
เจ้าหอโครงกระดูกเองย่อมรู้ดีว่าความเร็วที่จ้าวเฟิงจะลงมือฆ่าเขาเร็วยิ่งกว่าความเร็วที่ผู้อาวุโสจี้ซาจะปลิดชีพจ้าวเฟิงเสียอีก
“สถานการณ์ที่แดนเหนือไม่ได้น่าพิสมัยนัก…”
จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างขมขื่น เลือกพูดเรื่องราวจากที่เจ้าหอโครงกระดูกเล่าให้เขาฟัง และพยายามใช้ประโยคทั่วไปที่แสนจะกำกวม
“ข้าดูแลทวีปกลางอยู่ ทางนี้เผชิญแรงกดดันหนักกว่ามาก”
ผู้อาวุโสจี้ซาส่ายหัวน้อยๆ
จากจุดนี้เองทำให้จ้าวเฟิงเข้าใจอะไรบางอย่าง
ที่แท้ในแผนการที่วางไว้ของ ‘ลัทธิมารจันทราชาด’ วางจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ที่ทวีปกลาง จึงทำให้ยอดฝีมือจำนวนมากคอยคุมเชิงอยู่ที่นั่น
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เพื่อสร้างขุมกำลังที่แข็งแกร่งให้เป็นสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์!
“จริงสิ อาณาจักรหนึ่งใกล้ๆ นี้มีเจ้าหอท่านหนึ่งที่ท่านรู้จัก อยากพบหน้าหรือไม่ ท่านจ้าวลัทธิเองก็อยู่ในทวีปกลางนี้ ไม่นานนักก็จะกลับออกมาแล้ว”
คำพูดต่อมาของผู้อาวุโสจี้ซาทำให้ใจของจ้าวเฟิงเต้นระทึก
หากเขาไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียวอาจจะตกเข้าไปอยู่ในใจกลาง ‘ลัทธิมารจันทราชาด’ ก็เป็นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่า ‘จ้าวลัทธิมารจันทราชาด’ อยู่ในทวีปกลางเช่นกัน อีกทั้งยังมีโอกาสได้พบปะด้วย จ้าวเฟิงแทบเอนเอียงอยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วเผ่นหนีไป
โชคยังดีที่พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งมากพอที่จะควบคุมไม่ให้ตนเองลุกลี้ลุกลน เพราะเขาไม่มีหนทางหนีได้ในทันที
“อืม ข้าเองก็อยากไปพบกับท่านจ้าวลัทธิ เพียงแต่ว่าทางฝั่งแดนเหนือยังมีเรื่องยุ่งยากอยู่ หากไม่รีบจัดการให้เรียบร้อยโดยไวอาจมีปัญหาตามมา อีกทั้งข้ายังต้องใช้เวลารีบฟื้นพลังกลับมาดังเดิมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้น”
จ้าวเฟิงไม่แสดงสีหน้าอะไร การโน้มน้าวให้เขาอยู่ที่นี่ของผู้อาวุโสจี้ซาล้วนแต่ถูกเขาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
“ช่างเถอะ ท่านยึดเอางานใหญ่เป็นหลักก็ถือว่าไม่ผิดนัก” ผู้อาวุโสจี้ซาไม่ได้บีบบังคับอะไรอีก
จากนั้น ผู้นำหลักของลัทธิมารจันทราชาดทั้งสองได้พูดคุยเรื่องลับต่างๆ ภายในป่ามืดมิดแห่งนี้ ก่อนจะแยกย้ายสลายตัว
ตลอดช่วงเวลานั้นจ้าวเฟิงได้แต่คุยอย่างระมัดระวังและสงวนท่าที
หากเขามี ‘โล่มังกรหยก’ อาวุธอานุภาพร้ายแรงอยู่ในมือล่ะก็ แน่นอนว่าจะไม่มีทางทำตามแผนเช่นนี้ง่ายๆ แน่
ครึ่งเดือนจากนั้น ณ เมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยาง
พรึบ!
พลังบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายรูปลักษณ์ได้ปกคลุมอยู่เหนือเมฆ ลอยอยู่เหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยาง
นั่นผู้ใดกัน!
นายทหารเวรผู้อยู่บนกำแพงเมืองสัมผัสได้ถึงแสงสว่างจ้าซึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า
แสงสว่างเจิดจ้านั้นราวกับสว่างทั่วไปทั้งท้องฟ้า จู่โจมไปจนถึงจิตวิญญาณของผู้พบเห็น
“จ้าวเฟิงอยู่หรือไม่?”
ผู้มาเยือนคือคนหนุ่มเรือนผมสีดำสนิท ดวงตาสีดำดิ่งลึกราวหลุมดำ
เด็กหนุ่มผู้นั้นยืนเอามือไขว้หลัง ทุกอากัปกริยาของเขาให้ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด พลังพุ่งทะลุจิตใจจนผู้คนไม่อาจมองที่ร่างเขาตรงๆ ได้
จ้าวเฟิง?
เหล่ายอดฝีมือต่างๆ ทั้งบนกำแพงและภายในเมืองจินหยางล้วนแต่ตื่นตกใจ
เด็กวัยรุ่นผู้ที่พึ่งมาเยือนมีไอแข็งแกร่งนัก ทั้งความเชื่อมั่นในตัวเองและความแข็งแกร่งราวกับจะพุ่งทะลุทำลายทุกอย่าง
“เป็นเขานี่เอง หยูเทียนฮ่าว!” ไม่รู้ใครในฝูงชนตะโกนเสียงตื่นตระหนกบอกตัวตนของเด็กหนุ่มผมดำ
เมื่อสิ้นเสียงตะโกน เมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางก็เต็มไปด้วยความโกลาหลอย่างรวดเร็ว
“ที่แท้ก็เป็นเขา! ราชันย์แห่งผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีปนี่”
“ครึ่งเดือนก่อนฝันร้ายเพิ่งจากไป ตอนนี้กลับเพิ่มมาอีกคนแล้ว”
สมาชิกของตระกูลจินหยางทั้งบนและล่างล้วนแต่รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง
ครึ่งเดือนก่อน
จ้าวเฟิงจัดการเก็บกวาดคนที่งานน้ำชาเซียนมังกร เอาชนะโอรสสวรรค์สามตา และแย่งชิงเอาสมญานามสายเลือดดวงตาผู้แข็งแกร่งที่สุดในทวีป นี่นับได้ว่าเป็นการโจมตีครั้งใหญ่สำหรับบ้านสกุลจินหยางอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วตอนนี้มีผู้ที่มีฉายาราชาแห่งผู้ถูกเลือกเหมือนกับจ้าวเฟิงมาเยือนอีกคน นั่นคือหยูเทียนฮ่าว!
