Skip to content

King of Gods 542

King Of Gods

บทที่ 542 เมล็ดเถาวัลย์มาร

การเปลี่ยนท่าทีของจ้าวเฟิงทำให้เหล่ายอดฝีมือของสามสำนักที่อยู่ ณ โลกภายนอกเกิดตื่นตระหนก

“หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะอับจนหนทางแล้วจริงๆ”

“เหอะเหอะ ค่ายกลหุ่นเชิดศพคงทนต่อไปได้ไม่เท่าไหร่ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ราชาเถาวัลย์มารจะเติบโตไปจนถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทะเลเถาวัลย์จะขยายรัศมีกว้างกว่าสิบลี้…”

ในสายตาของฝูงชน จ้าวเฟิงดูเหมือนรับรู้ถึงความพ่ายแพ้ที่กำลังคืบคลานมาจึงถอยหนี เลิกสนใจค่ายกลหุ่นเชิดศพ และในมือของเขาไม่มีสัตว์อสูรให้ควบคุมอีกแล้ว

แต่ในความเป็นจริง ยามที่จ้าวเฟิงไปถึงบนร่างของหอคอยพฤกษาปีศาจ สีหน้าของลู่เทียนอี้ เย่เหยียนหยู จงหว่านเอ๋อร์ ชื่อกุ้ยและเหล่าอัจฉริยะระดับหัวกะทิของสามสำนักก็เปลี่ยนไปในทันที

ในคราวก่อนจ้าวเฟิงร่วมมือกับหอคอยพฤกษาปีศาจ เงาอันแข็งแกร่งที่พวกเขาไม่อาจจะชนะได้เลยยังคงตราตรึงอยู่ในครรลองสายตา แล้วในวันนี้จ้าวเฟิงได้ร่อนลง ณ กิ่งก้านของหอคอยพฤกษาปีศาจอีกครั้ง เงาของสิ่งอื่นที่อยู่เบื้องหน้าของพฤกษาปีศาจก็เหมือนจะเล็กนิดเดียว

“เจ้ามนุษย์ เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?” หอคอยพฤกษาปีศาจไม่กล้าประมาทในเจ้ามนุษย์ผู้นี้

“เวลามีไม่มากแล้ว ข้าต้องการให้ท่านใช้ ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ ช่วยเหลือข้าจัดการราชาเถาวัลย์มาร”

น้ำเสียงจ้าวเฟิงร้อนรนอยู่หลายส่วน ด้วยสถานการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทางฝั่งเจ้าหอโครงกระดูกน่าจะทนได้ไม่เท่าไหร่แล้ว

ทันทีที่ค่ายกลหุ่นเชิดศพสลาย ราชาเถาวัลย์มารคงจะทะลวงถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แล้วซากปรักหักพังสือเฉิงก็จะหมดหนทางยับยั้งการเติบโตของทะเลเถาวัลย์

“จ้าวเฟิง! ข้าน่าจะยื้อไว้ได้ไม่กี่สิบช่วงลมหายใจแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยปากบอกอย่างร้อนรน

สิบช่วงลมหายใจ!

ในใจของจ้าวเฟิงชาวาบ แม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงที่ซ่อนกายอยู่เบื้องหลังยังสัมผัสได้ถึงความกดดันที่ก่อตัวขึ้น หรือจะพูดอีกอย่างคือเวลาที่จ้าวเฟิงเหลืออยู่มีเพียงไม่กี่สิบลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

“หลอมรวม!” ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปล่อยพลังดวงตาหลั่งไหลออกมาราวกับเป็นสายน้ำลึกที่ไร้ก้นบึ้ง ปลดปล่อยกลิ่นอายจิตวิญญาณ แล้วจึงทะลวงไปในอากาศ

วิ้ง~

แก่นแท้จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ไร้ขอบเขตจากกิ่งก้านค่อยๆ ไหลรวมเข้าสู่ดวงวิญญาณจ้าวเฟิง

เพียงครู่เดียวใจของเขากระตุกวูบ แล้วความรู้สึกชุ่มชื้นสบายใจที่ไม่ได้พบมานานก็กลับมาอีกครั้ง

เดิมพลังวิญญาณของเขาไม่ได้แตกต่างกับขั้นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมากนัก แล้วในวินาทีนี้ยังหลอมรวมกับ ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ อีก เขาจึงไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์อย่างสมบูรณ์

อีกทั้งสภาวะเช่นนี้ ประสาทสัมผัสกับระดับสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงล้วนแต่เพิ่มขึ้นเมื่อได้พลังอันยิ่งใหญ่ของหอคอยพฤกษาปีศาจ สำนึกรู้ใดๆ ที่ไม่อาจเข้าใจและเข้าไม่ถึงในอดีตก็มาสัมผัสได้ในวินาทีนี้

วี้ด หวิว~

ในวินาทีนี้ จ้าวเฟิงและหอคอยพฤกษาปีศาจราวกับเป็นศูนย์กลางการหมุนเวียนของไอสวรรค์

ไอสวรรค์ในฟ้าดินนับไม่ถ้วนทะลักออกมา พลังของขอบเขตสำนึกรู้นั้นแข็งแกร่งกว่านายเหนือแท้ธรรมดาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

“สำนึกรู้ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด!” เจ้าหอโครงกระดูกและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงต่างตื่นตะลึง

จ้าวเฟิงในขณะนั้นมีพลังวิญญาณไม่ด้อยกว่าผู้สูงศักดิ์เลย แม้แต่ระดับสำนึกรู้เองก็แทบจะพอๆ กับผู้สูงศักดิ์

ความดีความชอบนี้ต้องยกให้แก่พฤกษาปีศาจที่ทำให้พลังของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นครึ่งขั้นในระยะเวลาอันสั้นนี้

“อย่าขยับ…” จ้าวเฟิงยืนอยู่บนกิ่งก้านใบไม้ เรือนผมสีน้ำเงินโบกสะบัดรุนแรง

พลังดวงตาและพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่สามารถเขย่าฟ้าดินทะลวงไปในอากาศ แล้วปกคลุมบนร่างของราชาเถาวัลย์มาร ลำต้นขนาดใหญ่ของราชาเถาวัลย์มารบิดเบี้ยวไปมาก่อนพลันหยุดชะงัก

“หรือเขาคิดที่จะ… “ใจของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเต้นระรัว

โลกภายนอก

บนยอดเขาเทียมฟ้า บรรดายอดฝีมือของสามสำนักมีหลายคนที่สามารถมองแผนการออก

“ดูแล้วเป้าหมายของเขาน่าจะเป็นราชาเถาวัลย์มารแน่ๆ”

“ลักษณะภายนอกของราชาเถาวัลย์มารใหญ่โตนัก ในเวลานี้พลังรบก็แข็งแกร่งพอๆ กับผู้สูงศักดิ์ ต่อให้ผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริงลงมือเองก็ไม่อาจจะสังหารได้โดยง่ายดายนัก” ผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์

ในภาพเงา ร่างกายใหญ่โตของเถาวัลย์มารหยุดเคลื่อนไหว ก่อนที่จะแผ่กิ่งก้านสาขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งในทันที

“ไม่ใช่สิ! จ้าวเฟิงไม่ได้คิดจะลงมือสังหารราชาเถาวัลย์มาร!”

“หรือว่าเขาคิดที่จะ…” คนบางส่วนฉุกคิดขึ้นได้ ในใจก็พลันกระตุก

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง นัยน์ตาสีเงินของปรมาจารย์อิ๋นคงพลันสว่างวาบ

เดาได้ว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ต้องการจะลงมือสังหารราชาเถาวัลย์มาร ซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งการอยู่ในบริเวณรอยโหว่ขนาดใหญ่นั้น จ้าวเฟิงก็ไม่สามารถใช้โล่มังกรหยกได้อยู่แล้ว

“ฮ่าฮ่า จ้าวเฟิงต้องการควบคุมราชาเถาวัลย์มาร?” เสียงหัวเราะของเฉิงเยว่เซียนกูดังกึกก้องทั่วฟ้า ทำให้จิตใจผู้ที่ได้ยินแจ่มแจ้งประหนึ่งเห็นภาพมายา

ราชันย์ในขอบเขตปราณเทวะทั้งสามล้วนแต่มองเจตนาที่แท้จริงของจ้าวเฟิงออก

“เหอะเหอะ เจ้าเด็กคนนี้นับว่าบ้าดีเดือดไม่น้อย เมื่อไม่มีสัตว์อสูรให้ควบคุมอีก ก็กลับเอาราชาเถาวัลย์มารเป็นเป้าหมายไปได้” ราชันย์โครงกระดูกสีทองมีสีหน้าขบคิด