หากจะนับตามชื่อเสียง ก่อนงานเลี้ยงน้ำชาหยูเทียนฮ่าวยังถือว่าเหนือกว่าจ้าวเฟิง เพราะงานประลองงานชุมนุมเซียนมังกรในครั้งก่อนหยูเทียนฮ่าวคือที่หนึ่ง
ต่อให้เป็นงานชุมนุมเซียนมังกรเมื่อเร็วๆ นี้ จ้าวเฟิงก็ไม่อาจมีชัยชนะเหนือหยูเทียนฮ่าว
“หยูเทียนฮ่าว งานน้ำชาเซียนมังกรได้จบลงแล้ว” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองดังมาจากในเมืองจินหยาง
เคว้ง! ชายวัยรุ่นเรือนผมสีทองซึ่งบนหน้าผากมีดวงตาที่ปิดอยู่และแบกดาบใหญ่ไว้ด้านหลังปรากฏกายกลางอากาศ
ผู้มาใหม่คือโอรสสวรรค์สามตานั่นเอง
การพ่ายแพ้ในครั้งก่อนทำให้โอรสสวรรค์สามตาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก คนทั้งเมืองล้วนแต่ไม่มีใครกล้าทำให้เขาโมโห จนถึงตอนนี้ จำนวนคนที่ตายเพราะความพิโรธของโอรสสวรรค์สามตาน่าจะเกินสิบกว่าคนได้แล้ว
เพราะเหตุนี้ เมื่อโอรสสวรรค์สามตาสามตาปรากฏกายขึ้น กลุ่มคนผู้อยู่ใกล้กำแพงเมืองจึงเงียบกริบกันหมด ด้วยกลัวว่าจะทำอะไรผิดแล้วพลาดไปทำให้โอรสสวรรค์โกรธกริ้ว
เมื่อโอรสสวรรค์สามตาเห็นหยูเทียนฮ่าว สีหน้าย่อมไม่ดีนัก
งานน้ำชาเซียนมังกรครั้งนี้ เดิมทีเขาปักอกปักใจเชื่อว่าคู่ต่อที่คู่ควรกับเขาเพียงคนเดียวนั่นคือหยูเทียนฮ่าว คิดไม่ถึงเลยว่าในที่สุดฝ่ายตรงข้ามจะไม่มาเข้าร่วมประลอง
ท้ายที่สุดโอรสสวรรค์สามตาประลองแพ้แแบบอเนจอนาถ บิดาไปที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ได้ ในใจจึงรู้สึกคับแค้นหดหู่จนยากจะเอ่ย
“เจ้าก็คือโอรสสวรรค์สามตางั้นสิ”
สายตาของหยูเทียนฮ่าวเป็นประกายขึ้นมา เหมือนกับว่ารู้จักชื่อเสียงเรียงนามอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
โอรสสวรรค์สามตาใจเย็นลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้จักเขา แล้วจึงแค่นเสียงเอ่ยไปว่า”หยูเทียนฮ่าว คนในงานน้ำชาเซียนมังกรจากไปนานจนชาเย็นชืดแล้ว เจ้ามายังเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยางทำไมในตอนนี้ หรือเป็นเพราะคิดว่าข้าจินหยางเฉิงเทียนรังแกได้ง่าย จึงจะท้าประลองกับข้าต่อจากจ้าวเฟิงนั่น?”
“ไม่ใช่!”
หยูเทียนฮ่าวสั่นศีรษะแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“งานน้ำชาเซียนมังกรรึ? น่าเบื่อจริง! ข้ามาเพื่อพบจ้าวเฟิง… เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรเพียงคนเดียวของข้า”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว อารมณ์ที่พึ่งจะเย็นลงของโอรสสวรรค์สามตาก็เกือบจะกลับมาคุกรุ่นอีกรอบ
เหลวไหลเสียจริง!
จองหองยิ่งนัก!
ราชาแห่งผู้ถูกเลือกทั้งสองแห่งโลกยามนี้ จ้าวเฟิงมาที่เมืองจินหยางเพื่อ ‘ศึกษาอย่างถ่อมตน’ ส่วนชายผู้นี้ก็จองหองเย่อหยิ่งเสียเหลือเกิน
“มีใครรู้บ้างว่าตอนนี้จ้าวเฟิงอยู่ที่ไหน?” หยูเทียนฮ่าวมองฝูงชนอย่างเย็นชา
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าตอบเขา คนทั้งหลายทั้งมวลล้วนแต่กลัวเดือดร้อนเพราะเพลิงพิโรธของโอรสสวรรค์สามตาทำให้เดือดร้อน
หยูเทียนฮ่าวหมุนตัวจากไปอย่างไร้เยื่อใยพลางเอ่ยกับตัวเองว่า”เช่นนั้นข้าจะไปที่อาณาจักรนภา”
[1] ปลาหนีชิว คือปลาชนิดหนึ่งที่มีลำตัวเรียวยาว ลักษณะคล้ายปลาดุกหรือปลาช่อน