“พลังรบของราชาเถาวัลย์มารเข้าใกล้ขั้นผู้สูงศักดิ์อย่างมาก หากอยากจะควบคุมมัน พลังวิญญาณอย่างน้อยๆ ต้องอยู่ในขั้นผู้สูงศักดิ์ บวกกับขนาดของเถาวัลย์ที่มีขนาดใหญ่ มีความพิเศษบางอย่าง ถึงแม้ว่าเป็นผู้ฝึกสัตว์ระดับผู้สูงศักดิ์ จะควบคุมเจ้าเถาวัลย์นี่ก็ลำบากเอาการอยู่” ราชันย์ปราณเทวะทั้งสามยิ้มแย้ม แทบจะไม่หนักใจแต่อย่างใด

อย่างน้อยเงื่อนไขข้อแรกและข้อจำกัดที่ต่ำที่สุดคือต้องมีพลังจิตวิญญาณในขั้นผู้สูงศักดิ์ พวกเขาไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กจ้าวเฟิงที่อยู่เพียงขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะทำได้

ในตอนนั้นราวกับว่าวินาทีหนึ่งช่างยาวนานเหลือเกิน

เพราะว่าทุกอิริยาบถของราชาเถาวัลย์มารยิ่งนานยิ่งแข็งทื่อเชื่องช้า แล้วความเร็วในการเติบโตของมันก็ดูจะเชื่องช้าลงไปด้วย

หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ สามลมหายใจ…ห้าลมใจ

ราชันย์ปราณเทวะทั้งสามสีหน้าชาวาบ เงาของคนจากสามสำนักทั้งหลายหัวใจเต้นสั่นระรัว

“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร!” ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งหลายล้วนแต่มีสีหน้าคาดไม่ถึง

ในภาพเงา ราชาเถาวัลย์มารที่พลังรบอยู่ในขั้นเดียวกับผู้สูงศักดิ์หยุดการโจมตี

เมื่อครบห้าช่วงลมหายใจ บนร่างของราชาเถาวัลย์มารทมิฬมีกลิ่นอายของความ ‘นิ่งสงบ’ อบอวล

หือ? เจ้าหอโครงกระดูกพยายามรักษาค่ายกลหุ่นเชิดศพ ถึงแม้ว่าจะกินแรงเป็นอย่างมาก แต่ความรู้สึกกดดันก็เหมือนจะลดลงไปไม่น้อย

เพราะว่าราชาเถาวัลย์มารหยุดทะลวงโจมตีค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปแล้ว เหลือเถาวัลย์มารไม่กี่เส้นสายที่ยังคงโจมตีและขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ

บนกิ่งก้านสาขา ผมสีน้ำเงินของจ้าวเฟิงโบกสะบัด สีหน้าสงบลง

“ราชาเถาวัลย์มารนี้เกรี้ยวกราดกระหายเลือด เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกมารโดยแท้”

พลังจิตและดวงตาของจ้าวเฟิงได้แทรกซึมเข้าสู่สตินึกคิดของราชาเถาวัลย์มาร แต่กลับพบการสะท้อนกลับของพลังจิตวิญญาณที่น่ากลัว

ทุกเวลาทุกนาที จ้าวเฟิงยังต้องแบกรับพลังสะท้อนกลับของกลิ่นอายความกระหายเลือดซึ่งเปลืองแรงเป็นอย่างมาก

ราชาเถาวัลย์มารไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป จิตสำนึกของมันเหี้ยมโหดบ้าคลั่ง ทุกการเคลื่อนไหวเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตมาร ถึงขนาดที่ว่าไม่มีสำนึกรู้ใดๆ นำทางมันเลย

และด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงที่ต้องการจะควบคุมราชาเถาวัลย์มารจึงต้องเผชิญกับแรงต่อต้านอย่างมหาศาล

“จากพลังของข้าในตอนนี้ หากต้องการจะควบคุมสัตว์อสูรในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมีโอกาสสำเร็จห้าส่วน ความยากในการควบคุมราชาเถาวัลย์มารก็พอๆ กันเลย” จ้าวเฟิงทุ่มพลังดวงตามากขึ้น

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเขายังนับว่าพอได้เปรียบอยู่ ภายในระยะเวลาอันสั้น จ้าวเฟิงพยายามควบคุมราชาเถาวัลย์มารให้มัน ‘สงบนิ่ง’ ชั่วคราวเพื่อลดแรงกดดันของเจ้าหอโครงกระดูก เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจควบคุมมันได้อย่างแท้จริง

เนตรสวรรค์!

พลังดวงตาของจ้าวเฟิงถูกกระตุ้นไปจนเกินกว่าขีดจำกัดของอณูร่างกาย

พรึ่บ!

ในวินาทีนั้นเอง จิตสำนึกของเขาก็ก้าวกระโดดไปอยู่บนชั้นเมฆ

เห็นเพียงแต่ ‘เนตรสวรรค์’ สีฟ้าล่องลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองลงมาเบื้องล่างอย่างเฉยเมย

ในขณะที่เขาใช้ ‘เนตรสวรรค์’ พลังดวงตารวมไปถึงขอบเขตพลังก็ได้พุ่งทะลุขีดสุดของเวลาปกติที่เขาเคยมี

“ยอมแพ้ซะ!” ในชั้นของจิตวิญญาณ มีเสียงเยือกเย็นลอดเข้ามาราวกับเสียงสายฟ้าฟาด

ตูม!

ร่างกายขนาดมหึมาของราชาเถาวัลย์สั่นสะท้าน ส่วนที่เป็นเหมือนแขนขาของมันก็ราบลงไปคลานยั้วเยี้ยกับพื้น ท่าทางของมันราวกับข้าบริวารที่ศิโรราบแทบเท้าของเทพเซียนบรรพกาล

แล้วติดๆ กันในรัศมีหนึ่งลี้หรือสองลี้ของเถาวัลย์มารทมิฬ การโจมตีก็ลดน้อยลงราวกับว่ามันได้รับสัญญาณอะไรบางอย่าง

“ราชาเถาวัลย์หยุดโจมตีแล้วส่งผลไปยังเถาวัลย์มารที่อยู่รอบๆ ด้วย”

ภาระและความกดดันของเจ้าหอโครงกระดูกลดลงไปมากกว่าครึ่ง

เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง ‘เนตรสวรรค์’ บนศีรษะ ในใจกดดันหวั่นเกรงถึงขั้นว่ามีความนับถืออยู่หลายส่วน

“เขาทำสำเร็จแล้ว!” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงและจ้าวหยูเฟ่ยที่อยู่ ณ วิหารสามชั้นต่างก็ปลื้มปีติยินดี

พรึ่บ!

เนตรสวรรค์ปรากฏออกมาไม่กี่ช่วงลมหายใจก็หายไปทันที

“เหอะเหอะ เจ้าหอโครงกระดูก เจ้าไม่ต้องสนใจราชาเถาวัลย์ จัดการเก็บกวาดเถาวัลย์ที่อยู่วงนอกไกลๆ ออกไปดีกว่า” จ้าวเฟิงยืนอยู่บนกิ่งก้านแล้วยิ้มเย็นๆ

เจ้าหอโครงกระดูกชะงักไปชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงได้สติกลับมา

ในเวลานั้น ราชาเถาวัลย์มารตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจ้าวเฟิงโดยสิ้นเชิง เถาวัลย์ในรัศมีหนึ่งหรือสองลี้แทบจะไม่มีการโจมตีอะไรอีก ส่วนเถาวัลย์ที่อยู่ไกลออกไปเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อยตามพลังเดิมที่มี แต่ไม่รุนแรงเท่ายามก่อน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ที่เจ้าหอโครงกระดูกพยายามประคับประคองก็มั่นคงมากขึ้นอีกครา แล้วจึงทำลายเถาวัลย์ที่อยู่ไกลออกไปนิดหน่อยเหล่านั้น

จ้าวเฟิงได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาของหอคอยพฤกษาปีศาจ เพื่อที่จะควบคุม ‘ราชาเถาวัลย์มารทมิฬ’ ถึงขนาดที่สั่งให้มัน ‘สังหาร’ เถาวัลย์ที่เป็นเหมือนหนวดของตัวเอง และทำลายเถาวัลย์ธรรมดาที่อยู่รอบๆ ถึงแม้ว่าราชาเถาวัลย์จะได้วารีคืนชีวิตจากโลกภายนอก แต่ว่าพลังแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันก็มีจ้าวเฟิงควบคุมอีกทีหนึ่ง

เวลาครึ่งก้านธูปผ่านไป เถาวัลย์ในรัศมีสองลี้รอบตัวของราชาเถาวัลย์มารก็แหลกยับเยินไปจนหมด เจ้าหอโครงกระดูกจึงเรียกหุ่นเชิดศพต้องสาปออกมา แล้วให้พวกมันจัดการเก็บกวาดเถาวัลย์

ในส่วนของเถาวัลย์บริเวณรอบๆ เมื่อไม่มีพลังจากราชาเถาวัลย์แล้วการเติบโตก็เริ่มลดน้อยลง

ณ โลกภายนอกบนยอดเขาสูงเทียมฟ้า

ราชันย์ปราณเทวะทั้งสามมีสีหน้าเหลือจะทน

เนื่องด้วยจะใช้ ‘ราชาเถาวัลย์มารทมิฬ’ มาเป็นหินปูทางที่แข็งแกร่งของแผนการ แต่กลับต้องมาประกาศความพ่ายแพ้เอาในวินาทีนี้

ภายในภาพเงา จ้าวเฟิงกำลังควบคุมราชาเถาวัลย์มาร เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ไม่นานเท่าไหร่ ในบริเวณรอยโหว่ก็เหลือเพียงแค่ราชาเถาวัลย์มารและเศษซากเถาวัลย์ที่ยับเยินทั้งหลาย

“จัดการ!” ร่างกายของจ้าวเฟิงสั่นน้อยๆ ขณะร่วมมือกับเจ้าหอโครงกระดูก

ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปปกคลุมทั่วราชาเถาวัลย์มารกับเศษซากของเถาวัลย์ที่เหลือ ค่อยๆ ทำลายจนขนาดเหลือเล็กลง

ภายในหมอกควันสีเทาเข้มที่ปกคลุม ร่างขนาดใหญ่ของราชาเถาวัลย์มารเริ่มแหลกสลาย

“จ้าวเฟิง ท่านไม่คิดจะควบคุมราชาเถาวัลย์นั่นอย่างสิ้นเชิงรึ?” เจ้าหอโครงกระดูกออกจะประหลาดใจ

เขาหมายถึงว่าให้จ้าวเฟิงเอาราชาเถาวัลย์มารมาฝึกเป็นสัตว์วิเศษของตนเอง

“ในจิตลึกๆ ของราชาเถาวัลย์ สตินึกคิดของมันดุร้ายบ้าคลั่ง ยากจะควบคุมได้ อีกทั้งจุดหมายในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตพวกนี้ก็คือการกลืนกินไม่หยุดเพื่อเติบโต หากว่าไม่ระมัดระวังอาจจะนำเอาภัยมาให้ไม่จบไม่สิ้นก็เป็นได้” จ้าวเฟิงอธิบาย เขาควบคุมราชาเถาวัลย์มาจนถึงตอนนี้ถือว่ากินแรงไม่ใช่น้อย

เวลาค่อยๆ หมุนผ่านไป ร่างของราชาเถาวัลย์เน่าเปื่อยแหลกสลายไปมาก หุ่นเชิดศพจำนวนสิบห้าร่างภายใน ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ มีกลิ่นอายพลังใกล้แตะถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ส่วนพลังคำสาปก็แข็งแกร่งขึ้นภายใต้การกลืนกินอาหารอย่างไม่มีหยุด

ก่อนหน้านี้ หุ่นเชิดศพต้องสาปก็ได้ดูดกลืนเลือดเนื้อและวิญญาณของสิ่งมีชีวิตในขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนับร้อยเป็นอาหาร

ทว่าตอนนี้ การสังหารเถาวัลย์มากมายเช่นนี้ มันยิ่งดูดซับเอาพลังจิตวิญญาณไม่มีจบสิ้น

“ถึงแม้ว่าจะมีหุ่นเชิดศพต้องสาปเพียงสิบห้าร่าง แต่ว่าคุณสมบัติและพลังความอาฆาตที่อยู่ในร่างเหล่านั้นมีมากมายแทบจะเท่ากับพลังของหุ่นเชิดศพหลายสิบร่างเลยทีเดียว”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป เถาวัลย์มารทมิฬในทั่วบริเวณทั้งหมดถูกทำลายจนเกือบหมดสิ้น

ร่างของราชาเถาวัลย์มารยังคงถูกทำลายไปเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นเพลิงสีดำแล้วจึงมอดม้วยหายไปอย่างรวดเร็ว บนพื้นดินจุดเดิมมีเมล็ดสีดำแห้งแข็งน่าเกลียดหลงเหลืออยู่

เมล็ดเถาวัลย์มารทมิฬ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!